ไม่มีใครทราบสาเหตุที่เฉินเหม่ยเหรินทำร้ายองค์หญิงฝูชิง นอกจากฮ่องเต้กับฮองเฮาและสองสามีภรรยาเยี่ยนอ๋อง แต่องค์หญิงสิบห้าตายอย่างไรนั้นกลับเป็นเรื่องที่ปิดไม่อยู่ หลังจากงานเลี้ยงจบลง ก็ถูกแพร่งกระจายไปถึงหูทุกคนอย่างรวดเร็วดั่งสายฟ้าแลบ
สิ่งที่แพร่งกระจายตามไปด้วยคือการกระทำที่น่าทึ่งของเจียงซื่อกับอวี้จิ่น
พระชายาเยี่ยนอ๋องรักษาดวงตาขององค์หญิงฝูชิงจนหาย ได้รับกำไลหลิงเซียวจากฮองเฮา แล้วเยี่ยนอ๋องยังหาฆาตกรที่ทำร้ายองค์หญิงสิบห้าได้อีก จุ๊ๆ ดูเหมือนว่าสองสามีภรรยาเยี่ยนอ๋องกำลังจะได้รับความพอพระทัยจากฮ่องเต้กับฮองเฮาแล้ว
แล้วก็เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ แม้ว่าสำนักพระราชวังมิได้พระราชทานสิ่งใดให้กับจวนเยี่ยนอ๋อง แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เหล่าองค์ชายกำลังฝึกฝนการทำงานอยู่ในหกกรม มีเพียงเยี่ยนอ๋องที่ได้รับคำชมจากจิ่งหมิงฮ่องเต้
คำชมหนึ่งประโยคนั้นมีค่ายิ่งกว่าสิ่งของพระราชทานใดๆ
สภาพจิตใจของเหล่าองค์ชายสับสนไปชั่วขณะ
เจ้าเจ็ดที่ถูกส่งออกไปอยู่ด้านนอกพระราชวังตั้งแต่เพิ่งเกิด เพราะแบกรับชื่อเสียงว่ามีดวงกินชื่อเสียงของเสด็จพ่อเอาวไว้ แต่ไอ้หมอนี่กลับได้รับคำชมอีกแล้ว!
เสด็จพ่อคิดอย่างไรกันแน่ ก็แค่หาตัวฆาตกรที่ทำให้องค์หญิงสิบห้าตายเจอมิใช่หรือ จะเก่งแค่ไหนเชียว เป็นถึงองค์ชายแต่แย่งหน้าที่ของศาลาว่าการพระนคร ดูก็รู้ว่าว่างจนไม่มีอะไรทำ
ถึงจะเป็นเช่นนั้น ก็ยังมีหนึ่งสิ่งที่ควรค่าแก่การปลอบใจ ไท่จื่อถูกตำหนิอีกแล้ว
เมื่อนึกถึงไท่จื่อ สภาพจิตใจของเหล่าองค์ชายก็สงบนิ่งลง
ส่วนเหล่าขุนนางที่เดิมทีเพิกเฉยต่อเยี่ยนอ๋อง ก็เริ่มให้ความสนใจในตัวเยี่ยนอ๋องอีกครั้ง แม้กระทั่งเว่ยซื่อ ฮูหยินแห่งจวนอันกั๋วกงยังเดินทางเข้าวังมาเยี่ยมเสียนเฟยเป็นพิเศษ
“ที่จวนสบายดีหรือไม่พี่สะใภ้” หลายวันมานี้ สภาพจิตใจของเสียนเฟยนั้นเศร้าหมอง ยามเห็นหน้าเว่ยซื่อถึงยิ้มออกมา
เป็นปีแห่งความโชคร้ายจริงๆ ฆาตกรที่ทำร้ายองค์หญิงสิบห้าดันอยู่ในตำหนักอวี้เฉวียน!
นางไม่เพียงแต่รู้สึกว่าเป็นเรื่องซวย ถึงแม้ฮ่องเต้ไม่ได้ตรัสสิ่งใดออกมา แต่นางก็สัมผัสได้ถึงความเย็นชาของพระองค์
มันคือความพิโรธ ที่สามารถทำให้คนอื่นทำอะไรไม่ถูก
ท้ายที่สุด ก็คือความซวยของนางนั่นล่ะ!
เว่ยซื่อขมวดคิ้วหนึ่งทีกับคำถามของเสียนเฟย
หากพูดถึงเรื่องใหญ่ ก็ไม่มีอยู่แล้ว แต่หากพูดถึงเรื่องกวนใจ ก็นับว่ามีไม่น้อย
“มีอะไรหรือ”
ท้ายที่สุดก็เป็นได้เพียงพี่สะใภ้กับน้องสามี เว่ยซื่อจะกล้าพร่ำบ่นกับเสียนเฟยได้อย่างไร นางรีบตอบ “ที่จวนล้วนสบายดี เหนียงเหนียงไม่ต้องเป็นห่วงเพคะ”
“ท่านแม่เล่า”
“เหล่าฮูหยินก็สบายดี ที่หม่อมฉันเข้าวังมาหาเหนียงเหนียงในวันนี้ เหล่าฮูหยินได้ฝากคำพูดมาถึงด้วยเพคะ” เว่ยซื่อเปลี่ยนมาพูดถึงประเด็นสำคัญ
“ท่านแม่ให้พี่สะใภ้มาพูดกับข้าเรื่องอะไรหรือ”
เว่ยซื่อวางแก้วน้ำชาลงแล้วกล่าวเสียงเบา “เหล่าฮูหยินบอกว่าไม่ได้เจอหน้าท่านอ๋องสองคนนานแล้ว คิดถึงหลานเพคะ…”
เสียนเฟยเลิกคิ้วขึ้นเบาๆ
เมื่อก่อน ในสายตาของเหล่าฮูหยินมีหลานเพียงหนึ่งคน นั่นก็คือเจ้าสี่
ความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดของเหล่าฮูหยิน นางเข้าใจดีแล้ว มันหมายความว่าให้นางสนใจในตัวเจ้าเจ็ดบ้าง ส่วนทางจวนกั๋วกงก็คิดจะใกล้ชิดกับเจ้าเจ็ดให้มากขึ้น
เมื่อนึกถึงสิ่งเหล่านี้ ไฟในทรวงอกของเสียนเฟยพลางลุกขึ้น
นางเคยได้ยินแต่บุตรชายเอาใจมารดา ถึงครานางต้องตามใจลูกไม่รักดีคนนี้เช่นนั้นหรือ มีอย่างที่ไหนกัน
เว่ยซื่อกำลังสังเกตอาการของเสียนเฟย พลางแอบส่ายศีรษะ
บุตรชายจะเป็นอย่างไร ก็ยังเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของผู้เป็นมารดา น้องสาวสามีของนางผู้นี้มีดีในทุกๆ เรื่อง เว้นแต่เรื่องของเยี่ยนอ๋องที่นางใจแข็งมากเกินไป
ไม่เหมือนนาง ที่ถูกเจ้าสามลูกอกตัญญูก่อปัญหาให้กวนใจตลอดเวลา แต่ก็ไม่กล้าตำหนิด้วยคำพูดแรงๆ สักคำ
เว่ยซื่อให้กำเนิดบุตรชายถึงสามคนในอึดใจเดียว บุตรชายคนโตเป็นคนนิ่ง คนรองอ่อนน้อม คนเล็กที่รักและเอ็นดูมากที่สุดเป็นคนร่าเริง จะว่าไปแล้วชีวิตของนางก็ราบรื่นอย่างที่สุด แต่ตั้งแต่ลูกคนเล็กเอาผู้หญิงเช่นนั้นมาเป็นภรรยา เรื่องกวนใจก็มีไม่เคยขาด
“เหนียงเหนียงเพคะ คนที่อยู่ข้างนอกล้วนแต่อิจฉาท่าน พวกเขาพูดว่าท่านอ๋องทั้งสองพระองค์ล้วนแต่มีอนาคตที่ก้าวไกล”
เสียนเฟยกล่าวขึ้นเรียบๆ “มีอนาคตก้าวไกลหรือไม่ก้าวไกลอะไรกัน พวกเขาแค่ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี ไม่ก่อเรื่องให้ข้าเหนื่อยใจก็ดีแล้ว”
“ไว้หม่อมฉันกลับไปเตรียมตัวที่จวนเสียหน่อย จะขอเชิญท่านอ๋องทั้งสองพระองค์กับพระชายาเอกไปรับประทานอาหารร่วมกันนะเพคะ”
“เรื่องเหล่านี้พี่สะใภ้จัดการเองได้เลย”
เว่ยซื่อแอบเบะปาก
ถ้านางไม่บอกกล่าวล่วงหน้า แล้วเสียนเฟยยังสบายใจได้น่ะสิถึงน่าแปลก
เป้าหมายในการเข้าวังวันนี้สำเร็จลุล่วงแล้ว เว่ยซื่อจึงกล่าวลา
เสียนเฟยรับสั่งให้นางกำนัลไปส่งเว่ยซื่อ และไปเชิญพระชายาฉีอ๋องเข้ามาพบ
“อีกไม่กี่วัน จวนอันกั๋วกงจะมีการเชิญพวกเจ้ากับเจ้าเจ็ด เจ้าพยายามทำดีกับภรรยาเจ้าเจ็ดเข้าไว้”
พระชายาฉีอ๋องยิ้มอย่างลำบากใจ “หม่อมฉันอยากสนิทสนมกับน้องสะใภ้เจ็ดอยู่แล้วเพคะ แต่งานเลี้ยงในวันนั้น น้องสะใภ้เจ็ดเย็นชากับหม่อมฉัน…”
“พวกเจ้าไม่เหมือนกัน เจ้าจะคิดเล็กคิดน้อยกับนางทำไม”
“หม่อมฉันเข้าใจแล้วเพคะ”
นางต่างจากพระชายาเยี่ยนอ๋องอยู่แล้ว
พวกนางคือกำลังเสริมการใหญ่ของท่านอ๋อง ก่อนที่จะกระทำการใหญ่สำเร็จพึงทำดีด้วยให้มากที่สุด นางที่อยู่ในฐานะกำลังเสริมภายในก็ด้วยเช่นกัน
ส่วนสองสามีภรรยาเยี่ยนอ๋องก็เป็นแค่คนที่ใช้ชีวิตไปวันๆ เท่านั้น
“เข้าใจก็ดีแล้ว” หลังจากที่เสียนเฟยกำชับเสร็จ สายตาพลันมองต่ำ
แม้ว่าพระชายาฉีอ๋องเป็นคนที่มีรูปลักษณ์ปานกลาง แล้วยังเคยให้กำเนิดบุตรสาวหนึ่งคน แต่ก็ยังถือว่าเป็นหญิงงาม
หน้าท้องที่แบนราบทำให้เสียนเฟยอดขมวดคิ้วไม่ได้
“ไม่มีความเคลื่อนไหวเลยหรือ”
พระชายาฉีอ๋องพลันหน้าขาวหน้าแดงผสมปนเป็นกัน
ตั้งแต่ให้กำเนิดหยวนเจี่ยเอ๋อร์ ก็ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ อีกเลย หยวนเจี่ยเอ๋อร์อายุจะหกขวบแล้ว…
แววตาของเสียนเฟยเย็นชาทันใด นางเอ่ยอย่างช้าๆ “จนถึงตอนนี้ ท่านอ๋องยังไม่มีผู้สืบทอด เจ้าต้องพยายามแล้วนะ”
หากว่าไม้ผุอย่างไท่จื่อล้มลง ท่ามกลางเหล่าองค์ชายที่ยังพอมีแรงให้แข่งขัน มีแต่เจ้าสี่คนเดียวที่ไม่มีผู้สืบทอด นับว่าเป็นการถ่วงความเจริญอย่างมาก
“หม่อมฉันทราบแล้วเพคะ” พระชายาฉีอ๋องน้อมรับคำสั่ง
เสียนเฟยยิ้ม
หากหยิบยกขึ้นมากล่าว ลูกสะใภ้ของนางคนนี้ทำให้นางเบาใจได้จริงๆ เสียดายก็แต่ให้กำเนิดบุตรชายไม่ได้เสียที
หลังจากกลับถึงจวนฉีอ๋อง พระชายาเอกนั่งเงียบอยู่ในห้องเป็นเวลาพักใหญ่ จากนั้นสั่งให้หมัวมัวพาหญิงสาวอายุสิบเก้าคนหนึ่งเข้ามา
หญิงสาวมีใบหน้าโค้งมนดุจดวงจันทร์ เป็นรูปลักษณ์ที่ชวนให้ผู้ชายหลงใหล
พระชายาเอกมองหญิงสาวพักใหญ่ถึงเอ่ยขึ้นอย่างอ่อนโยน “ในยามนอนรับใช้ท่านอ๋องให้ดี”
หญิงสาวแอบดีใจ นางตอบรับทันทีทันใด
พอตกดึก ฉีอ๋องพบว่าภายในห้องมีคนเพิ่มขึ้นมาหนึ่งคน
“พระชายาเอกรับสั่งให้บ่าวมารับใช้ท่านอ๋องเจ้าค่ะ”
ฉีอ๋องมองหญิงสาวโดยมีไฟช่วยส่องสว่าง ความสนใจหดหายในทันใด
เขาไม่กล้าเสียชื่อเสียงความใคร่ในความงาม ไม่เคยทำอะไรกับบ่าวรับใช้หน้าตาโดดเด่นที่อยู่ในจวน ไม่เคยคิดจะรับอนุภรรยา แต่โชคดีที่พระชายาเอกเป็นคนริเริ่มจัดหาคนมารับใช้เพราะนางไม่เคลื่อนไหวใดๆ
แต่ว่า จะหาคนที่หน้าตาดีหน่อยไม่ได้เชียวหรือ
ท้ายที่สุดแล้ว พระชายาเอกก็ทำไปเพื่อชื่อเสียงคุณธรรมของตัวเองเท่านั้น นางเคยคำนึงถึงเขาจริงๆ เมื่อไรกันเล่า
ไฟโทสะของฉีอ๋องพลันลุก แต่เมื่อเทียบกับภรรยาผู้จืดจางดุจน้ำเปล่า อย่างไรเสีย คนวัยสาวที่อยู่ตรงหน้าก็ถือว่าเป็นของสดใหม่ เขาจึงตอบรับกลับไปอย่างเรียบๆ
พระชายาเอกจับจ้องไปยังนกหลวนบนยอดหลังคาไม่ได้นอนทั้งคืน เมื่อได้ยินเสียงร้องของไก่ขันแล้วจึงลุกจากที่นอน นางใช้แป้งปกปิดรอยคล้ำใต้ตาและเริ่มจัดแจงเรื่องต่างๆ ภายในจวน
ไม่นานเจียงซื่อก็ได้รับคำเชิญจากจวนอันกั๋วกง พอวันนั้นมาถึง นางกับอวี้จิ่นก็เดินทางไปพร้อมกัน
ในฤดูร้อน ผู้คนในเมืองหลวงจะตื่นแต่เช้าเพื่อทำมาหากิน และร้านค้าต่างๆ ที่ตั้งแผงตามริมถนนจะเปิดร้านต้อนรับลูกค้าตั้งแต่เช้า
บัดนี้ เซียงลู่[1]ของร้านลู่เซิงเซียงค้าขายดีจนมีชื่อเสียงแล้วบนถนนสายนี้ ซิ่วเหนียงจื่อเพิ่งเปิดประตู ก็มีลูกค้าจำนวนไม่น้อยเดินเข้ามา
คนเหล่านี้มีทั้งใบหน้าเก่าและใบหน้าใหม่ เกือบทั้งหมดเป็นลูกค้าผู้หญิง ผู้คนหนาแน่นจนร้านค้าเล็กๆ คึกคักมากเป็นพิเศษ
ซิ่วเหนียงจื่อดูแลลูกค้าอย่างคล่องแคล้ว เมื่อเทียบกับภาวะซึมเศร้าเมื่อปีที่แล้ว ราวกับเป็นคนละคน
ไว้แม่นางอาเฉี่ยวมาที่ร้านคราวหน้า นางจะเสนอให้ซื้อร้านขายผ้าด้านข้างเอาไว้ การค้าขายของลู่เซิงเซียงจะได้เจริญรุ่งเรืองมากยิ่งๆ ขึ้น
และในเวลานี้ มีคนกลุ่มหนึ่งลักษณะท่าทางดุดันเดินมาถึงประตูหน้าร้าน
——————————————–
[1] เซียงลู่ คล้ายน้ำตบ