บทที่ 429 ต้วนเสวหมิ่น

เจ้าของร้านพิศวง

บทที่ 429 : ต้วนเสวหมิ่น

“แล้ว…อะไรคือกุ้ยช่ายล่ะเนี่ย?”

ฟรังก้าขมวดคิ้ว นิ้วเรียวของเธอเลื่อนผ่านหน้ากระดาษที่เต็มไปด้วยสีสัน อดงุนงงไม่ได้

นับแต่ที่เธอซื้อหนังสือ ‘1,000 เมนูอาหารพื้นบ้านคลาสสิก (ฉบับสี 365 วัน)’ ที่งานประมูลของตระกูลจี้มา ฟรังก้าก็ร่ำเรียนทำอาหารจากตำราที่บ้านแทบทุกวัน

แต่เมนูบางอย่างในตำราอาหารนี้ก็ชวนงุนงงดีแท้

เหมือนกับ…เจ้ากุยช่ายนี่

ฟรังก้าอ่านหนังสือมาตั้งมากมาย แต่ก็ไม่เคยเจอพืชผักอะไรชื่อกุยช่ายมาก่อน

“จากภาพ มันดูคล้าย ๆ หญ้าผมดำนิดหน่อยแฮะ” ฟรังก้าเม้มปาก และจู่ ๆ ก็ขนลุก

เรื่องราวของหญ้าผมดำนั้นต้องย้อนกลับไปเมื่อหลายพันปีก่อน มีสัตว์ประหลาดยักษ์ตนหนึ่งที่ร่างเต็มไปด้วยเมือกหนืดเหนียวและปากมากมาย เนื้อเรียงเป็นชั้นราวดอกไม้สีขาว และใต้ตัวมันมีหญ้าที่เหมือนเส้นผมสีดำเติบโต

ในชั่วขณะนั้น มนุษย์จะนำร่างที่ตายแล้วของคนที่รักมาป้อนมัน จากนั้นก็เก็บหญ้าไปกิน

เพื่อพิสูจน์ว่าหญ้าผมดำและกุยช่ายจีนใช่ต้นเดียวกันหรือเปล่า ฟรังก้าผู้กระหายความรู้อย่างหาได้ยากได้ขลุกในห้องสมุดอันกว้างขวางของตนเองเพื่อค้นหาสิ่งต่าง ๆ เกี่ยวกับหญ้าผมดำ กระทั่งหาดูรูปของสัตว์ประหลาดที่เป็นเจ้าของหญ้าผมดำซึ่งเต็มไปด้วยเมือกและปาก

บนเสาเนื้อสองชั้นมีปากผุดขึ้นเต็มไปหมด แลบลิ้นออกมายาวเหยียด

อี๋…!

ฟรังก้าคลื่นไส้

แต่เจ้ากุยช่ายนี่ดูจะอร่อยมาก ไม่น่าใช่หญ้าผมดำหรอก

ฟรังก้าถอนหายใจและเปิดอ่านหน้าต่อ ๆ ไปของตำราอาหารเล่มหนา และในที่สุดก็เห็นเมนูหนึ่ง…

ไก่ต้ม!

ส่วนผสมที่ใช้ไม่เยอะ วิธีทำก็ง่าย วัตถุดิบหลักก็คือไก่

“อืม…มันเป็นหนึ่งในเมนูทางใต้ รูปร่างสวย หนังเหลืองเนื้อขาว นุ่มอร่อยรสชาติดี” มือเรียวของฟรังก้าลูบไปบนหน้ากระดาษ และหยุดลงที่คำว่า ‘ทางใต้’

“ทางใต้? ไหนล่ะทางใต้?” ฟรังก้าฉงนสงสัย จากนั้นเธอก็เด้งลุกขึ้นจากเตียง กล่าวกับตนเองด้วยน้ำเสียงติดจะว้าเหว่เล็กน้อย “อย่างไรซะ ทางใต้ก็คงอยู่ไกล๊ไกลแหละ”

ฟรังก้าเกิดมาในตระกูลนักเวทมนตร์ขาวผู้สูงศักดิ์ เป็นไปไม่ได้เลยที่ลูกสาวสายตรงของตระกูลนักเวทผู้สูงส่งจะออกไปไหนมาไหนง่าย ๆ ดังนั้นสถานที่ที่ไกลที่สุดเท่าที่ฟรังก้าเคยไปก็คือสวนในเขตกลาง

ในฐานะนักเวทมนตร์ขาวผู้สูงส่ง ตระกูลเคอร์ติสมีกฎของตระกูลที่เคร่งครัดมาก และพวกเขาขึ้นชื่อด้านการวิจัยเวทมนตร์ขาวเกี่ยวกับดาราศาสตร์และสิ่งต่าง ๆ บนฟ้ามาหลายชั่วอายุคน

ตระกูลนี้เป็นที่รู้จักด้านความภาคภูมิ โดยเฉพาะการเป็นปึกแผ่นเดียวกันและการวิจัยทางวิชาการ แต่ความจริงแล้ว พวกเขาหัวโบราณและแยกจากวังวนอำนาจของเขตกลางมากเกินไป แต่ตระกูลเคอร์ติสดูจะมีความสุขดี

ฟรังก้า ลูกสาวคนเดียวของหัวหน้าตระกูลไม่ค่อยมีโอกาสได้ไปไหนมากนัก แต่ที่จริงแล้ว เธอสนใจในเจ้าของร้านหนังสือที่ร่วมมือกับตระกูลจี้มาก ๆ

ในเมื่อเขาขายหนังสือ เขาก็น่ามีความเข้าใจในเนื้อหาของหนังสือเล่มนี้ใช่ไหม? บางทีเขาอาจจะรอบรู้สุด ๆ เลยก็ได้

ไม่รู้ว่าเมนูอาหารในหนังสือเล่มนี้ล้ำหน้ากว่านอร์ซินไปกี่เท่ากันแน่ แต่แค่ไก่อย่างเดียวก็มีวิธีทำอาหารเป็นสิบ ๆ แบบ สุดยอดไปเลย

ถามหน่อยสิ ถ้าเจ้าของร้านหนังสือไม่เข้าใจมัน เขาจะขายมันได้อย่างไรล่ะเนอะ

“ต้องหาโอกาสแล้ว เราต้องไปหาเจ้าของร้านหนังสือให้ได้ แต่ก่อนหน้านี้ เราลองทำเจ้าไก่ต้มนี่ก่อนดีกว่า” ฟรังก้าลุกจากที่นอน

วันนี้พ่อของเธอไม่ได้อยู่บ้าน แม่ของซูซานที่สอนมารยาทให้กับเธอก็ยังไปเป็นครูสอนมารยาทให้กับสถาบันอบรมสาวใช้ ดังนั้นเธอจึงสามารถแอบใช้ครัวได้

หลังจากลอกเนื้อหาในหนังสือลงบนกระดาษ เธอก็เก็บหนังสืออย่างระมัดระวังไว้ในตู้เซฟแล้วแอบย่องไปในครัว ทว่าก่อนที่เธอจะทันไปถึง เธอก็บังเอิญเหลือบไปเห็นหญิงสาวผู้หนึ่งซึ่งนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น

เธอนั่งอยู่บนวีลแชร์ จ้องมองแสงเทียนวูบไหวอย่างนิ่งงันราวกับเป็นหุ่นเชิด

รูปลักษณ์ของเธอแตกต่างจากเหล่าผู้ดีในนอร์ซินเขตกลางโดยสมบูรณ์ แต่กลับคล้ายคลึงกับลักษณะคนจากทางเหนือเช่นจี้ป๋อหนงและจี้จือซู่

ผมดำ ตาดำ ผิวสีออกเหลือง

แต่เธอก็สวยมากเช่นกัน เป็นความงามอันหาได้ยาก ไม่เช่นนั้น เธอคงไม่มีทางคลอดบุตรสาวที่งดงามอย่างฟรังก้าออกมาได้

ไม่มีใครรู้กระทั่งชื่อของเธอ แต่เธอเป็นแม่ของฟรังก้า

ฟรังก้าเดินไปหาแม่ของเธอซึ่งอยู่บนวีลแชร์ ย่อตัวนั่งลง และแปลกใจเล็กน้อยที่วันนี้แม่ของเธอไม่ได้ขังตัวเองอยู่ในห้องนอนเล็กเหมือนทุกวัน น่าจะเป็นการบำบัดสุขภาพจิตช่วงนี้ที่ทำให้เธอเสถียรมากขึ้น

“แม่คะ แม่มานั่งตรงนี้ทำไมคะเนี่ย?”

แม้ฟรังก้าจะรู้ว่าแม่ที่เหมือนท่อนไม้ของเธอจะไม่ตอบ แม่ของเธอไม่เคยพูดกับเธอสักคำด้วยซ้ำ แต่เธอก็ยังยิ้มกว้างและถามเซ้าซี้

“วันนี้ให้หนูทำกับข้าวให้แม่กินนะคะ!” หลังจากเสร็จแล้ว ให้แม่ชิมดีกว่า…

ดวงตาของผู้เป็นแม่ไม่มีแม้กระทั่งประกาย เธอไม่ตอบอะไรลูกสาวของตนเลยสักคำ

ฟรังก้ายิ้มและถอนหายใจ รู้สึกขมขื่นหน่อย ๆ จากนั้นก็เข็นรถวีลแชร์ พาแม่ของเธอไปยังครัว และพูดขณะเดิน

“แม่ดูหนูทำกับข้าวได้ไหมคะ? หนูจะทำ เอ่อ…ไก่ต้มให้แม่กินวันนี้นะ! บางทีมันอาจไม่อร่อยก็ได้ แต่สาบานเลยว่าหนูจะไปถามวิธีทำจากเจ้าของร้านหนังสือ บางทีสักวันหนูอาจทำขนมกุยช่ายให้แม่กินสำเร็จก็ได้นะคะ”

ฟรังก้าเอ่ยชื่อเมนูด้วยรอยยิ้มขณะเช็ดน้ำตาที่หางตาของเธอ

เธอเข็นแม่ของเธอมายังประตูครัว แล้วเริ่มลงมือทำกับข้าว

เริ่มจากฆ่าไก่และถอนขน นาฬิกาพกสีเงินถูกพลิกเปิดในมือ และฟรังก้าก็ทำตามทุกขั้นตอนและควบคุมอุณหภูมิต่าง ๆ ตามสูตรอาหาร

“แต่ว่า…ไวน์ทำอาหารเหรอ? ไวน์ทำอาหารนี่…เค้าบอกว่าเป็นไวน์ข้าวสีเหลือง? ทำจากข้าวเหนียว? ถึงจะไม่เคยได้ยินชื่อพวกมันมาก่อนก็เถอะ แต่วิธีใช้และรสชาติของมีก้าก็ดูจะคล้ายคลึงกับคำบรรยายนี่มาก น่าจะใช้แทนกันได้นะ” ฟรังก้าพึมพำเบา ๆ ขณะทำอาหาร

ดวงตาสีเทาของหญิงสาวบนวีลแชร์เริ่มสะท้อนแผ่นหลังที่ง่วนกับงานของเธอ

“เสร็จแล้วค่ะ!”

ฟรังก้ายกชิ้นไก่ที่หั่นอย่างสวยงามบนจาน หลับตาลงและสูดหายใจลึก ๆ อย่างรื่นรมย์

“หอมจังเลย!! นี่ต้องเป็นกลิ่นที่ไม่เคยปรากฏทั่วนอร์ซินแน่ ๆ!!”

ฟรังก้าหันกลับมาอย่างยินดี…เอ๋ ไม่ใช่ว่าก่อนหน้านี้แม่อยู่ที่หน้าประตูเหรอ? แม่เข้ามาตั้งแต่เมื่อไรคะ?

ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรที่แม่ของฟรังก้าหมุนวีลแชร์เข้ามาในครัวด้วยตนเอง และกำลังเงยหน้าขึ้นมองเธอ ฟรังก้าจึงตะลึงไปครู่หนึ่ง

“แม่คะ?” เธอเอ่ยเรียกอย่างไม่แน่ใจ นี่เป็นครั้งแรกที่แววตาของแม่ของเธอดูมีชีวิต และเธอก็ค่อย ๆ เบนสายตาจากฟรังก้าไปยังจานในมือของผู้เป็นลูกสาว

“…แม่อยากลองชิมใช่ไหมคะ?” ฟรังก้าถาม ตอนนี้น้ำเสียงของเธอสุขุม แต่หัวใจของเธอตุ้ม ๆ ต่อม ๆ ตลอดความทรงจำวัยเด็กของเธอ แม่ของเธอมีเพียงสองสถานะ คือบ้าคลั่งหรือนิ่งเป็นผักเท่านั้น

ตอนที่เธอคลั่ง เธอจะตะโกนคำพูดที่น่าหวาดกลัวหรือตกอยู่ในสถานะกลัวสุดขีด ในขณะที่ถ้าเธอไม่ได้กำลังคลั่ง เธอจะนิ่งไม่ขยับตัวราวไม้กระถาง

ติ๊ต่างว่าเธอไม่มีแม่แบบนั้นแล้วกัน…ในเวลาเดียวกัน นี่คือสิ่งที่ปู่และพ่อของเธอบอกฟรังก้า

นี่คือครั้งแรกที่ฟรังก้าเห็นแม่ของเธอเป็นแบบนี้ และในใจของเธอก็เริ่มมีความหวังเกินจริง…ถ้าแม่ตอบเราได้คงดี

“แม่อยากลองชิมนี่ไหมคะ?” ฟรังก้าถามอีกครั้ง

หญิงสาวบนวีลแชร์เอียงคอเล็กน้อย ดวงตาสีเข้มของเธอจ้องเขม็งที่จานในมือ จากนั้นจึงพยักหน้าช้า ๆ

มือของฟรังก้าที่จับจานอยู่เริ่มสั่น เธอตื่นเต้นมาก!

นี่คือการตอบสนองแรกของแม่ของเธอตลอดสิบกว่าปี

เธอรีบวางจานลงตรงหน้าผู้เป็นแม่ ส่งส้อมและมีดให้เธอ แต่ผู้เป็นแม่กลับเหลือบมองส้อมกับมีดแล้วส่ายหน้ากะทันหัน

“เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ?” ฟรังก้าจนปัญญา ไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ ๆ แม่ของเธอถึงปฏิเสธ

จากนั้น เธอก็เห็นแม่ของเธอยกมือขึ้น ห้านิ้วคีบเข้าหากันราวกับกำลังใช้งานเครื่องมือบางอย่าง ม่านตาของเธอสั่นไหวรุนแรง กระทั่งสีหน้าก็ยังบิดเบี้ยวเหมือนอยากจะพูดบางสิ่ง แต่ก็ทำได้เพียงอ้าปากพะงาบ ๆ

เธอไม่ต้องการมีดและส้อม…ฟรังก้าเข้าใจทันทีว่าแม่ของเธอหมายถึงสิ่งใด

ฟรังก้าขมวดคิ้วคิด ภาพประกอบของหนังสือ ‘1,000 เมนูอาหารพื้นบ้านคลาสสิก’ มีเครื่องมือที่ดูเหมือนแท่งไม้ 2 แท่งอยู่ ทีแรกเธอนึกว่าพวกมันมีไว้ใช้ผัดอาหารหรือตีไข่ และกลัวว่าจะเป็นสิ่งจำเป็นในขั้นตอนการทำอาหาร เธอจึงทำตามนั้นโดยเคร่งครัด

เธอรีบหยิบแท่งไม้เรียว ๆ จากด้านข้างและส่งให้แม่ของเธออย่างเปี่ยมความหวัง

ผู้เป็นแม่มองแท่งไม้ในมือเธอ แววตาซับซ้อนขึ้นทุกที จากนั้นเธอก็เริ่มขยับตัวราวกับเป็นสัญชาตญาณ มือของเธอสั่น แต่ก็ไม่ยอมปล่อยมือ สุดท้าย หลังจากพลาดไปหลายครั้ง เธอก็คีบไก่ชิ้นหนึ่งเข้าปากได้อย่างยากลำบาก

ฟรังก้ามองแม่ของเธออย่างตื่นเต้นราวกับว่าอีกฝ่ายกำลังทำบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่ และกลั้นหายใจอย่างไม่รู้ตัวด้วยกลัวจะไปรบกวนเธอเข้า

เมื่อปากของแม่ของเธอเริ่มเคี้ยว หยาดน้ำตาใส ๆ ก็ไหลเป็นทางลงจากสองตา นี่คือครั้งแรกที่แววตาสว่างไสวปรากฏขึ้นราวกับจิตวิญญาณของเธอได้ตื่นขึ้นในร่างหลังมืดบอดมานานหลายปี

เธอสำลักและพูดบางอย่างออกมาด้วยน้ำเสียงประหลาดเข้าใจยาก ทั้ง ๆ ที่ยังมีอาหารในปาก

“ฉันชื่อ…ต้วนเสวหมิ่น มาจาก…สถาบัน…โบราณคดี…เสินตู… อาจารย์…ฉัน…ชื่อ…หลิน หมิง ไห่”

“ต่อจากนี้ ฉัน…จะบันทึก…ความจริง…ที่คุณอาจ…ไม่…มีวัน…เข้าใจ”

คนแปลกหน้าไร้นามคนนี้พูดทั้งสองประโยคเวียนซ้ำครั้งแล้วครั้งเล่า จนกระทั่งเธอไม่เหลือเสียงอีกเลย