บทที่ 385 ปฐมบรรพชนอีกาทอง ปฐมเทพขั้นสี่

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 385 ปฐมบรรพชนอีกาทอง ปฐมเทพขั้นสี่

นับตั้งแต่ได้เจียงตู๋กูเป็นสหาย กล่องจดหมายของหานเจวี๋ยก็ครึกครื้นขึ้น

คนผู้นี้เผชิญกับการโจมตีจากผู้ทรงพลังลึกลับอยู่ทุกปี ถูกสาปแช่งเป็นครั้งคราวด้วย แต่เขาไม่เกิดเรื่องขึ้นเลย ทั้งยังร่อนเร่ไปเรื่อยๆ

ร่อนเร่ไปเรื่อยขนาดนี้ ยังชื่นชมในแนวคิดที่เอาแต่บำเพ็ญของเขาอีกหรือ

หานเจวี๋ยรู้สึกว่าช่างไร้เหตุผลนัก!

หลังได้พบกับเจียงตู๋กู หานเจวี๋ยรู้สึกว่าแดนชำระบาปเก้าขุมไม่ปลอดภัยขึ้นเรื่อยๆ

แต่ที่นี่เหมาะให้เขาฝึกบำเพ็ญ เขาสามารถอยู่ต่ออีกสักพักได้

รอให้บรรลุระดับปฐมเทพขั้นหกแล้ว เขาจะเผ่นหนีทันที!

เวลาดำเนินต่อไป

ยี่สิบเจ็ดปีผ่านไป

ในวันนี้

ขณะที่หานเจวี๋ยกำลังฝึกบำเพ็ญอยู่ จู่ๆ เขาก็รู้สึกกระสับกระส่าย สังหรณ์อยู่รางๆ คล้ายว่ากำลังจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น

เขาลืมตาขึ้น คิดในใจ ‘เหตุใดข้าจึงรู้สึกกระสับกระส่าย’

[จำเป็นต้องหักอายุขัยหนึ่งพันล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]

หนึ่งพันล้านปี!

เรื่องร้ายใหญ่โตแน่!

หานเจวี๋ยกัดฟันเลือกดำเนินการต่อ

จากนั้นเขาเข้าสู่ภาพลวงตาวิวัฒนาการ

ที่นี่คือภายในตำหนักใหญ่ที่มีเปลวเพลิงแดงฉานลุกโชน เงาร่างไฟลุกท่วมมากมายมารวมตัวกันที่นี่ ทั้งหมดมองไปยังอีกาทองสามขาน่าพรั่นพรึงตัวหนึ่งที่อยู่ด้านหน้า

แม้ว่าอีกาทองสามขาตัวนี้จะหมอบอยู่ ก็ยังมีความสูงหลายหมื่นจั้ง มีระฆังสีทองใบใหญ่ทูนอยู่เหนือหัว

อีกาทองสามขาท่องคาถาลึกลับบางอย่าง ระฆังทองใบใหญ่สั่นไหวเล็กน้อย มีอักขระโบราณที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าผุดออกมาทีละแถวๆ หมุนวนอยู่รอบตัวระฆัง

“บรรพชนสำแดงเดช โปรดประทานพลังศักดิ์สิทธิ์เหนืออนันต์แก่เผ่าเทพอีกาทองของข้า สยบสรรพสิ่งทั้งปวง!”

อีกาทองสามขาเริ่มท่องประโยคนี้ซ้ำไปซ้ำมา เสียงดังขึ้นเรื่อยๆ ก้องสะท้อนอยู่ภายในตำหนัก

หานเจวี๋ยเลิกคิ้ว นี่มันอะไรกัน

ระฆังฟ้าบุพกาลหรือ

ในนิทานยุคก่อนประวัติศาสตร์เคยกล่าวไว้ว่า ตงหวงไท่อีต้นตระกูลอีกาทองครอบครองระฆังฟ้าบุพกาล หรือที่ขนานนามว่าระฆังจักรพรรดิบูรพา

แต่ในเทวตำนาน ตงหวงไท่อียังมีฐานะอื่นด้วย แตกแยกไปสารพัด แต่ที่สามารถยืนยันได้ข้อหนึ่งคือตงหวงไท่อี่เป็นเทพเจ้าในยุคบรรพกาลแน่นอน

เสียงลมหายใจหนักแน่นแว่วออกมาจากด้านในของระฆังทองใบใหญ่ ทำให้คนใจเต้นแรง

ฉากสถานการณ์พังทลายลงตรงนี้!

จิตรับรู้ของหานเจวี๋ยกลับสู่ความเป็นจริง

ไม่คิดเลยว่าพอวังเทพและวังปีศาจสิ้นท่าไป กลับมีกลุ่มอิทธิพลผงาดขึ้นมามากกว่าเดิม

มหาเคราะห์ที่ฆ่ากันไปฆ่ากันมาเช่นนี้ เหตุใดถึงมีคนเข้าร่วมมากขึ้นเรื่อยๆ เล่า

หานเจวี๋ยแอบดีใจกับตัวเอง โชคดีที่ตนไม่อาศัยอยู่ในแดนเซียน แดนเซียนกลายเป็นสมรภูมิรบของทวยเทพไปแล้วจริงๆ

ในเวลานี้เอง

หานเจวี๋ยรับรู้ถึงพลังจิตของจักรพรรดิสวรรค์ที่แผ่ออกมาจากป้ายคำสั่งมรรคาสวรรค์

จักรพรรดิสวรรค์ไม่ให้เขาติดต่อไป แล้วเหตุใดถึงเป็นฝ่ายติดต่อมาหาเขาเล่า

ดูเหมือนจักรพรรดิสวรรค์คงรับรู้ได้เช่นกันว่าเผ่าเทพอีกาทองกำลังจะก่อเรื่อง

หานเจวี๋ยเชื่อมต่อกระแสจิต เสียงจักรพรรดิสวรรค์แว่วออกมา “ดูแลอีกาทองในสังกัดของเจ้าด้วย ตี้หล่านเทียนแห่งเผ่าเทพอีกาทองเตรียมเรียกอีกาทองบรรพกาลออกมาแล้ว เมื่อถึงเวลาสายเลือดเผ่าอีกาทองจะกู่ก้องขานรับ คลุ้มคลั่งขึ้นมา”

หือ?

มีวิธีการเช่นนี้ด้วยหรือ

หานเจวี๋ยเอ่ยถาม “ขอบคุณสำหรับคำเตือนของฝ่าบาท เผ่าเทพอีกาทองพุ่งเป้าไปที่วังสวรรค์หรือ”

น้ำเสียงของจักรพรรดิสวรรค์ตึงเครียดอยู่บ้าง กล่าวตอบว่า “ใช่ ถึงอย่างไรพวกเขาก็ก่อตั้งวังสวรรค์เผ่าปีศาจขึ้นมา จะต้องกำจัดวังสวรรค์เป็นแน่ โลกนี้มีวังสวรรค์ได้เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น แต่เราก็หากลัวไม่!”

“ช่วงเวลาการดำรงอยู่ของวังสวรรค์แห่งเทพเซียนยาวนานกว่าวังสวรรค์เผ่าปีศาจ มรสุมเช่นใดบ้างเล่าที่ไม่เคยประสบพบพาน”

หานเจวี๋ยรู้สึกสบายใจขึ้นมาทันที แม้จะคลางแคลงใจว่าจักรพรรดิสวรรค์กำลังคุยโม้ แต่ขอเพียงไม่สูญเสียความมั่นใจไปก็พอ

“ฝ่าบาท ไม่ทราบว่าท่านรู้จักจักรพรรดิหยกโจวเหยี่ยนหรือไม่” หานเจวี๋ยแสร้งเอ่ยถามไปเรื่อย

“รู้สิ จักรพรรดิวังสวรรค์รุ่นที่สาม เหตุใดเจ้าจึงถามถึงเขา”

“ไม่มีอะไรพ่ะย่ะค่ะ ข้าเพียงเคยได้ยินตี้ไท่ไป๋เอ่ยถึงจักรพรรดิหยกโจวเหยี่ยนด้วยความเคารพอย่างยิ่ง ตอนนี้เฮ่าเทียนเข้าสู่โลกแล้ว จักรพรรดิหยกโจวเหยี่ยนจะหวนคืนมาด้วยหรือไม่”

“เรื่องนั้นไม่ต้องกังวลหรอก จักรพรรดิหยกโจวเหยี่ยนมีสายสัมพันธ์อันดียิ่งกับเรา ที่เราได้รับตำแหน่งเขาก็มีส่วนช่วยเหลือมากนัก”

หืม?

คนกันเองหรือ

เขาหลงนึกว่าจักรพรรดิหยกโจวเหยี่ยนเป็นตัวการลึกลับที่แอบซุ่มอยู่ในมุมมืด ไม่คิดเลยว่าจะเป็นที่พึ่งของวังสวรรค์…

จักรพรรดิสวรรค์เอ่ยกลั้วหัวเราะ “ผู้อาวุโสอย่างเขาร้ายกาจนัก เพราะมีเขาอยู่ วังสวรรค์ถึงคงอยู่มาอย่างยาวนาน”

“ที่แท้เป็นเช่นนี้ เช่นนั้นข้าก็วางใจแล้ว”

“อืม”

หลังจากจบการสนทนา หัวคิ้วของหานเจวี๋ยกลับขมวดเป็นปม

จักรพรรดิเซียนวัฏจักรและจักรพรรดิสวรรค์ต่างเป็นลูกน้องของจักรพรรดิหยกโจวเหยี่ยน ทว่าจักรพรรดิเซียนวัฏจักรกลับวางแผนเล่นงานกันเองหรือ

จิวยี่ทำทีโบยอุยกาย[1]หรืออย่างไร

หานเจวี๋ยรู้สึกว่าไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย จึงเริ่มใช้ระบบวิวัฒนาการ ‘จักรพรรดิเซียนวัฏจักรและจักรพรรดิหยกโจวเหยี่ยนเป็นพวกเดียวกันหรือไม่’

[จำเป็นต้องหักอายุขัยหนึ่งพันล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]

ดำเนินการต่อ!

[ปัจจุบันนี้ไม่ใช่]

ที่แท้ก็เป็นแบบนี้

จักรพรรดิเซียนวัฏจักรทรยศสินะ

หานเจวี๋ยวิวัฒนาการต่อ ‘จักรพรรดิหยกโจวเหยี่ยนมีเจตนาเอาชีวิตจักรพรรดิสวรรค์หรือไม่’

[จำเป็นต้องหักอายุขัยสามพันล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]

ดำเนินการต่อ!

หัวใจของหานเจวี๋ยหลั่งโลหิตแล้ว

[ขณะนี้ยังไม่มี]

หานเจวี๋ยโล่งอกแล้ว

แม้ว่าภายหน้าจักรพรรดิหยกโจวเหยี่ยนจะทำนายหาเบาะแสของเขา แต่ขอเพียงคุ้มครองจักรพรรดิสวรรค์ได้ก็เพียงพอ

เช่นนั้นหานเจวี๋ยก็สามารถปิดด่านบำเพ็ญอย่างสบายใจต่อได้

แต่ยังคงมีจุดที่ผิดปกติอยู่

ในภาพลวงตาวิวัฒนาการก่อนหน้านี้ จักรพรรดิสวรรค์สิ้นชีพอยู่หลายหน สื่อให้เห็นว่าจักรพรรดิหยกโจวเหยี่ยนมิเคยลงมือช่วยเหลือเลย

หรือว่าจักรพรรดิหยกโจวเหยี่ยนเองก็สิ้นชีพเช่นกัน

หานเจวี๋ยคิดไม่ออกเลย ทำได้เพียงละวางเรื่องนี้ไว้ก่อนชั่วคราว

‘ฝึกบำเพ็ญต่อ ทะลวงขั้นให้ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน!’

ดวงตาหานเจวี๋ยฉายแววมุ่งมั่น

….

สิบห้าปีต่อมา

โอกาสทะลวงขั้นของหานเจวี๋ยมาถึงแล้ว เขาเริ่มทะลวงสู่ระดับปฐมเทพขั้นสี่

สี่ปีผ่านไป

เขาทะลวงขั้นได้สำเร็จ!

ปฐมเทพขั้นสี่!

พลังเวทปฐมเทพของหานเจวี๋ยเริ่มพลุ่งพล่าน คุณสมบัติทางกายภาพก็แข็งแกร่งขึ้น

เขาควบรวมตบะพลางเรียกจอค่าสถานะของตนออกมาตรวจสอบ

[ชื่อ: หานเจวี๋ย]

[อายุขัย: 5410/439,999,999,999,999,999]

[เผ่าพันธุ์: เทพมารอนธการ]

[ตบะ: ปฐมเทพขั้นสี่]

[วิชายุทธ์: มหามรรควัฏจักรอนธการ วิชาชุบร่างวัฏจักรดารา]

[มหามรรค: มหามรรคเวียนว่ายตายเกิด มหามรรคแห่งกรรม]

….

มองเห็นความหวังที่จะสำเร็จเป็นต้าหลัวได้ก่อนอายุครบหมื่นปีแล้ว!

หานเจวี๋ยคิดอย่างพึงพอใจ

แน่นอน นี่เป็นเพียงความหวังอันเลื่อนลอยของเขาเท่านั้น บางทีอาจต้องใช้ระยะเวลานานโขกว่าจะไปถึงระดับต้าหลัว

สามปีผ่านไป

ตบะของหานเจวี๋ยมั่นคงสมบูรณ์ เดิมทีเขาคิดจะฉลองสักหน่อย จู่ๆ กลับพบว่าไม่มีศัตรูที่ควรค่าให้สาปแช่งสังหารเลย

หลี่เสวียนเอ้าถูกหานเจวี๋ยตามรังควานอยู่ตลอด หลี่เต้าคงก็มีไมตรีต่อหานเจวี๋ยยิ่ง เขาละอายใจไม่กล้าทำร้ายหลี่เต้าคง หากหลี่เสวียนเอ้าตาย หลี่เต้าคงก็ต้องตายเหมือนกันมิใช่หรือ

สามารถแช่งเฮ่าเทียนให้ตายได้ แต่ตอนนี้เขามีร่างกายร่วมกับหลงเฮ่า ไม่อาจสาปแช่งได้

ไท่ซู่เทียนก็ถูกเขาตรวจสอบอย่างชัดเจนว่าขณะนี้ยังไม่มีเจตนาร้ายต่อเขา

จักรพรรดิหยกโจวเหยี่ยนแข็งแกร่งเกินไป จะแหวกหญ้าให้งูตื่นไม่ได้

จักรพรรดิเซียนวัฏจักรยังคงประทับใจในตัวเขา หานเจวี๋ยก็กระดากเกินกว่าจะเล่นงานเขาให้ตาย

ศัตรูรายอื่นล้วนมีความเกลียดชังต่ำเตี้ยทั้งสิ้น อย่างมากก็แค่ไม่ชอบหรือรังเกียจเขาเท่านั้น

‘เฮ้อ…ทำไมจู่ๆ ถึงว่างอยู่บ้างเล่า’

เขาอดไม่ได้ที่จะนึกถึงบรรพชนพุทธทมรรคาสวรรค์ จักรพรรดิปีศาจและจู่ถูขึ้นมา

เขาต่ำช้าจริงๆ

แต่เช่นนี้กลับดียิ่งนักแล้ว

หานเจวี๋ยส่ายหน้าหลุดยิ้ม

ช่างเถิด ฝึกบำเพ็ญต่อดีกว่า!

หานเจวี๋ยฝึกบำเพ็ญพลางเรียกจดหมายออกมาตรวจดู

[ซูฉีศิษย์ของท่านสำเร็จเป็นจักรพรรดิเซียนโชคร้าย หมื่นเคราะห์มิกล้ำกราย สังขารผันสู่กรรม]

[จี้เซียนเสินสหายของท่านรับสืบทอดมรดกเทพสงคราม บรรลุระดับจักรพรรดิ สำเร็จเป็นจักรพรรดิเซียนสูงศักดิ์]

[หวงจุนเทียนสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากศิษย์ของนิกายเจี๋ย] x6

[เซวี่ยหมิงเหอสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากผู้ทรงพลังเผ่ามนุษย์ บาดเจ็บสาหัส]

[ยอดแม่ทัพเทพสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากยอดฝีมือระดับเทพแห่งเผ่าปีศาจ] x8

[หลี่เต้าคงสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากเจียงตู๋กูสหายของท่าน]

[จักรพรรดิสวรรค์สหายของท่านเผชิญกับคำสาปแช่งลึกลับ]

[ฟางเหลียงศิษย์หลานของท่านเผชิญกับคำสาปแช่งลึกลับ]

[โจวฝานสหายของท่านเผชิญกับคำสาปแช่งลึกลับ]

………………………………………………………………

[1] จิวยี่ทำทีโบยอุยกาย เป็นเนื้อความตอนหนึ่งจากเรื่องสามก๊ก ต่อมากลายเป็นสำนวนสื่อถึงการแกล้งแตกหักให้คนของตนไปเข้าพวกกับฝ่ายศัตรูเพื่อเป็นหนอนบ่อนไส้