ตอนที่ 433 เถาจืออวิ๋นถูกข่มขู่

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 433 เถาจืออวิ๋นถูกข่มขู่

ชั่วพริบตาก็ถึงเวลาเลิกงานแล้ว เถาจืออวิ๋นเก็บกระเป๋า บอกลาเหรินเป่าจูกับโฮ่วซินอี้ แล้วรีบออกไปจากโรงงาน

ตอนนี้โรงเรียนอนุบาลถึงเวลาเลิกเรียนแล้ว หล่อนต้องไปรับฉีฉี

ตั้งแต่ฉีฉีเข้าเรียนในโรงเรียนอนุบาล เถาจืออวิ๋นก็รับเขามาดูแลเอง และไปรับไปส่งทุกวัน

ฉีฉีสูญเสียพ่อไปคนหนึ่งแล้ว แถมผู้เป็นแม่ยังมีเวลาให้น้อยลง เถาจืออวิ๋นจึงกลัวว่าเขาจะกลายเป็นคนมีบุคลิกเก็บตัวและขี้อาย ซึ่งจะส่งผลเสียเมื่อเขาเติบโตขึ้น

หล่อนอยากทำหน้าที่ในฐานะแม่ให้ดีที่สุด มอบความสุขในวัยเยาว์ให้เขามากเท่าที่จะทำได้

พอเถาจืออวิ๋นมาถึงโรงเรียนอนุบาล พ่อแม่ของนักเรียนหลายคนต่างก็มารับลูก ๆ ของตัวเองไปหมดแล้ว

เหลือเด็กอยู่แค่ไม่กี่คนที่ยืนอยู่หน้าประตูรั้วโรงเรียนพร้อมกับคุณครู รอให้ผู้ปกครองมารับกลับบ้าน

ทันทีที่ฉีฉีเห็นเถาจืออวิ๋น เขาก็เงยหน้าขึ้นแล้วพูดกับคุณครูด้วยท่าทางขี้อายว่า “แม่ผมมารับแล้วครับ”

คุณครูของฉีฉีจำเถาจืออวิ๋นได้ทันที จึงตอบกลับเบา ๆ ว่า “ไปสิ”

เด็กชายตัวน้อยวิ่งโผเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของเถาจืออวิ๋นอย่างไม่รอช้า

เถาจืออวิ๋นจูงมือฉีฉีเดินมาหาคุณครู พูดขอโทษอีกฝ่าย “ฉันต้องขอโทษด้วยนะคะ ที่มารับลูกชายช้า”

ถึงคุณครูจะตอบกลับอย่างสุภาพว่าไม่เป็นไร แต่เถาจืออวิ๋นรู้ดีว่าใจจริงอีกฝ่ายไม่ได้ยินดีอย่างปากว่า

ถ้าหล่อนเป็นครูเสียเอง ก็คงอารมณ์เสียไม่แพ้กันที่ถึงเวลาเลิกงานแล้วยังไม่สามารถกลับบ้านได้ เพราะต้องอยู่รอเป็นเพื่อนเด็ก ๆ ที่พ่อแม่ยังไม่มารับ

คุณครูของฉีฉีอารมณ์ไม่ค่อยดี แต่ก็ยังคงส่งยิ้มให้ นับว่ามีจรรยาบรรณสูงมาก

เถาจืออวิ๋นวางแผนว่าจะกลับไปลองถามหลินม่ายดู ว่าจะพอปรับเวลาเลิกเรียนของโรงเรียนอนุบาลใหม่ได้หรือเปล่า

เวลาเลิกเรียนในปัจจุบันอาจไม่สะดวกสำหรับผู้ปกครองที่ต้องทำงานประจำซึ่งมีเวลาเลิกงานตายตัว

สองแม่ลูกจับจูงมือกัน ไปที่ตลาดฝูตัวตัวเพื่อซื้อวัตถุดิบ แล้วกลับบ้านไปทำอาหารมื้อเย็น

ระหว่างทาง ฉีฉีพูดคุยกับเธอเกี่ยวกับเรื่องราวที่น่าตื่นตาสำหรับเขาในโรงเรียนอนุบาล ซึ่งเถาจืออวิ๋นก็ตั้งใจฟังมาก และตอบกลับเป็นครั้งคราว

ฉีฉีหยิบดอกไม้สีแดงดอกเล็ก ๆ สองสามดอกออกมาจากกระเป๋า แล้วยื่นให้เถาจืออวิ๋น “แม่ฮะ นี่เป็นรางวัลจากคุณครู”

เถาจืออวิ๋นรีบรับดอกไม้สีแดงมาจากเขา แล้วถามด้วยรอยยิ้ม “ทำไมคุณครูถึงให้รางวัลลูกเป็นดอกไม้สีแดงหลายดอกแบบนี้ล่ะ?”

ฉีฉีพูดด้วยความภาคภูมิใจ “เพราะผมนับเลขและท่องศัพท์เก่งที่สุดครับ!”

เถาจืออวิ๋นลูบศีรษะน้อย ๆ ของเขา “ฉีฉีของแม่เก่งจังเลย! แล้วโต้วโต้วล่ะ หล่อนนับเลขเก่งหรือท่องศัพท์เก่งไหม?”

ฉีฉีส่ายหน้า “ไม่เก่งฮะ แต่หล่อนวาดรูปเก่ง ร้องเพลงเก่ง แล้วก็เต้นเก่ง”

สองแม่ลูกเดินไปคุยไป ไม่นานนักก็ไม่ถึงตลาดสดฝูตัวตัว

เพื่อเป็นการประหยัดเวลา เถาจืออวิ๋นจึงพาฉีฉีเดินไปตามทางลัด หลังซื้อผักจำนวนหนึ่งมาจากตลาดฝูตัวตัว

พวกเขาทั้งสองเดินเข้าไปในซอยที่มีผู้คนพลุกพล่าน

ถ้าเดินผ่านซอยนี้ไป พวกเขาจะไปถึงบ้านพักสวัสดิการของโรงงานตัดเสื้อชุนเหล่ยได้อย่างรวดเร็ว

แต่เดินไปได้จนถึงกลางซอย ชายคนหนึ่งก็ปรี่เข้ามาหาพวกเขา เข้ามาขวางทางเถาจืออวิ๋นกับลูกชายเอาไว้

เถาจืออวิ๋นรีบผลักฉีฉีให้ไปอยู่ด้านหลังด้วยสัญชาตญาณความเป็นแม่ กวาดสายตาสำรวจผู้ชายตรงหน้าด้วยความหวาดระแวง “คุณเป็นใคร?”

ผู้ชายคนนี้แต่งตัวดี แถมยังพูดจาสุภาพ

เขาส่งยิ้มอย่างอ่อนโยนให้กับเถาจืออวิ๋น “สหาย อย่ากลัวไปเลย ผมแค่อยากเจรจาอะไรบางอย่างกับคุณนิดหน่อย”

เถาจืออวิ๋นคิดกับตัวเอง หล่อนไม่รู้จักเขาด้วยซ้ำ มีอะไรต้องเจรจากันล่ะ

ยังไม่ทันได้ปฏิเสธ ชายคนนั้นก็จ้องมองไปที่ฉีฉี แล้วพูดด้วยถ้อยคำแฝงเจตนาบางอย่าง “ลูกชายคุณน่ารักนะ ผมล่ะอยากมีลูกชายแบบนี้สักคนจริง ๆ”

ใบหน้าเถาจืออวิ๋นซีดเผือด

หล่อนไม่กลัวว่าผู้ชายคนนี้จะทำอะไรตัวเอง แต่กลัวว่าเขาจะทำร้ายฉีฉี

หล่อนกอดปกป้องฉีฉีไว้แน่น พยายามถอยหลังไปสองก้าว “คุณอยากเจรจาอะไร? รีบบอกมา”

ชายคนนี้เผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ราวกับสุนัขจิ้งจอก “เรื่องที่ผมอยากเจรจากับคุณ คงไม่ใช่เรื่องที่สามารถพูดคุยให้จบได้ภายในหนึ่งหรือสองประโยค ไปหาร้านอาหารเล็ก ๆ แถวนี้ แล้วนั่งคุยกันระหว่างกินอาหารกันเถอะครับ”

เถาจืออวิ๋นชั่งใจอยู่สองนาที จากนั้นก็พาฉีฉีเดินตามเขาไป

หล่อนกลัวว่าถ้าตัวเองปฏิเสธไม่ยอมเจรจากับผู้ชายคนนี้โดยดี เขาอาจลงมือทำร้ายหล่อนหรือลูกชายก็ได้ โดยเฉพาะฉีฉี

เถาจืออวิ๋นตัดสินใจว่าจะก้าวทีละก้าว แล้วลงมือทำเมื่อสบโอกาส

สองแม่ลูกถูกชายคนนั้นพาไปที่ร้านอาหารเล็ก ๆ ข้างทาง ก่อนจะนั่งลงในมุมที่อยู่ลับสายตาคน

เถ้าแก่ยิ้มร่า ถามว่าพวกเขาต้องการจะสั่งอะไร

ชายคนนั้นถาม “เมนูอยู่ไหน?”

เถ้าแก่ชี้ไปทางผนังร้านที่ค่อนข้างสกปรก “ติดอยู่ที่ผนัง”

ชายคนนั้นหันไปมองรายการอาหารบนผนัง แล้วหันกลับมาถามเถาจืออวิ๋นว่าอยากสั่งอะไร

เถาจืออวิ๋นไม่มีอารมณ์จะกินอะไรด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับสั่งอาหาร ดังนั้นจึงตอบปฏิเสธไป

ทว่าชายคนนั้นยังยืนกรานให้หล่อนสั่งให้ได้ หล่อนจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากสั่งอาหารสองจานกับซุปอีกอย่างหนึ่งแบบขอไปที

เถ้าแก่อดรู้สึกท้อแท้ไม่ได้ เพราเถาจืออวิ๋นสั่งแต่อาหารที่มีราคาถูก ไม่มีแม้แต่เนื้อสัตว์

พอเห็นแบบนั้น ชายคนนั้นก็หันมองไปทางผนังร้านอีกครั้ง แล้วสั่งว่า “ขอซี่โครงหมูตุ๋นหนึ่งจาน ปลาทรายแดงนึ่งหนึ่งจาน แล้วก็หมูเส้นผัดพริกหยวกอีกหนึ่งจาน”

ทันใดนั้นเถ้าแก่เจ้าของร้านก็มีความสุขขึ้นมาทันที ตะโกนสั่งลูกน้องที่เฝ้าอยู่หน้าเตาให้รีบทำอาหาร

พอเห็นเถ้าแก่เดินห่างออกไปแล้ว ชายคนนั้นถึงพูดกับเถาจืออวิ๋นด้วยเสียงเบาเหมือนกระซิบ “ผมตามหาคุณ เพราะอยากให้คุณช่วยอะไรผมหน่อย”

เถาจืออวิ๋นถามด้วยความระมัดระวัง “ช่วยอะไรคะ?”

“ให้คุณขึ้นไปให้การในชั้นศาล ว่าหลินม่ายสั่งให้คุณติดสินบนดีไซน์เนอร์ของโรงงานซีม่านเพื่อซื้อแพทเทิร์นมาเป็นของตัวเอง แล้วเปิดตัวเสื้อผ้าชุดนั้นก่อนซีม่าน”

สีหน้าเถาจืออวิ๋นเปลี่ยนเป็นจริงจัง “คุณจะให้ฉันทรยศ Unique เนี่ยนะ? อย่าแม้แต่จะคิด!”

ชายคนนั้นยิ้มุมปาก ก่อนจะหยิบเงินปึกหนึ่งออกมาจากกระเป๋าแล้ววางไว้ตรงหน้าหล่อน “คุณลองคิดดูอีกครั้งก็ได้นะ”

เถาจืออวิ๋นโกรธมาก ขึ้นเสียงโดยไม่รู้ตัว “คิดจะซื้อฉันด้วยเงินเหรอ? เห็นฉันเป็นคนหน้าเงินนักหรือไง?”

ชายคนนั้นตกใจกับเสียงของหล่อน รีบหันขวับไปมองลูกค้าสองสามคนที่นั่งกินอาหารอยู่ในร้าน

พวกเขาต่างหันมามองด้วยความสงสัย

ชายคนนั้นรีบหลบหน้า แสร้งทำตัวเป็นปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

เวลาทำเรื่องไม่ดีไม่งามสิ่งที่ควรระวังคือพยายามไม่ให้คนอื่นรู้ แต่ผู้หญิงคนนี้กลับตะโกนเสียงดัง เหมือนกลัวว่าคนอื่นจะไม่ได้ยินอย่างไรอย่างนั้น

ผู้หญิงคนนี้ดูไม่เหมือนคนโง่ ทำไมถึงได้ทำตัวปัญญาอ่อนแบบนี้กันนะ!

ชายคนนั้นลดเสียงลงพลางพูดว่า “นี่คุณ อย่าเสียงดังได้ไหม?”

เถาจืออวิ๋นหดคอลง ก่อนจะถามหยั่งเชิง “คุณมีเงินเท่าไหร่ล่ะ?”

ชายคนนั้นเหยียดนิ้วออกแทนคำตอบ

“ห้าร้อย?” เถาจืออวิ๋นส่ายหน้า “ฉันไม่มีวันทรยศแบรนด์ Unique ด้วยเงินสกปรกแค่ห้าร้อยหยวนจากคุณแน่”

ร่องรอยความรังเกียจฉายชัดในแววตาของชายคนนั้น

ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้ปัญญาอ่อน หล่อนแค่โลภมาก ถึงได้บอกว่าเงินห้าร้อยหยวนมันน้อยเกินไป!

เขาหยิบเงินอีกปึกหนึ่งออกมาจากกระเป๋า แล้ววางไว้ตรงหน้าเถาจืออวิ๋นเพิ่ม “ทีนี้คุณยอมให้การใส่ร้าย Unique ได้หรือยัง?”

เถาจืออวิ๋นจ้องมองเงินสองปึกที่อยู่บนโต๊ะอาหาร “เงินสองปึกนี้รวมกันได้หนึ่งพันหยวน?”

ชายคนนั้นพยักหน้า

เถาจืออวิ๋นผลักเงินสองปึกตรงหน้ากลับไปทางเขา ก่อนจะลั่นวาจาอย่างแข็งกร้าว “อย่าว่าแต่เงินหนึ่งพันหยวนที่คุณยอมจ่ายเพื่อให้ฉันหักหลังแบรนด์ Unique เลย ต่อให้คุณจะซื้อฉันด้วยเงินหนึ่งหมื่นหยวน ฉันก็ไม่มีทางทรยศต่อโรงงานของฉัน!”

“จริงเหรอ?” มุมปากชายคนนั้นโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มชั่วร้าย “ถ้าอย่างนั้นก็คอยดูแลลูกชายตัวเองให้ดี ๆ ก็แล้วกัน”

เถาจืออวิ๋นขึ้นเสียงอีกครั้งด้วยความหวาดกลัว “คุณกำลังจะบอกว่าถ้าฉันไม่ยอมรับสินบนจากคุณ คุณจะทำร้ายลูกชายฉันงั้นเหรอ?”

ชายคนนั้นหวาดกลัวยิ่งกว่าหล่อนเสียอีก เขารีบหันขวับมองไปรอบร้าน

เหล่าลูกค้าที่กำลังกินอาหารอยู่หันมามองด้วยความสงสัยอีกครั้ง

ชายคนนั้นเริ่มโกรธ “หยุดตะโกนสักทีได้ไหม?”

ระดับเสียงของเถาจืออวิ๋นไม่ลดลงเลย “คุณคิดจะทำร้ายลูกชายฉัน ยังมีหน้ามาบอกให้ฉันหยุดตะโกนอีกเหรอ?”

ชายคนนั้นผลักเงินสองปึกกลับไปหาเถาจืออวิ๋นอีกครั้ง “ในเมื่อคุณรู้แล้วว่าผมคิดจะทำร้ายลูกชายคุณ ถ้าอย่างนั้นก็ยอมรับเงินพวกนี้ไปซะดี ๆ แล้วทำตามที่ผมบอก ไม่งั้นก็รอรับผลที่ตามมาได้เลย!”

ขณะที่ชายคนนั้นพูด เขาก็ชักมีดสั้นที่สะท้อนแสงวาววับออกมาจากที่ไหนสักแห่ง แล้วโบกกวัดแกว่งไปมาต่อหน้าเถาจืออวิ๋นและลูกชาย

ใบหน้าเถาจืออวิ๋นซีดเผือดลงอีกครั้ง

หลังจากคิดทบทวนในใจอยู่นาน ในที่สุดหล่อนก็ยื่นมือสั่นเทาออกมา แล้วเก็บเงินสองปึกตรงหน้าเข้าถุงผ้าที่ตนตัดเย็บเอง

เมื่อเห็นว่าแผนสำเร็จ รอยยิ้มพึงพอใจก็ปรากฏบนใบหน้าชายคนนั้น

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

เอาไปให้หลินม่ายแทนหรือเปล่า? อย่างจืออวิ๋นน่ะเหรอจะยอมทรยศแบรนด์ต่อให้จะโดนข่มขู่ทำร้ายลูก

ไหหม่า(海馬)