บทที่ 325 ตบหน้า (1)

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 325 ตบหน้า (1)

เมืองหลวงเริ่มเข้าสู่กลางฤดูร้อนแล้ว เช้าตรู่มาก็ร้อนอบอ้าวทันที

วันนี้กั๋วจื่อเจียนกับสำนักบัณฑิตชิงเหอมีการเรียนการสอน เสี่ยวจิ้งคงกับกู้เสี่ยวซุ่นจึงตื่นกันแต่เช้าตรู่ กู้เหยี่ยนยังคงนอนหลับอุตุอยู่บนเตียงเหมือนเคย

เขาชินกับการนอนตื่นสายเสียแล้วไปแล้ว ยิ่งตอนตื่นก็ยิ่งงัวเงีย เว้นเสียแต่ว่ากู้เจียวจะไปปลุกเขา เขาถึงจะอารมณ์ดี

ทว่าวันนี้กู้เจียวไม่ได้ไปปลุกเขา!

เขาตื่นเอง!

เพราะว่าร้อนจนตื่น

แต่นี่ไม่ใช่ประเด็น ประเด็นคือพอเขาตื่นมาแล้วก็นอนหงายเล่นอยู่บนเตียงรอกู้เจียวมาปลุก แต่รอแล้วรอเล่าจนดอกไม้เหี่ยวเฉาหมดแล้วกลับเป็นกู้เสี่ยวซุ่นที่มาแทน

กู้เสี่ยวซุ่นผลักประตูห้องเปิดออก ก่อนจะเอ่ยอย่างแปลกใจ “เจ้ายังไม่ลุกอีกหรือ ถึงเวลามื้อเช้าแล้วนะ ระวังอีกเดี๋ยวจะสายล่ะ!”

เหยี่ยนเป๋าเป่าไม่พอใจ

เหยี่ยนเป๋าเป่าพลิกตัวด้วยความขมขื่น พึมพำ “ท่านพี่ล่ะ นางไปตรวจคนไข้แล้วหรือ”

กู้เสี่ยวซุ่นยกมือชี้ไปที่ลานบ้านพลางเอ่ย “ใช่ที่ไหนล่ะ นางอยู่นั่นแหน่ะ!”

“หืม” กู้เหยี่ยนลุกพรวดขึ้นมาทันที ก่อนจะลงจากเตียง สวมรองเท้าลวกๆ มาตรงหน้าประตู มองไปยังทางที่กู้เสี่ยวซุ่นชี้

แต่สิ่งที่เขาเห็นก็คือ

กู้เจียวกับเซียวลิ่วหลังสนทนากันอยู่ที่ลานบ้าน นางเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย แสงรุ่งอรุณทอประกาย ดวงตานางสุกสกาว มุมปากหยักยกเล็กน้อย ไม่รู้ว่าทั้งคู่กำลังคุยอะไรกันอยู่ ดวงตาคู่นั้นของนางจึงได้โค้งขึ้นเป็นพระจันทร์เสี้ยว

เพราะอย่างนั้น…นางลืมมาปลุกเขาเพราะมัวแต่คุยกับพี่เขยอย่างนั้นรึ!

กู้เหยี่ยนวิ่งฉิวไปอย่างหงุดหงิด!

ทว่าที่น่าหงุดหงิดกว่านี้น่ะ คือสิ่งที่อยู่ต่อจากนี้ต่างหาก

วันนี้กู้เจียวอารมณ์ดี นางเข้าครัวทำอาหารมื้อใหญ่ด้วยตัวเอง ล้วนเป็นของโปรดของเซียวลิ่วหลังทั้งสิ้นอีกด้วย!

หมู่นี้เซียวลิ่วหลังชอบกินเผ็ดแบบชาๆ อันที่จริงพวกเสี่ยวจิ้งคงสามคนก็ชอบกินเผ็ดเช่นกัน แต่พวกเขาสามคนชอบเผ็ดร้อนกับเผ็ดเปรี้ยวมากกว่าเผ็ดชา

ทั้งสามคนชากันเสียจนหมดอาลัยตายอยาก เอนหลังพิงพนักเก้าอี้กันอย่างไร้เรี่ยวแรง

กู้เหยี่ยนเริ่มโมโหแล้ว ผลที่ตามมาร้ายแรงนัก!

เขาแค่นเสียงเอ่ย “ข้าจะกินเต้าฮวย! เอาแบบเค็มด้วย!”

ที่บ้านไม่มีเต้าฮวย แต่ที่ตลาดมีขาย

ยามนี้ยังเช้าอยู่ และตลาดก็ไม่ได้อยู่ไกล

หนึ่งเค่อต่อมากู้เจียวก็ซื้อเต้าฮวยเค็มกลับมา

จากนั้นกู้เหยี่ยนก็มองกู้เจียวยกเต้าฮวยเค็มเดินผ่านตัวเองไปอย่างเฝ้ารอ…

กู้เจียวยกเต้าฮวยเข้าไปในห้องหนังสือของเซียวลิ่วหลัง มองเขาด้วยดวงตาเป็นประกาย “เต้าฮวยของเจ้า”

เซียวลิ่วหลัง “เอ่อ…”

ข้าไม่ได้จะเอาเต้าฮวยนะ

กู้เหยี่ยนยืนอยู่นอกห้องหนังสือด้วยความโมโหจนควันออกหูแล้ว!

ของข้า! ของข้า! นี่เป็นเต้าฮวยที่ข้าจะเอาต่างหาก!

อ้ากกก

โมโหจะตายแล้ว!

ภายในห้องแสงสลัว ประตูหน้าต่างปิดสนิท ผ้าม่านทั้งหมดถูกม้วนขึ้น มีเพียงแสงรำไรสายหนึ่งเท่านั้นที่ลอดผ่านม่านไป

เงาเล็กเงาหนึ่งยืนอยู่ท่ามกลางความมืดสลัวอันไร้ขอบเขตนี้ แววตาเขาคมกริบ บรรยากาศรอบตัวแข็งแกร่งและห้าวหาญ

“เจ้าคงเห็นแล้วเช่นกัน สถานการณ์ยามนี้ตึงเครียดขึ้นมามาก ศัตรูแข็งแกร่งมากนัก แย่งชิงแผ่นดินพวกเราไปครึ่งหนึ่งแล้ว เจ้ายังจะสู้กับข้าต่ออีกหรือ”

ร่างเล็กเอ่ยเสียงเคร่ง

ตรงหน้าเขานี้มีเงาร่างสูงโปร่งดุจหยกยืนย้อนแสงอยู่

กลิ่นอายรอบตัวเขาก็ไม่ใช่เล่นๆ เช่นกัน ภายในห้องอันคับแคบนี้ราวกับเต็มไปด้วยความเย็นยะเยือกและแรงบีบคั้นอันไร้ที่สิ้นสุด

“เจ้าคิดจะทำเช่นไร” เขาถาม

ร่างเล็กเอ่ย “แน่นอนว่าข้ากับเจ้าต้องลดอคติลง แล้วร่วมมือกันต่อต้านศัตรูน่ะสิ ไม่อย่างนั้นแล้วแค่เพียงไม่กี่วันเท่านั้น ในใจนางก็จะไร้ที่ยืนสำหรับข้ากับเจ้าแน่”

เขาพยักหน้า “ได้ ข้าตกลง”

“พูดปากเปล่ามันไร้หลักฐาน ต้องเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรไว้เป็นหลักฐานสิ” ร่างเล็กเอ่ยจบก็หยิบพู่กันออกมาเขียนสัญญาอย่างรวดเร็ว แล้วหยิบตราประทับที่เตรียมไว้แต่แรกออกมา “ลงนามแล้วประทับลายนิ้วมือเสีย”

อีกฝ่ายลงนามเรียบร้อย

ร่างเล็กเห็นชื่อของเขาก็โมโหจนควันออกหู เสียงแหลมสูงในทันใด “เหตุใดลายมือเจ้าถึงได้น่าเกลียดไม่เปลี่ยนเลย!”

กู้เหยี่ยนกระแอมเบาๆ พลางเอ่ย “ลายมือน่าเกลียดแล้วอย่างไรเล่า เจ้าจะเป็นพันธมิตรด้วยกันหรือไม่”

เสี่ยวจิ้งคงครุ่นคิด ก่อนจะพยักหน้าอย่างเค่รงขรึม “เป็น!”

ภายใต้การท้าทายซ้ำแล้วซ้ำเล่าของเซียวลิ่วหลัง ในที่สุด ‘คู่ปรับ’ ตัวน้อยทั้งสองที่สู้กันมาตั้งแต่ชนบทจนถึงเมืองหลวงก็ละทิ้งอคติและจับมือเป็นพันธมิตรกันเพื่อต่อต้านพี่เขย!

เมื่อทานมื้อเช้าเรียบร้อย กู้เจียวก็ส่งเสี่ยวจิ้งคงไปเรียนที่กั๋วจื่อเจียน กู้เหยี่ยนกับกู้เสี่ยวซุ่นไปสำนักบัณฑิตชิงเหอ เซียวลิ่วหลังไปสำนักฮั่นหลิน

ราชครูจวงเลิกประชุมเช้าออกมา ระหว่างทางเจอเข้ากับอันจวิ้นอ๋อง จึงแวะไปส่งเขาที่สำนักฮั่นหลินด้วย

บังเอิญรถม้าของราชครูจวงเจอเข้ากับเซียวลิ่วหลังที่หน้าประตูใหญ่สำนักฮั่นหลินพอดี

แม้ว่าตัวของราชครูจวงจะไม่ได้ลงรถม้ามา แต่อันจวิ้นอ๋องลงมาแล้ว ผ้าม่านถูกคนขับรถเลิกขึ้น เซียวลิ่วหลังกับพวกขุนนางสำนักฮั่นหลินที่กำลังจะเข้าไปพอดีจึงเห็นเขากันหมด

ทุกคนพากันคำนับให้ เซียวลิ่วหลังก็ประสานมือคำนับให้เช่นกัน

บัณฑิตหยางพักรักษาตัวอยู่บ้านมานาน ในที่สุดวันนี้ก็มาทำงานได้เสียที เขาได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวหน้าประตู จึงรีบวางงานในมือลงแล้วคารวะราชครูจวงทันที

ราชครูจวงเป็นขุนนางบุ๋นอาวุโสที่มีคุณธรรมดีเด่น มีชื่อเสียงมีผลงานยิ่งใหญ่และเป็นที่นับถือดุจเขาไท่ซาน มีอำนาจมากมายในราชสำนัก ขุนนางระดับบัณฑิตหยางไม่มีทางได้พบเขา

วันนี้ช่างเป็นเกียรติเสียจริง บัณฑิตหยางไม่อยากปล่อยโอกาสที่จะได้ประจบสอพลอราชครูจวงไป

“ราชครูจวง!” เขาประสานมือคำนับให้อย่างเคารพยิ่ง หางตาชำเลืองมองเซียวลิ่วหลังที่อยู่ด้านข้างแวบหนึ่ง เขาแอบสะใจอยู่เงียบๆ นี่สวรรค์กำลังช่วยให้ตนสมหวังอยู่ชัดๆ!

บัณฑิตหยางยืดหลังตรง แล้วเอ่ยกับเซียวลิ่วหลังด้วยท่าทางหยิ่งผยอง “ห้องเก็บตำราของสำนักฮั่นหลินไม่ได้ทำความสะอาดมาพักใหญ่แล้ว จัดการเสร็จแล้วค่อยเลิกงานล่ะ”

ใครบ้างจะไม่รู้ว่าห้องเก็บตำราของสำนักฮั่นหลินใหญ่เสียยิ่งกว่าห้องเก็บตำราของสำนักจัดสอบเสียอีก พวกขุนนางฮั่นหลินรวมกันยังทำความสะอาดจัดการให้เสร็จภายในวันเดียวไม่ได้เลย นี่มันตั้งใจหาเรื่องเซียวลิ่วหลังชัดๆ

บัณฑิตหยางคิดว่าเซียวลิ่วหลังจะปล่อยให้ตนกลั่นแกล้งเขาเหมือนเมื่อก่อน แต่คิดไม่ถึงว่าเซียวลิ่วหลังจะเอ่ยขึ้นเรียบๆ แม้แต่ตายังไม่เหลือบมอง “วันนี้ข้ามีคาบสอนที่สถาบันฮั่นหลิน ไม่สู้บัณฑิตหยางไปหาคนอื่นมาจัดการห้องเก็บตำราจะดีกว่า”

บัณฑิตหยางได้ยินก็พลันชะงักไป “เจ้าเอ่ยเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร”

ไอ้เด็กนี่มันหมายความว่าอย่างไรน่ะ จะขัดคำสั่งตนต่อหน้าคนมากมายใช่หรือไม่

บัณฑิตหยางดวงตาเป็นประกายวาบ “คาบสอนที่สถาบันฮั่นหลินน่ะ…ย่อมมีคนอื่นไปสอนแทนเจ้า!”

เซียวลิ่วหลังถามเสียงเรียบ “อ๋อ ใครว่างมาสอนแทนข้าบ้าง”

“เรื่องสอนหนังสือน่ะมอบให้ขุนนางฮั่นหลินที่มีศักยภาพอย่างแท้จริงดีกว่า” บัณฑิตหยางเอ่ยพลางมองไปยังอันจวิ้นอ๋อง “ไม่ทราบว่าวันนี้จวงเปียนซิวว่างหรือไม่”

อันจวิ้นอ๋องครุ่นคิด “วันนี้ข้าไม่ได้มีธุระใด”

บัณฑิตหยางแย้มยิ้ม “ถ้าเช่นนั้น…”

เซียวลิ่วหลังเอ่ยขัดบัณฑิตหยางขึ้นพลางมองไปยังอันจวิ้นอ๋อง “ในเมื่อจวงเปียนซิวว่าง ไม่สู้ให้จวงเปียนซิวไปจัดการห้องเก็บตำราดีกว่า บัณฑิตหยางบอกว่าหากจัดการไม่เสร็จก็ห้ามเลิกงาน จวงเปียนซิวคงต้องเร่งมือหน่อยล่ะ”

“เจ้า!” บัณฑิตหยางโมโหจนสำลัก

ไอ้เด็กนี่มันอยากตายแล้วกระมัง!

กล้าใช้อันจวิ้นอ๋องทำงานต่อหน้าราชครูจวงเช่นนี้

เซียวลิ่วหลังมองไปยังราชครูจวงที่อยู่บนรถม้าอย่างไม่เกรงกลัว “ราชครูจวงคงไม่ขัดอะไรกระมัง”

บัณฑิตหยางตกใจจนฉี่แทบจะราดแล้ว!

เซียวลิ่วหลังไปกินดีเสือมาหรือไรจึงได้กล้าเอ่ยกับราชครูจวงเช่นนี้ เขาคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน มีฝ่าบาทคอยให้ท้ายแล้วจึงกล้าจองหองรึ!

หรือเขาไม่รู้ว่าราชครูจวงเป็นคนของไทเฮา

เหงื่อเย็นผุดซึมทั่วร่างบัณฑิตหยาง เขากลัวอย่างเดียวว่าราชครูจวงจะระบายโทสะมาใส่เขาแทน!

ราชครูจวงดวงตาปรากฏประกายเย็นเยียบ

เซียวลิ่วหลังเลิกคิ้วคมพลางเอ่ย “หากมีอะไรก็ไปบอกไทเฮา ข้าน้อยขอตัวก่อน!”

เอ่ยจบเขาก็เข้าสำนักฮั่นหลินไปโดยไม่หันกลับมา

ทุกคนต่างไม่รู้ว่าวันนี้เซียวลิ่วหลังไปกินยาอะไรผิดมาจึงได้อวดดีเช่นนี้

มีเพียงราชครูจวงที่รู้ว่าความกล้าของเซียวลิ่วหลังนั้นมาจากไหน เซียวลิ่วหลังเหลือแค่พูดว่า ‘ข้าสู้เจ้าไม่ได้ แต่ผู้ใหญ่บ้านข้าสู้เจ้าได้’ เท่านั้นแล้ว!

ราชครูจวงโมโหจนช้ำใน!

“ท่านปู่…” อันจวิ้นอ๋องมองราชครูจวงอย่างแปลกใจ เขาก็รู้สึกว่าวันนี้เซียวลิ่วหลังแปลกยิ่งนัก

ราชครูจวงข่มโทสะที่พลุ่งพล่านเอาไว้ ก่อนเอ่ยทีละถ้อยทีละคำว่า “ไปทำความสะอาดห้องเก็บตำรา”

อันจวิ้นอ๋องชะงัก “ท่านปู่รึ”