บทที่ 386 ระฆังบรรพกษัตริย์ บุตรสวรรค์ผู้เลิศล้ำแห่งวังสวรรค์

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 386 ระฆังบรรพกษัตริย์ บุตรสวรรค์ผู้เลิศล้ำแห่งวังสวรรค์

ซูฉีและจี้เซียนเสินต่างกลายเป็นจักรพรรดิเซียน!

หานเจวี๋ยสะเทือนใจอย่างยิ่ง กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในมุมมองของเขาระดับจักรพรรดิเซียนช่างอยู่ไกลเกินเอื้อม แต่ตอนนี้แม้แต่ศิษย์ของเขาก็กลายเป็นจักรพรรดิเซียนกันถ้วนหน้า

นี่สินะการเปลี่ยนผ่านของกาลเวลา

เมื่ออ่านไล่ลงไป กลับไม่มีจดหมายที่ดึงดูดความสนใจของหานเจวี๋ยได้สักเท่าไร

สิ่งที่เขาสนใจอย่างยิ่งก็คือเมื่อไรหลี่เต้าคงถึงจะบาดเจ็บสาหัส

เผชิญกับการโจมตีจากครึ่งอริยะอย่างเจียงตู๋กู เขาก็ไม่บาดเจ็บอีกหรือ หรือนี่จะเป็นการประลองแลกเปลี่ยนระหว่างศิษย์นิกายเหรินด้วยกัน

‘หลี่เต้าคงอยากรับข้าเป็นศิษย์ถึงเพียงนั้น ข้ากลับอยากเห็นเขาถูกทุบตีงั้นหรือ’

หานเจวี๋ยแอบรู้สึกละอายใจ รู้สึกว่าความคิดของตนช่างเลวร้ายนัก

แดนเซียนยามนี้ชั่วดีผสมปนเป กลุ่มอิทธิพลต่างๆ ขัดแย้งกันไปมาเป็นทอดๆ มองไม่ออกชั่วขณะว่าผู้ใดจะมีชัยได้รับดวงชะตามหาเคราะห์

หลังจากหานเจวี๋ยอ่านจดหมายเสร็จก็เรียกแปดพี่น้องภูตน้ำเต้าออกมา

หานอีถึงหานชีล้วนเป็นภูตน้ำเต้าชั้นเซียนดินแล้ว ทว่าคุณสมบัติของหานปากลับโดดเด่นกว่า เป็นภูตน้ำเต้าฟ้าบุพกาล แปดพี่น้องมานะฝึกบำเพ็ญอยู่ในเกาะสำนักซ่อนเร้นมาโดยตลอด จนใจที่เพิ่งฝึกบำเพ็ญได้ไม่นาน จึงไม่สามารถฝ่าฟันเข้าไปถึงสิบลำดับแรกในการประลองใหญ่ประจำสักซ่อนเร้นได้ หานปาเองก็เช่นกัน

หานเจวี๋ยชี้แนะพวกเขาเล็กน้อย ถึงอย่างไรพวกเขาก็ใช้แซ่ตามตน เปรียบเสมือนบุตรชายของตน

แปดพี่น้องหานรู้สึกประหม่าอย่างยิ่ง หานเจวี๋ยไม่เคยเรียกพบพวกเขาเป็นการส่วนตัวมานานมากแล้ว

“พวกเจ้าอยากเรียนพลังวิเศษใด”

หานเจวี๋ยเปิดปากถาม ยามนี้เขามีพลังวิเศษมากมายหลายสิบอย่าง วิชายุทธ์ก็มากเช่นกัน ถึงแม้จะอยู่ในสถานการณ์ที่เขาคร้านจะรังสรรค์พลังวิเศษของตนขึ้น ก็ยังมีพอให้เขาใช้สั่งสอนศิษย์ในสำนักอยู่

หานปาชิงเอ่ยขึ้นมาก่อน “ข้าอยากเรียนพลังวิเศษที่แข็งแกร่งที่สุดขอรับ!”

พอพูดจบ หานอีถลึงตาใส่เขาแวบหนึ่งจนเขาสะดุ้งรีบก้มหน้าลงไป

พี่น้องภูตน้ำเต้าที่เหลือล้วนรู้สึกหวั่นวิตกขึ้นมา กลัวจะทำให้หานเจวี๋ยโมโห

ใบหน้าหานเจวี๋ยเรียบเฉย ทว่าแอบขำอยู่ในใจ

ดูเหมือนการประลองใหญ่ประจำศตวรรษจะก่อให้เกิดคลื่นภายในสำนักขึ้นมาแล้ว นี่กลับเป็นเรื่องดี ถึงอย่างไรกลุ่มคนเหล่านี้นอกจากวัดกันว่าผู้ใดแข็งแกร่งผู้ใดอ่อนแอ พวกเขาก็ไม่มีเรื่องทุกข์ร้อนอื่นใดอีก หากไร้ซึ่งแรงกดดัน จะก้าวหน้าได้อย่างไรเล่า

หานเจวี๋ยคิดดูเล็กน้อย กล่าวไปว่า “เช่นนั้นข้าจะถ่ายทอดแสงเทพเบญจธาตุให้ พลังวิเศษนี้หากฝึกฝนไปถึงขั้นสูงสุด จะปราบได้ทุกสิ่ง ฝ่าทะลวงหมื่นเคราะห์ภัย หวังว่าพวกเจ้าจะสำแดงความเกรียงไกรของพลังวิเศษนี้ออกมาได้

เมื่อแปดพี่น้องได้ยินพลันรู้สึกซาบซึ้งตื้นตัน พากันโขกศีรษะ คารวะขอบคุณหานเจวี๋ย

ครึ่งปีผ่านไป

เมื่อพวกเขาออกจากถ้ำ ทุกคนต่างเข้ามารุนล้อม ล้วนสนใจใคร่รู้ว่าพวกเขาร่ำเรียนพลังวิเศษใด

สำหรับเรื่องนี้ แปดพี่น้องก็เป็นเช่นเดียวกับลี่เหยาทำตัวลึกลับยิ่ง

“เมื่อถึงงานประลองครั้งต่อไปก็รู้เอง!”

หานอีกล่าวด้วยความผยองภาคภูมิใจ นอกเหนือจากหานปาแล้ว ภูตน้ำเต้าอีกหกตนล้วนมีสีหน้าภาคภูมิใจเช่นกัน

ไก่คุกรัตติกาลโมโหแทบตายแล้ว “เมื่อไรจะเป็นตาของท่านไก่บ้าง ท่านไก่ว่านอนสอนง่ายเป็นที่สุด!”

สวินฉางอันเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “วิหคชาดคราวก่อนมินับเป็นรางวัลหรอกหรือ”

โจวหมิงเยวี่ยเป็นมหาอริยะผิงเทียนกลับชาติมาเกิดและหลี่ว์ฮว่าซวีเป็นมหาจักรพรรดิจื่อเวยกลับชาติมาเกิดล้วนพยักหน้ารับ

ศิษย์อย่างพวกเขาต่างหากที่ไม่ได้รับการดูแลเลย!

จนปัญญาที่ลำดับอาวุโสน้อยที่สุด พวกเขาจึงเป็นฝ่ายไปหาหานเจวี๋ยโดยพลการไม่ได้

ใต้ต้นฝูซัง สุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้นสะบัดหาง เอ่ยอย่างเกียจคร้าน “นับลำดับอาวุโสเอาเถิด พวกเขาแปดพี่น้องใช้แซ่หาน พวกเจ้าเล่าแซ่หานด้วยหรือไม่”

โจวหมิงเยวี่ยแผดเสียงขึ้นมา “นับจากวันนี้ไป ข้าชื่อหานหมิงเยวี่ย!”

หลี่ว์ฮว่าซวียกมือปิดหน้า เขาทำตัวไร้ยางอายเช่นโจวหมิงเยวี่ยไม่ได้

ถูหลิงเอ๋อร์เม้มปากเอ่ยวาจา “คนต่อไปต้องเป็นข้าแน่!”

อีกาทองเจ้าใหญ่ทนไม่ไหว เอ่ยไปว่า “เหตุใดถึงต้องเป็นเจ้าอีก เจ้าไปหลายครั้งแล้ว!”

ทุกคนเริ่มโหวกเหวกโวยวาย แน่นอนว่าส่วนใหญ่ล้วนเป็นการหยอกล้อ มิได้ริษยากันเป็นจริงเป็นจัง

ถึงอย่างไรพวกเขาล้วนอยู่ใต้การดูแลของหานเจวี๋ยเหมือนกัน

ต้วนหงเฉินนั่งอยู่ในมุมหนึ่ง ขมวดคิ้วแน่น ไม่ทราบว่ากำลังคิดอะไรอยู่

….

ภายในตำหนักใหญ่เพลิงลุกโชติช่วงหลังหนึ่ง ตี้หล่านเทียนแปลงกายเป็นมนุษย์นั่งอยู่บนบัลลังก์

หลงเฮ่าพร้อมด้วยผู้ทรงพลังเผ่ามังกรแท้เจ็ดคนเดินเข้ามาในตำหนัก สองข้างทางล้วนเป็นผู้อาวุโสของเผ่าเทพอีกาทอง

ตี้หล่านเทียนเพ่งพินิจหลงเฮ่าอย่างคร่งขรึม ในดวงตาฉายแววประหลาดใจแวบหนึ่ง

หลงเฮ่าหยุดเท้า ประสานหมัดเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าพเจ้าคือหลงเฮ่า จักรพรรดิวังมังกรแห่งวังมังกร ขอเข้าพบหัวหน้าเผ่าเทพอีกาทอง!”

ตี้หล่านเทียนกวาดตามองคนทั้งเจ็ดที่อยู่ด้านหลังหลงเฮ่า เอ่ยอย่างไม่ยี่หระ “เจ้าได้รับการสนับสนุนจากเผ่ามังกรแท้แล้ว มาหาข้าด้วยเรื่องใดเล่า อยากจับมือเป็นพันธมิตรกับข้างั้นหรือ”

เผ่าเทพอีกาทองและเผ่ามังกรไม่ลงรอยกัน อีกาทองกล่าวอ้างว่ามังกรคืออาหาร เผ่ามังกรแท้จะทนไหวได้อย่างไร

สองเผ่าสังหารฟาดฟันกันอยู่เสมอ นับว่าเป็นศัตรูคู่แค้นกัน

หลงเฮ่าจ้องมองตี้หล่านเทียน เอ่ยว่า “แดนเซียนแห่งนี้เป็นกระดานหมากของมรรคาสวรรค์ไปแล้ว พวกเราต่างเป็นตัวหมากกันทั้งสิ้น แต่หากพวกเราร่วมมือกันก็สามารถกลายเป็นผู้คุมกระดานหมากได้ ข้าได้ยินมาว่าเผ่าเทพอีกาทองปลุกชีพระฆังบรรพกษัตริย์ พวกท่านเองก็คงไม่อยากเป็นตัวหมากเช่นกันกระมัง”

ตี้หล่านเทียนพูดจาถากถาง “ในเมื่อเจ้ารู้จักระฆังบรรพกษัตริย์ เจ้ายังกล้ามาอีกหรือ”

เขาชูมือขวาขึ้น โบกเบาๆ ระฆังบรรพกษัตริย์งามสง่าน่าเกรงขามพลันปรากฏขึ้นกลางอากาศ ดุจเขาไท่ซานลอยฟ้า พร้อมจะหล่นลงมาได้ทุกเมื่อ

หลงเฮ่าทำราวกับมองไม่เห็นระฆังบรรพกษัตริย์ที่ลอยอยู่เหนือหัว เขายิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “ระฆังบรรพกษัตริย์สามารถสะกดอริยะได้หรือ”

เมื่อตี้หล่านเทียนได้ยินก็มีสีหน้ามืดครึ้มลงทันที

“ข้าต้องการโค่นล้มวังสวรรค์ ข้าอยากเป็นจักรพรรดิสวรรค์ ข้ายินดีแบ่งปันกับท่าน สองจักรพรรดิร่วมครองวังสวรรค์เฉกเช่นสี่ยอดมหาจักรพรรดิแห่งวังสวรรค์ ท่านดูแลสวรรค์ ข้าดูแลโลก เป็นอย่างไร” หลงเฮ่ากล่าววาจาดวงตาโชนแสงวาววับ

ตี้หล่านเทียนเอ่ยถาม “จักรพรรดิสวรรค์มิได้ยกตำแหน่งให้เจ้าหรือไร เจ้าคือโอรสที่แข็งแกร่งที่สุดของจักรพรรดิสวรรค์”

“เขาเลี่ยงคำครหา เชื่อฟังวาจาอริยะ คิดว่าจักรพรรดิสวรรค์รุ่นต่อไปสมควรเป็นมนุษย์สามัญ”

“โอ้ เป็นมนุษย์คนใดเล่า สามแม่ทัพคล้ายว่าจะมาจากเผ่ามนุษย์กันทั้งสิ้นกระมัง”

“ถูกต้อง ในเมื่อท่านทราบดี เช่นนั้นคงไม่นึกสงสัยในเหตุจูงใจของข้ากระมัง”

“เจ้ามีคุณสมบัติเพียงพอหรือ”

ตี้หล่านเทียนส่ายหน้า ไม่มองหลงเฮ่าอีก

ในมุมมองของเขา หลงเฮ่าอ่อนเยาว์เกินไป

“เขามีคุณสมบัติไม่พอ แล้วเราล่ะ!”

น้ำเสียงทรงอำนาจดังออกมาจากร่างของหลงเฮ่า ปราณมังกรห้าสีทะลักออกมาจากร่างเขาทีละสาย ก่อตัวเป็นร่างเงาแสงทองร่างหนึ่ง

เป็นเฮ่าเทียน!

ตี้หล่านเทียนสีหน้าแปรเปลี่ยน หรี่ตาเอ่ยวาจา “เฮ่าเทียน! ไม่คิดเลยว่าผู้อาวุโสอย่างเจ้าจะยังมีชีวิตอยู่!”

เฮ่าเทียนกล่าว “ในเมื่อเรียกขานเราเป็นผู้อาวุโส จะยอมร่วมมือกันหรือไม่ เราอยากจัดการคนผู้นั้นที่อยู่เบื้องหลังวังสวรรค์!”

“เช่นนั้นก็ไม่มีปัญหา!”

ตี้หล่านเทียนตอบรับว่องไวฉับพลัน

เฮ่าเทียนเผยรอยยิ้ม เอ่ยว่า “เจ้าคุยกับเขาเอาเถิด”

เขากลายเป็นหมอกควันสลายหายไป

สองมือของหลงเฮ่าที่กำแน่นอยู่ในแขนเสื้อพลันคลายออก เขาเพียงแสร้งทำเป็นมั่นใจเท่านั้น ความรู้สึกกดดันจากระฆังบรรพกษัตริย์ที่อยู่เหนือหัวมิใช่เรื่องล้อเล่นเลย

ตี้หล่านเทียนจ้องมองหลงเฮ่า มองอยู่พักหนึ่ง ทันใดนั้นพลันเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “ได้ยินว่าอาจารย์ของเจ้าคือบุตรแห่งสวรรค์ที่จักรพรรดิสวรรค์ชุบเลี้ยงให้ความสำคัญ เจียงอี้ของเผ่าข้าก็เพราะได้รับการแจ้งข่าวจากเขา ถึงได้รับความช่วยเหลือ อาจารย์ของเจ้าฝึกบำเพ็ญอย่างไร ยามนี้ตบะอยู่ในระดับใด”

หลงเฮ่าเอ่ยยิ้มๆ “ข้าก็ไม่ทราบชัดเจน เพียงแต่ข้าเคยได้ยินเสด็จพ่อของข้าบอกไว้ ปัจจุบันนี้อาจารย์ของข้าน่าจะอายุห้าพันปีกว่าๆ ด้วยคุณสมบัติของเขา อย่างน้อยก็คงมีตบะระดับจักรพรรดิเซียนห้าวัฏ”

ม่านตาตี้หล่านเทียนหดเล็กลง ก่อนจะกล่าวด้วยความสะท้อนใจ “อายุห้าพันปีกว่าๆ ก็บรรลุระดับจักรพรรดิเซียนห้าวัฏได้แล้ว คุณสมบัติเช่นนี้เลิศล้ำกว่าเต้าจื้อจุนแห่งวังเทพเสียอีก ไม่ถูกสิ สมควรเป็นเต้าจื้อจุนแห่งวังสวรรค์กระมัง”

ในดวงตาของหลงเฮ่าเผยแววเคารพยำเกรง บอกเล่าว่า “อาจารย์ข้าไม่เข้าสู่เคราะห์กรรม แต่คุณสมบัติของเขาเลิศล้ำ วันหน้าจะกลายเป็นสุดยอดผู้ทรงพลังแห่งฟ้าดินแน่ เขาจะกลายเป็นเสาหลักให้วังสวรรค์ยุคใหม่ของพวกเรา”

………………………………………………………………