ตอนที่ 432 หนิวลี่ลี่สัมภาษณ์แม่หรง

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 432 หนิวลี่ลี่สัมภาษณ์แม่หรง

แม่หรงรีบตรงดิ่งไปที่โรงงานตัดเสื้อซีม่านด้วยความกระวนกระวาย ตั้งท่าจะบุกเข้าไปในออฟฟิศส่วนตัวของกวนหย่งหัว แต่เลขาหน้าห้องพยายามห้ามหล่อนไว้

ทันทีที่แม่หรงบุกเข้าไปในออฟฟิศของกวนหย่งหัวได้สำเร็จ หล่อนก็ตะโกนเสียงดังด้วยความตื่นตระหนก “แย่แล้วค่ะ! คุณกวน ผู้หญิงหน้าเลือดแซ่หลินคนนั้นจะยื่นฟ้องคุณ!”

หลังจากนั้นหล่อนก็พ่นประโยครัว ๆ เล่าให้กวนหย่งหัวฟังถึงที่มาที่ไปของเรื่องทั้งหมด ก่อนจะมองเขาด้วยสายตาเป็นกังวล

หลินม่ายยื่นฟ้องเขาต่อศาล เรื่องนี้กวนหย่งหัวรู้ข่าวก่อนแล้ว

ไม่เพียงแต่เขาไม่ตื่นตระหนกเท่านั้น ยังแสดงความขบขันกับท่าทางของอีกฝ่ายอีกด้วย ตอบแม่หรงอย่างใจเย็นว่า “หล่อนอยากทำอะไรก็ปล่อยให้หล่อนทำเถอะครับ โรงงานผมไม่ได้ลอกเลียนแบบเสื้อผ้าจากโรงงานหล่อน หล่อนฟ้องไปก็เท่านั้น สุดท้ายศาลก็ตัดสินไม่ได้อยู่ดีว่าใครแพ้ชนะ!”

หัวใจของแม่หรงที่เดิมจุกตื้นขึ้นมาถึงลำคอก็ได้หล่นลงไปกองอยู่ในจุดที่ควรอยู่ตามเดิม

ในฐานะคนท้องถิ่น สิ่งที่หล่อนกลัวที่สุดคือกฎหมายความมั่นคงสาธารณะ

หล่อนกลัวว่ากวนหย่งหัวอาจได้รับโทษจากการทำผิดกฎหมาย ทำให้ครอบครัวของหล่อนต้องสูญเสียเทพเจ้าแห่งความมั่งคั่งคนนี้ไป

แต่ในเมื่อกวนหย่งหัวบอกว่าไม่เป็นไร ถ้าอย่างนั้นก็คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง

แม่หรงเยาะเย้ยอย่างได้ใจ “นังคนแซ่หลินนั่นกล้าพูดมาได้ว่าแบรนด์ซีม่านของคุณลอกเลียนแบบเสื้อผ้าแบรนด์ Unique ของหล่อน ฉันเองก็ลืมคิดไปซะสนิทว่ากระบวนการทำงานภายในของโรงงานหล่อนนั้นล้าหลังและเรียบง่ายแค่ไหน จะออกแบบเสื้อผ้าที่ทันสมัยแบบนั้นได้ยังไงกัน เรื่องโกหกทั้งเพ! ทั้งหมดเป็นความผิดของฉันเอง ฉันตื่นตูมเกินไป พอได้ยินหล่อนพูดแบบนั้นก็อดกลัวไม่ได้ ตอนแรกกลัวซะจนขาอ่อนปวกเปียกไปหมด”

กวนหย่งหัวปลอบโยนหล่อนอย่างลวก ๆ จากนั้นก็ส่งหล่อนกลับไป

เขากลับมานั่งบนเก้าอี้ผู้บริหาร ก่อนจะหันกลับมาแล้วยิ้มเยาะในใจ “อยากฟ้องร้องฉันข้อหาหมิ่นประมาทนักใช่ไหม? ฉันจะทำให้เธอเดือดร้อนจนนั่งไม่ติด!”

เขาสั่งให้เลขาสาวสวยเรียกดีไซเนอร์ตู๋เข้ามา

ดีไซน์เนอร์ตู๋ย้ายมาจากโรงงานตัดเสื้อของรัฐที่เพิ่งปิดตัวลงได้ไม่นาน ในที่สุดเขาก็ผ่านการคัดเลือกได้ทำงานในโรงงานตัดเสื้อซีม่านในตำแหน่งเดียวกันกับก่อนหน้านี้ แน่นอนว่าเขารักในวิชาชีพของตัวเองมาก

เขาถามด้วยความหวาดหวั่น “คุณกวน มีอะไรจะเรียกใช้ผมเหรอครับ?”

ตั้งแต่เข้ามาทำงานให้กับโรงงานตัดเสื้อซีม่าน เขายังไม่ได้ออกแบบเสื้อผ้าเลยสักชิ้น ดังนั้นจึงกลัวมากว่าตัวเองอาจถูกไล่ออก

กวนหย่งหัวเชิญให้ดีไซน์เนอร์ตู๋นั่งลง แล้วถามอย่างใจดี “ผมได้ยินว่าบ้านของคุณค่อนข้างคับแคบ?”

พอพูดถึงเรื่องนี้ ดีไซน์เนอร์ตู่ก็ทำหน้าเครียดขึ้นมาทันที

เขามีแม่อายุเจ็ดสิบปีที่ต้องเลี้ยงดู ลูก ๆ อีกสามคนของเขาก็ไม่ใช่เด็กน้อยแล้ว ทุกคนกำลังเติบโตเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น

ถึงอย่างนั้นบ้านที่เขาอาศัยอยู่กลับเป็นแค่ห้องชุดเดี่ยวในอาคารขนาดสิบสองตารางเมตร รวมเขากับภรรยาเข้าไปด้วยสมาชิกในครอบครัวก็มีกันถึงหกชีวิต การอยู่อาศัยไม่ค่อยสะดวกนัก

ดีไซน์เนอร์ตู๋พยักหน้า รู้สึกสับสนเล็กน้อยว่าทำไมจู่ ๆ คุณกวนถึงได้ถามเรื่องนี้ขึ้นมา

กวนหย่งหัวแสดงความจริงใจต่อเขา “ผมจะซื้ออพาร์ตเมนต์แบบหนึ่งห้องนอนให้คุณ เผื่อจะช่วยบรรเทาปัญหาด้านที่อยู่อาศัยของครอบครัวคุณได้บ้าง”

ดีไซน์เนอร์ตู๋ตกตะลึง

ถึงแม้ในสายตาของคุณกวน อพาร์ตเมนต์แบบหนึ่งห้องนอนอาจไม่ทำให้ขนหน้าแข้งของเขาร่วง แต่การที่เขาเสนอว่าจะซื้อบ้านให้ตัวเองแบบไม่มีเหตุผล ก็ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจ

เขาถามเสียงอ่อน “คุณกวน ทำไมถึงคิดจะซื้อบ้านให้ผมล่ะครับ?”

กวนหย่งหัวยกยิ้มมุมปาก “แน่นอนว่าเพราะอยากให้คุณช่วยทำงานบางอย่างให้ผมน่ะสิ”

ดีไซน์เนอร์ตู๋อดคิดในใจไม่ได้ พายชิ้นโตคงไม่ตกลงมาจากท้องฟ้าโดยไม่มีสาเหตุ

เขาถามด้วยความลังเล “งานอะไรเหรอครับ?”

เมื่อกวนหย่งหัวบอกว่าต้องการให้เขาไปทำอะไร ดีไซน์เนอร์ตู๋ก็เงียบไป

กวนหย่งหัวที่เห็นแบบนั้นจึงพูดเสริม “ไม่เพียงแต่ผมจะซื้ออพาร์ตเมนต์แบบหนึ่งห้องนอนให้คุณ ผมจะเพิ่มโบนัสให้คุณอีกหนึ่งพันหยวนด้วย ถ้าคุณไม่ตกลง ผมก็แค่ไปหาคนอื่น”

ดีไซน์เนอร์ตู๋ลังเลก่อนจะถามอีกครั้ง “ถ้าผมทำแบบนั้นจริง คุณกวนจะแสดงละครตบตาโดยการฟ้องร้องผมทีหลังหรือเปล่าครับ? ผมไม่อยากติดคุก…”

กวนหย่งหัวหัวเราะในลำคอ “ผมไม่ทำเรื่องประเภทข้ามแม่น้ำแล้วรื้อสะพานทิ้ง(1)แน่ เลิกกังวลเรื่องนั้นไปได้เลย เราสองคนเป็นตั๊กแตนสองตัวบนเชือกเส้นเดียวกัน(2) ถ้าผมฟ้องคุณ คุณมั่นใจหรือเปล่าล่ะว่าตัวเองจะไม่รับสารภาพ? เพื่อประโยชน์สำหรับตัวผมเอง เป็นไปไม่ได้เลยที่ผมจะลากคุณขึ้นศาลให้ไปรับโทษใด ๆ ทางกฎหมาย”

ในที่สุดดีไซน์เนอร์ตู๋ก็ยอมพยักหน้าเห็นด้วย

ไม่ว่าอย่างไรอพาร์ตเมนต์หนึ่งห้องนอนหนึ่งห้องนั่งเล่น รวมถึงโบนัสล่อใจหนึ่งพันหยวนก็เป็นผลประโยชน์ชิ้นใหญ่

ตอนเที่ยง หลินม่ายแวะไปที่คฤหาสน์เพื่อกินอาหารมื้อกลางวัน

พอฟางจั๋วหรานกับคุณปู่ฟางเห็นเธอ ก็ถามไถ่ทันทีด้วยความเป็นห่วง “เรื่องโรงงานตัดเสื้อซีม่านนี่มันยังไงกัน? เขากล่าวหาว่าโรงงาน Unique ของเธอลอกเลียนแบบเสื้อผ้าแบรนด์ซีม่านลงหนังสือพิมพ์เชียวเหรอ? บอกทีว่านั่นเป็นแค่เรื่องไร้สาระ?”

“คู่แข่งจงใจใส่ร้ายเพื่อทำลายธุรกิจของเราเท่านั้นเองค่ะ” หลินม่ายพูดอย่างเรียบเฉย “ฉันยื่นฟ้องกวนหย่งหัว เจ้าของโรงงานตัดเสื้อซีม่านต่อศาลเรียบร้อยแล้ว เขาจะชดใช้ค่าเสียหายที่ตัวเองปากพล่อยให้กับเราในไม่ช้านี้ คุณปู่คุณย่าไม่ต้องกังวลนะคะ”

ได้ยินแบบนั้นคุณปู่ฟางและคนอื่น ๆ ก็สบายใจ

แต่คุณย่าฟางอดไม่ได้ที่จะต่อว่าพฤติกรรมสกปรกของกวนหย่งหัว

ด่าว่าเขาขัดขาคู่แข่งด้วยวิธีน่ารังเกียจ วิสัยทัศน์ต่ำตม ธุรกิจไม่มีวันเจริญก้าวหน้า

หลินม่ายรอจนกว่าคุณย่าฟางจะบ่นจนจบ จากนั้นจึงหันไปถามฟู่เฉียงว่าแม่ของเขาฟื้นแล้วหรือยัง อาการเป็นอย่างไรบ้าง จำเขาได้ไหม

ฟู่เฉียงพยักหน้า “แม่ผมฟื้นแล้วครับ ดูเหมือนท่านจะจำผมได้ ผมเองก็ไม่แน่ใจ เพราะมองท่านผ่านทางกระจกหน้าต่างอีกที”

ฟางจั๋วหรานบอกว่า “รอให้แม่เธอออกมาจากห้องไอซียูก่อนเถอะ พอแม่ลูกได้ใกล้ชิดกัน ไม่นานเธอก็จำลูกชายได้เอง”

หลังจากกินเสร็จและล้างจานเรียบร้อยแล้ว หลินม่ายก็ขอตัวกลับ

คุณย่าฟางร้องเรียกเธอไว้ก่อน “อย่าเพิ่งไป อีกสองวันก็จะถึงวันอาทิตย์แล้ว ตรงกับวันที่เธอจะจัดงานเลี้ยงขอบคุณอาจารย์พอดี จืออวิ๋นตัดเสื้อไว้ให้เธอกับพวกฉันไว้สวมใส่ในวันงานเรียบร้อยแล้ว เธอจะได้เอากลับบ้าน”

หลินม่ายตอบรับ จากนั้นก็เดินตามอีกฝ่ายขึ้นไปยังห้องส่วนตัวที่อยู่ชั้นบน

คุณย่าฟางเปิดตู้เสื้อผ้า ก่อนจะหยิบเสื้อผ้าออกมาหลายชุด

หลินม่ายประหลาดใจมาก “พี่เถาทำชุดไว้ให้ฉันเยอะขนาดนี้เลยเหรอคะ?”

ใบหน้าเหี่ยวย่นของคุณย่าฟางแดงเรื่อขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนจะตอบด้วยความเก้อเขิน “จืออวิ๋นตัดชุดให้เธอแค่ตัวเดียว ที่เหลือเป็นของฉันทั้งหมด”

หลินม่ายนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง ในไม่ช้าก็เข้าใจความหมายของคุณย่าฟาง

อีกฝ่ายหยิบเสื้อผ้าทั้งหมดที่เถาจืออวิ๋นตัดให้ออกมา เพื่อให้เธอช่วยชื่นชมความสวยของพวกมัน

สำหรับผู้หญิง ต่อให้อายุมากแค่ไหน ความสนใจก็ไม่หลีกไม่พ้นเรื่องเสื้อผ้า

ถึงแม้คุณย่าฟางจะเป็นหญิงแกร่ง แต่ลึก ๆ แล้วก็ชื่นชอบการแต่งตัวไม่น้อย

หลินม่ายพิจารณาเสื้อผ้าทั้งหมดที่เถาจืออวิ๋นลงมือตัดเองให้คุณย่าฟาง

มีทั้งชุดกี่เพ้าผ้าซาตินสีเขียวเข้ม ชุดสูทพร้อมกระโปรงสีน้ำเงินเข้ม และชุดแฟชั่นที่เหมาะกับหญิงวัยกลางคนค่อนไปทางสูงอายุ

เสื้อผ้าทุกแบบตรงหน้าล้วนเป็นแบบที่ฮิตมากในยุคนี้

พอเห็นดวงตาที่เปล่งประกายของคุณย่าฟาง หลินม่ายก็พอเดาออกว่าอีกฝ่ายคงชื่นชอบเสื้อผ้าพวกนี้มาก

เธอแสดงท่าทีตื่นเต้น “พี่เถาทำเสื้อผ้าให้คุณย่าได้สวยทุกแบบเลยค่ะ ชักอยากเห็นคุณย่าสวมใส่เสื้อผ้าพวกนี้แล้วสิ!”

ใบหน้าของคุณย่าฟางยิ่งแดงเรื่อกว่าเก่า พูดจาตะกุกตะกัก “ฉันอายุปูนนี้แล้ว จะใส่เสื้อผ้าพวกนี้ได้ยังไงกัน?”

หลินม่ายเข้าใจคำพูดที่แฝงด้วยจิตวิทยาของคุณย่าฟาง คุณย่าชอบเสื้อผ้าพวกนี้มาก แต่ก็รู้สึกเขินอายเกินกว่าจะสวมใส่

นางทำงานในแวดวงราชการ สวมเสื้อผ้าแบบเรียบง่ายมาเกือบทั้งชีวิต จู่ ๆ ต้องเปลี่ยนมาสวมใส่เสื้อผ้าสไตล์ชนชั้นกลางของยุคสมัยนี้ คุณย่าฟางจึงไม่คุ้นชิน และกลัวว่าอาจถูกคนอื่นตัดสินไปในทางลบ

อาจเป็นเพราะยุคสมัยนี้คนส่วนใหญ่ยังมีความอนุรักษ์นิยมสูง ถ้าผู้สูงวัยสวมใส่เสื้อผ้าแบบนี้ อาจโดนมองว่าไม่เหมาะสมได้

หลินม่ายเข้าไปโอบไหล่คุณย่าฟางพลางพูดว่า “ทำไมถึงจะใส่ไม่ได้ล่ะคะ แบบเสื้อทุกตัวกำลังฮิตในหมู่ผู้สูงอายุเลยนะ!”

คุณย่าฟางยังคงลังเล “พูดน่ะมันง่าย แต่ว่า… ฉันยังไม่เคยเห็นผู้สูงวัยคนไหนใส่เสื้อผ้าแบบนี้เลยสักคน…”

หลินม่ายพยายามให้กำลังใจ “คุณย่าก็กลายเป็นผู้นำแฟชั่นซะเลยไงคะ”

หลังจากนั้น เธอก็สนับสนุนให้คุณย่าฟางลองสวมเสื้อผ้าพวกนั้นทุกชุด

เมื่อเห็นผลลัพธ์แล้วก็เอาแต่ปรบมือเชียร์ไม่หยุด ทำให้คุณย่าฟางมั่นใจขึ้นมาก ถามเธอว่า “เธอว่าฉันควรใส่ชุดไหนไปร่วมงานเลี้ยงขอบคุณอาจารย์ของเธอดีล่ะ?”

“กี่เพ้าค่ะ” หลินม่ายตอบโดยแทบไม่ต้องคิด

ตอนที่คุณย่าฟางกำลังผลัดเปลี่ยนลองชุด นางใช้เวลาในการยืนอยู่หน้ากระจกแต่งตัวนานที่สุดเมื่อสวมชุดกี่เพ้า หลินม่ายจึงเดาว่าอีกฝ่ายคงชอบชุดนี้เป็นพิเศษ

ไม่ต้องพูดถึงว่าคุณย่าฟางเป็นคนยุคเก่า แน่นอนว่าคุ้นชินกับการสวมกี่เพ้ามาตั้งแต่สมัยสาว ๆ แล้ว ไม่แปลกที่จะเทใจให้กี่เพ้ามากกว่าชุดอื่น

แม้แต่หลินม่ายที่เป็นคนหนุ่มสาวในยุคนี้ยังชอบกี่เพ้ามาก ๆ เมื่อใดที่สวมกี่เพ้าบนร่างกาย ตัวชุดจะสะท้อนความสง่างามในแบบฉบับของสาวชาวจีนออกมาได้ดีที่สุด

คุณย่าฟางยังรู้สึกกระดากอายอยู่บ้าง “ถ้าฉันใส่ชุดกี่เพ้า คนอื่นจะเรียกฉันว่าปีศาจสาวเฒ่าหรือเปล่า?”

หลินม่ายยิ้มแล้วพูดว่า “แน่นอนค่ะ พวกเขาเรียกคุณว่าปีศาจสาวเพื่อยกย่องความงามของคุณไงคะ!”

คุณย่าฟางลังเลอยู่นาน จนในที่สุดก็ยอมคล้อยตามหลินม่ายว่าจะสวมชุดกี่เพ้าในงานเลี้ยงขอบคุณอาจารย์

หลังจากเกลี้ยกล่อมคุณย่าฟางให้มีความมั่นใจสำเร็จแล้ว หลินม่ายก็เดินลงมาชั้นล่างพร้อมกับชุดสีขาวที่เถาจืออวิ๋นเป็นคนตัดให้

ฟางจั๋วหรานส่งเธอออกจากคฤหาสน์ด้วยตัวเอง ไม่ลืมกำชับว่า “ถ้ามีปัญหาอะไรก็ตามที่คุณไม่สามารถจัดการด้วยตัวเองได้ ให้บอกผมทันที ผมยินดีช่วยคุณหาทางแก้ไข อย่าลืมล่ะว่าผมเป็นแฟนคุณ พร้อมที่จะใช้ชีวิตที่เหลือร่วมกับคุณนับจากนี้ จะเป็นคนที่คุณสามารถพึ่งพาไปได้ตลอด อย่าแก้ปัญหาตามลำพังไปซะทุกเรื่อง”

หลินม่ายส่งยิ้มให้เขาอย่างอบอุ่น ตอบกลับว่า “รู้แล้วค่ะ”

ระหว่างที่หลินม่ายขี่จักรยานกลับบ้าน แล้วผ่านหน้าร้านเซาเข่าของตัวเอง เธอเห็นว่าหน้าประตูห้างสรรพสินค้าเจียงเฉิงซึ่งอยู่ไม่ไกลคลาคล่ำไปด้วยลูกค้าจำนวนมาก บรรยากาศค่อนข้างมีชีวิตชีวา

ตอนแรกเธอไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก

ท่ามกลางย่านที่เป็นศูนย์กลางความเจริญ เธอมองเห็นภาพแบบนี้จนชินตาแล้ว

ในขณะที่กำลังจะเลี้ยวโค้งเพื่อกลับไปที่ลานหลังบ้าน

ทันใดนั้นพนักงานส่งเสริมการขายประจำร้านหันมาเห็นเธอเข้า ก็วิ่งตรงเข้ามาหาเธอทันที รายงานสถานการณ์ด้วยสีหน้าโศกเศร้า “ผู้จัดการหลินคะ มีคนพยายามใส่ร้ายแบรนด์ Unique ของเราในที่สาธารณะ ฉันพยายามห้ามแล้ว แต่อีกฝ่ายไม่ยอมฟังฉัน”

หลินม่ายรีบเดินตามเธอเข้าไปยังสถานที่ที่ฝูงชนกำลังรวมตัวกันในห้างสรรพสินค้าเจียงเฉิง

พอมองเข้าไปในวงล้อม ปรากฏว่าแม่หรงกำลังถือป้ายที่มีใจความใส่ร้ายป้ายสีเสื้อผ้าแบรนด์ Unique ว่าลอกเลียนแบบเสื้อผ้าแบรนด์ซีม่าน

หลินม่ายถึงกับขมวดคิ้ว

ยายป้านี่ไม่รู้จักเข็ดหลาบหรือยังไงกัน? ไม่กี่ชั่วโมงก่อน เธออุตส่าห์เปิดโปงหล่อนไปซะขนาดนั้น ตอนนี้ยังมีหน้ากลับมาชูป้ายประท้วงอีกเหรอ?

หลินม่ายหันกลับไปหาพนักงานส่งเสริมการขายที่แสดงสีหน้ารู้สึกผิด “ไม่ต้องกังวลเรื่องนี้ เดี๋ยวฉันจัดการเอง”

พนักงานขายสาวพยักหน้า

หลินม่ายตรงกลับบ้าน โทรศัพท์หาหนิวลี่ลี่ เล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในห้างสรรพสินค้าเจียงเฉิงให้ฟัง และขอให้หล่อนช่วยไปสัมภาษณ์อีกฝ่ายโดยทันที

การใส่ร้ายป้ายสีแบรนด์ Unique ของแม่หรง ถือว่ามีความเกี่ยวพันใกล้ชิดกับคดีความที่หลินม่ายฟ้องร้องกวนหย่งหัว ซึ่งเป็นข่าวที่หนิวลี่ลี่กำลังติดตามอยู่พอดี

หนิวลี่ลี่ขี่จักรยานส่วนตัวไปที่ห้างเจียงเฉิง โดยที่ในใจไม่มีข้อกังขาอะไรทั้งนั้น

แม่หรงพยายามอย่างเต็มที่ที่จะอธิบายให้ฝูงชนเข้าใจว่าความจริงเป็นอย่างไรกันแน่ และยังยืนกรานคำเดิมว่าเสื้อผ้าแบรนด์ Unique ลอกเลียนแบบเสื้อผ้าแบรนด์ซีม่าน

ขอให้ทุกคนอย่าหลงเชื่อเนื้อหาในใบปลิวที่พนักงานส่งเสริมการขายของร้าน Unique เป็นคนแจกจ่าย

หนิวลี่ลี่แทรกตัวผ่านฝูงชนเข้ามาถึงตัวหล่อน แนะนำตัวเองภายในชั่วอึดใจเดียว จากนั้นก็เริ่มสัมภาษณ์แม่หรง

แม่หรงแอบดีใจที่มีนักข่าวสนใจมาขอสัมภาษณ์ หล่อนจะได้อาศัยโอกาสนี้โจมตีหลินม่ายและธุรกิจของเธอให้ยิ่งย่ำแย่ลงไปอีก

หล่อนยอมให้สัมภาษณ์ด้วยความยินดียิ่ง

หนิวลี่ลี่ถาม “ทำไมคุณถึงมั่นใจว่าแบรนด์ Unique ลอกเลียนแบบเสื้อผ้าแบรนด์ซีม่านคะ?”

แม่หรงแสดงสีหน้าเหยียดหยาม “กระบวนการผลิตของโรงงานในประเทศเราออกจะล้าหลังและยากจนซะขนาดนี้ คุณคิดว่าพวกเขามีปัญญาออกแบบแฟชั่นที่ทันสมัยขนาดนั้นด้วยตัวเองได้ไหมล่ะ?”

ในฐานะที่เป็นชาวเจียงเฉิง หล่อนย่อมให้เกียรติบ้านเกิดเมืองนอนของตัวเองเหนือสิ่งใด

พอหนิวลี่ลี่ได้ยินว่าแม่หรงที่เป็นคนเจียงเฉิงเหมือนกันดูถูกเมืองที่ตัวเองอาศัยอยู่อย่างไม่ไว้หน้าแบบนั้นก็รู้สึกขยะแขยงมาก แทบอยากเตะโด่งส่งหล่อนไปยังทางช้างเผือก

ในเมื่อเกลียดบ้านเกิดเมืองนอนของตัวเองมากนัก อย่างนั้นก็ออกไปซะ!

หนิวลี่ลี่พูดจาเย้ยหยันทันที “ทำไมพวกเขาจะออกแบบเสื้อผ้าแฟชั่นที่ทันสมัยไม่ได้กัน? ประธานาธิบดีของต่างประเทศท่านหนึ่งเคยกล่าวไว้ว่าจนกว่าเขาจะตาย พวกเราชาวจีนคงไม่มีวันสร้างระเบิดปรมาณูได้ ผลกลับกลายเป็นว่าตอนนี้ประเทศของเขายากจนกว่าที่เป็นอยู่ในอดีตเสียอีก แถมยังสร้างระเบิดปรมาณูไม่ได้เลยสักลูก! คุณดูถูกแผ่นดินเกิดของตัวเอง แต่กลับเทิดทูนนายทุนต่างชาติ ถ้าเกิดสงครามอีกรอบ คุณคงเป็นคนทรยศต่อชาติอย่างไม่ต้องสงสัย!”

ฝูงชนโดยรอบมองไปที่แม่หรงด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยาม

รอยยิ้มมั่นใจบนใบหน้าของแม่หรงค่อย ๆ หายไป หล่อนแทบอยากหนีออกไปจากที่นี่ด้วยสีหน้ามืดมน

หนิวลี่ลี่หยุดหล่อนไว้เสียก่อน “ฉันได้ยินมาว่าคุณเป็นว่าที่แม่ยายของกวนหย่งหัว เจ้าของโรงงานตัดเสื้อซีม่าน กวนหย่งหัวว่าที่ลูกเขยคุณเคยให้สัมภาษณ์ในทางชี้นำเพื่อใส่ร้ายคู่แข่งผ่านสื่อจริงหรือเปล่าคะ?”

แม่หรงตะคอกด้วยความโมโห ถุยน้ำลายใส่หน้าหนิวลี่ลี่ “ฉันไม่ได้ใส่ร้ายแบรนด์ Unique หยุดพล่ามไร้สาระได้แล้ว! ฉันไม่ได้ถูกใครจ้างมาทั้งนั้น ฉันแค่พูดความจริง!” จากนั้นหล่อนก็ผลักหนิวลี่ลี่ไปให้พ้นทาง ก่อนจะวิ่งหนีออกไปด้วยความสิ้นหวัง

ถึงอย่างนั้นหล่อนก็ยังไม่ละความพยายามที่จะทำลายชื่อเสียงของหลินม่ายและร้าน Unique

หล่อนแค่เปลี่ยนสถานที่ประท้วงใหม่ ไปที่ห้างสรรพสินค้าลิ่วตู้เฉียวแล้วชูป้ายใส่ร้ายหลินม่ายกับโรงงานตัดเสื้อของเธอตามเดิม

แม่หรงทุ่มเทถึงขนาดนี้ เพียงเพราะอยากให้กวนหย่งหัวพึงพอใจ

บางทีว่าที่ลูกเขยของหล่อนอาจมองเห็นความจงรักภักดี แล้วโยนกระดูกหมูให้หล่อนสักสองสามชิ้น

แม่หรงหนีไปที่ห้างสรรพสินค้าลิ่วตู้เฉียวเพื่อทำลายธุรกิจของหลินม่าย หนิวลี่ลี่ก็รู้ข่าวในไม่ช้า จึงเดินทางไปขอสัมภาษณ์หล่อนอีกครั้ง

แต่คราวนี้แม่หรงไม่ยอมให้สัมภาษณ์อีกต่อไป แถมยังวิ่งหนีเมื่อเห็นหล่อน

หนิวลี่ลี่กลับมาที่สำนักหนังสือพิมพ์โดยคว้าน้ำเหลว โทรศัพท์หาหลินม่าย บอกว่าตัวเองไม่สามารถห้ามปรามแม่หรงไม่ให้ใส่ร้ายธุรกิจของเธอได้

หลินม่ายที่อยู่อีกด้านหนึ่งของปลายสายส่ายหน้า “ฉันไม่ได้ขอให้คุณห้ามไม่ให้ยายป้านั่นทำลายธุรกิจของฉันซะหน่อย ฉันแค่อยากให้คุณไปสัมภาษณ์หล่อน”

หนิวลี่ลี่งงงวย “สัมภาษณ์แล้วมีประโยชน์ยังไงกัน? เธอห้ามหล่อนให้หุบปากไม่ได้ซะหน่อย”

รอยยิ้มปรากฏขึ้นตรงมุมปากของหลินม่าย “ฉันทำให้หล่อนหุบปากไม่ได้ก็จริง แต่ฉันทำให้หล่อนเสียเงินจนหมดตัวได้”

หนิวลี่ลี่ได้ยินแบบนั้นแล้วก็นิ่งงันไป

………………………………………………………………………………………………………………

ข้ามแม่น้ำแล้วรื้อสะพานทิ้ง เป็นสำนวน หมายถึงได้รับผลประโยชน์แล้วถีบหัวส่ง

ตั๊กแตนสองตัวบนเชือกเส้นเดียวกัน ความหมายเดียวกันกับลงเรือลำเดียวกัน เปรียบเทียบกับสองคนที่ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน เกิดเรื่องขึ้นมาทั้งนายทั้งข้าก็หนีไม่พ้น

สารจากผู้แปล

จะได้เห็นคุณย่าฟางแต่งตัวสวย ๆ บ้างแล้ว น่าจะเป็นคุณย่าที่สวยสับที่สุดแห่งยุคเลย

ยัยป้าหรงนี่ได้สิ้นเนื้อประดาตัวจริงๆ ก็ตอนนี้แหละ มาเล่นกับไฟแบบไม่ดูตัวเองเลย

ไหหม่า(海馬)