บทที่ 430 แค่นี้เนี่ยนะ

เจ้าของร้านพิศวง

บทที่ 430 : แค่นี้เนี่ยนะ?

บทที่ 430 : แค่นี้เนี่ยนะ?

ในหมู่คนไร้บ้านนับไม่ถ้วนที่สุดซอย 23 มีชายผอมบางที่ตัวสูงราวกับเสาไม้ไผ่เดินวนเวียนในตรอกราวกับเป็นผี

ส่วนของถนนที่เต็มไปด้วยคนไร้บ้านในตอนนี้มีเพียงเด็กและคนชราด้วยซูบซีด คนหนุ่มสาวและวัยกลางคนถูกศาสนาแห่งตะวันปลุกเร้า กลายเป็นผู้ประท้วงในเขตกลางกันไปหมดแล้ว

สโลแกนที่คุณพ่อวินเซนต์ สังฆราชแห่งศาสนาแห่งตะวันกล่าวไว้คือ ‘เอาชนะเหล่าผู้ดี แบ่งไร่แบ่งพื้นที่ คนจนคนรวยเท่าเทียม’

ขอแค่พวกเขาชนะ พวกเขาก็จะมีอาหาร!

ฝีเท้าของชายร่างผอมสูงหยุดลงที่ตรอกคนไร้บ้านซอย 23 เขามองเหล่าคนไร้บ้านอย่างไม่ปิดบังสายตา และเรียกความสนใจจากคนที่นั่นได้มากมาย

การแต่งตัวของมนุษย์แท่งไม้ไผ่ดูตกยุคแม้กระทั่งในที่ห่างไกลอย่างซอย 23 แต่เสื้อผ้าแต่ละชิ้นของเขาประณีตบรรจงเสียจนประเมินราคาไม่ได้

มองปราดแรก เขาดูเหมือนคนรวย แต่ร่างของเขาให้ความรู้สึกดุร้าย ไม่มีใครเดินเข้าไปขอเงินจากเขา

จนกระทั่งชายร่างผอมสูงหันเข้าไปในตรอกร้างแห่งหนึ่ง และพลันรู้สึกว่าเสื้อแจ็กเก็ตของเขาโดนใครสักคนคว้าไว้

เขาแปลกใจเล็กน้อยในทีแรก จากนั้นก็หันไปมอง พบเป็นเด็กหญิงอายุไม่น่าเกินสิบขวบ ใบหน้าของเธอมอมแมม ริมฝีปากแห้งแตก แม้จะดูเละเทะมาก แต่เธอก็ยังดูน่ารักไร้เดียงสาแบบเด็ก ๆ

“คุณลุงคะ แม่ของหนูป่วย พ่อของหนูก็อยู่ในเขตกลาง หนูกับแม่ไม่ได้กินอะไรกันมาสองสามวันแล้ว คุณลุงให้เงินหนูสักหน่อยได้ไหมคะ ได้โปรดเถอะค่ะ” เด็กหญิงตัวน้อยเบะปากสะอื้น หยาดน้ำตาร่วงผล็อยราวเม็ดไข่มุก

มนุษย์แท่งไม้ไผ่หันไปมองแล้วย่อตัวลงน้อย ๆ ให้ประสานสายตากับเด็กหญิง

เขาตัวสูงเกินไปมาก ต้องสูงกว่าสองเมตรแน่ ๆ แต่เด็กหญิงซึ่งตัวแค่ราว ๆ ต้นขาดูจะคว้าตัวเขาแล้วเงยหน้าขึ้นมองอย่างแสนง่าย ร่างของเธอบิดอย่างที่คนธรรมดาทำไม่ได้

“ข้าให้เงินเจ้าไปรักษาแม่เจ้าได้นะ” เสียงของชายคนนั้นแหบต่ำและเย้ายวนอย่างผิดปกติ หมวกปีกกว้างของเขาปกปิดใบหน้าตั้งแต่ปลายจมูกขึ้นไป

เด็กหญิงบ่อน้ำตาแตกและยิ้มทันที “ขอบคุณ ขอบคุณมากค่ะคุณลุง!”

“…ไม่ต้องขอบคุณมากนักหรอก” ชายผู้นั้นยกมือขึ้นลูบขอบปีกหมวก “เจ้าต้องรู้นะว่าทุกสิ่งมีราคา”

จากนั้น เขาก็ค่อย ๆ เลื่อนปีกหมวกของเขาขึ้น สิ่งที่อยู่ใต้ปีกหมวกไม่ใช่ตาของมนุษย์ แต่เป็นรูเล็ก ๆ นับไม่ถ้วนที่กำลังอ้า ๆ หุบ ๆ เหมือนหายใจ และขยับยุกยิกไปมา

เด็กหญิงอึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็กรีดร้องเสียงแหลม เธอโซเซเหมือนเพิ่งเห็นผี แต่ก่อนที่จะทันก้าวได้สองก้าว เธอก็ล้มลงไปที่พื้น ร่างของเธอแตกราวหลอมจากแก้ว

“เจ็บ!” เด็กหญิงร้องไห้ กลิ้งตัวไปกับพื้น แต่ยิ่งขยับ ร่างของเธอก็ยิ่งแตกสลาย เธอเอาแต่ร้อง “แม่จ๋า แมรี่น้อยเจ็บมากเลย!!”

ราฟาเอลยกมุมปากของเขาขึ้นเล็กน้อย ขยับปีกหมวกให้ปิดครึ่งหน้าบนของเขาอีกครั้ง ก่อนจะกล่าวยิ้ม ๆ “ช่างเป็นเด็กกตัญญูเสียนี่กระไร”

ผ่านไปเกือบพันปี แต่มนุษย์ก็ยังคงเปราะบางและช่างโลภมากเหมือนเคย

ราฟาเอลมีสภาพจิตใจแบบผู้แข็งแกร่งที่อยู่บนโลกมานานเกินไป เกือบลืมสันดานของมนุษย์ไปเสียแล้ว

ชายร่างผอมสูงเหมือนต้นไผ่คนนี้มีชื่อว่าราฟาเอล

เขาไม่ใช่มนุษย์ แต่เกิดขึ้นจากกฏ ‘การแลกเปลี่ยนเท่าเทียม’ ของโลก

ทั่วอาซีร์ นอกจากสี่แม่มดบรรพกาลแล้ว ยังมีกฎอื่นอยู่อีกมากมาย ราฟาเอลเองก็เป็นหนึ่งในนั้น โชคร้ายที่แม้กฎนี้จะมีอยู่ในสังคมมนุษย์ แต่มันไม่ค่อยถูกใช้เท่าไรนัก

ช่องว่างระหว่างคนรวยและคนจน พื้นหลังครอบครัว ความขัดแย้งของระดับชั้น…การแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียมนั่นนับว่าเป็นกฎที่ไร้ประโยชน์ที่สุดในโลก

แต่สิ่งนี้ไม่มีผลใด ๆ ต่อราฟาเอลผู้เชื่อว่าตนเกิดมาเพื่อรักษากฎนี้ และไร้ความรู้สึกต่อมนุษย์

นับแต่เขาเข้าร่วมกับวิถีแห่งดาบอัคคี ภารกิจของเขาก็ไม่ได้จบลงเลย แต่จากคำพูดของมิคาเอล เมื่อวิถีแห่งดาบอัคคีเข้าไปถึงแดนนิมิต มันจะสามารถแปรเปลี่ยนเป็นสิ่งที่อยู่เหนือล้ำกว่าสิ่งใด ๆ ทั้งหมด และสรรพชีวิตจะได้รับรู้ว่าการเพิ่มราคาไม่ใช่คำพูดเพ้อพกอีกต่อไป

เพราะความฝันนี้ ราฟาเอลจึงเข้าร่วมกับวิถีแห่งดาบอัคคี

‘อานาเอล’ หลุดรอดจากเงื้อมมือเจ้าของร้านหนังสือ? ราฟาเอลไม่เพียงเคลือบแคลงถึงตัวตนที่แท้จริงของเจ้าของร้านหนังสือเท่านั้น

ต่างจากมิคาเอล ราฟาเอลรู้สึกจริง ๆ ว่าเหล่าผู้ร่วมอุดมการณ์ในวิถีแห่งดาบอัคคีควรร่วมมือกันเพื่อชัยชนะ เจ้าของร้านหนังสือทำให้เรซิเอลหยุดคิด ฆ่าซานดัลฟอนโดยไม่เหลือร่างสมบูรณ์ แถมยังพยายามฆ่าอานาเอล ร่างของเธอเสียหายหนักจนต้องเปลี่ยนร่างใหม่…

ตอนนี้ เจ้าของร้านหนังสือคือศัตรูอันดับหนึ่งของราฟาเอล!

หลังจากเปลี่ยนร่างใหม่ ‘อานาเอล’ ผู้จิตใจยืดหยุ่นสุด ๆ ในตอนนี้ก็คิดว่ากำลังหลักของเจ้าของร้านหนังสือ…ไวลด์และโจเซฟต่างหายไปทั้งคู่ บริษัทโรลล์และศาสนาแห่งตะวันกำลังง่วนกับการประท้วง และผู้ช่วยของเขาซึ่งสงสัยว่าจะเป็นเทพธิดาแห่งรัตติกาลก็ถูกย้ายไปอยู่เขตกลาง

และจู่ ๆ สายลับที่วิถีแห่งดาบอัคคีส่งเข้าไปในหอพิธีกรรมต้องห้ามตั้งแต่แรก ๆ ก็สวนกระแส ปล่อยข้อมูลมากมายเกี่ยวกับเจ้าของร้านหลินให้กับวิถีแห่งดาบอัคคี

ตอนนี้คือโอกาสงามที่วิถีแห่งดาบอัคคีจะร่วมมือกันฆ่าเจ้าของร้านหนังสือ

โอกาสเหล่านี้ไม่ได้มีกันบ่อย ๆ แต่มิคาเอลก็ยังรอบคอบมากพอจะส่งราฟาเอลมาทดสอบพลังที่แท้จริงของเจ้าของร้านหนังสือด้วยตนเอง

นี่คือเหตุผลจริง ๆ ของการเดินทางมาที่นี่ของราฟาเอล

เด็กหญิงถูกเปลี่ยนเป็นกองเนื้อบด ไม่อาจหายใจได้ต่อ และราฟาเอลก็ทอดถอนใจอย่างเสแสร้งเวทนา…

“ความเจ็บปวดของแม่เจ้าถูกรักษาแล้ว ดังนั้นเจ้ามิต้องห่วงอันใดแล้วนะ” ราฟาเอลกล่าวยิ้ม ๆ “ทว่า ข้าก็รับค่าตอบแทนจากเจ้าแล้วเช่นกัน”

“แมรี่น้อย!”

เสียงกังวาลของผู้ชายคนหนึ่งพลันระเบิดใส่หูราฟาเอล มุมปากของเขาตกลง และเขาก็ได้ยินชายคนนั้นร้องเรียกต่อ

“แมรี่น้อย หนูอยู่ไหนลูก? ลุงโจเซฟซื้อของอร่อยมาให้หนูแล้วนะ ยาของแม่ของหนูก็ด้วย นี่เพราะหนูช่วยลุงส่งข่าวครั้งก่อนเลยน้า” ชายคนนั้นเรียกอย่างใจดี

“หือ?” ราฟาเอลเอียงคออย่างสงสัย “โจเซฟเหรอ?”

เสียงฝีเท้าของชายคนนั้นดังมาถึงตรอกข้าง ๆ และราฟาเอลกระทั่งสัมผัสความร้อนแผดเผาได้

ชายชราตัวสูงในชุดเรียบง่ายปรากฏขึ้นที่ทางเข้าตรอกในที่สุด ฝีเท้าของเขาชะงักลงทันทีที่เห็นราฟาเอล

เขาคือโจเซฟ

จากนั้น โจเซฟก็ค่อย ๆ ก้มลงมองกองเลือดเนื้อเละ ๆ ที่พื้นใกล้ ๆ ตัวราฟาเอล

โจเซฟนิ่งอึ้งขณะที่ลูกตาสดใสของเด็กหญิงค่อย ๆ กลิ้งคลุกโคลนมาแทบเท้าเขา

เขาก้มหัวลงจ้องลูกตาดั่งอัญมณีนั้นด้วยสายตาว่างเปล่า

เด็กหญิงคนนั้นฉลาดเฉลียวอยู่เสมอ ไม่ว่าโจเซฟจะขอให้เธอทำอะไร เด็กหญิงก็จะทำตามอย่างเชื่อฟัง เธอชอบอ่านและเขียนหนังสือ กระทั่งเคยนำคำใบ้บางอย่างไปบอกเมลิสซ่า ลูกสาวของเขาให้ด้วย

แต่บางทีเธอก็ซุกซน โจเซฟบอกให้เธอเรียกเขาว่าลุง แต่เด็กหญิงก็เอาแต่เรียกเขาเป็นคุณตา โจเซฟมักจะแกล้งทำเป็นโกรธ แต่ที่จริงเขาเข้ากันได้ดีกับเด็ก ๆ

นี่คือเหตุที่โจเซฟออกมาแบ่งปันความอบอุ่นให้ชุมชนทุกวี่วัน

เด็กหญิงคนนี้และเหล่าเด็กไร้บ้านมักย้ำเตือนโจเซฟถึงวัยเด็กของเมลิสซ่าเสมอ เขาใช้ชีวิตอย่างสมถะ รักและเอ็นดูเด็ก ๆ เหล่านี้เท่าเทียมกัน นี่กระทั่งทำให้เขาพอเข้าใจว่าทำไมบุคคลแข็งแกร่งอย่างเจ้าของร้านหลินจึงเลือกทำตัวเป็นเจ้าของร้านหนังสือธรรมดา

“แก…” โจเซฟเงยหน้ามองชายร่างชะลูดซึ่งสูงกว่าสองเมตรอย่างไม่อยากเชื่อ

ราฟาเอลแปลกใจเล็กน้อย ข้อมูลของ ‘อานาเอล’ บอกชัดว่าโจเซฟกับไวลด์ไม่ตายก็ใกล้เคียง แต่ตอนนี้เขากลับยังมีชีวิตอยู่ดี

“ดูเหมือนเจ้าของร้านหนังสือจะเลี้ยงชีวิตเจ้าไว้” ราฟาเอลเผยอปากออก เผยให้เห็นซี่ฟันแหลมคม

“แกเป็นใคร?” โจเซฟถามทั้งร่างสั่น ๆ อย่างรับการตายของแมรี่น้อยไม่ได้มากขึ้นทุกที

“วิถีแห่งดาบอัคคี ‘ผู้รักษาสมดุล’ ราฟาเอล” ราฟาเอลลูบหมวกของเขาพลางกล่าวกับโจเซฟอย่างสุภาพ

“แกฆ่าแมรี่น้อยเหรอ?” โจเซฟถามอย่างไม่อยากเชื่อ

แมรี่น้อย?

ราฟาเอลคิดครู่หนึ่ง จากนั้นก็ก้มลงมองก้อนเนื้อบดเละ ๆ บนพื้น ไม่ตอบคำถามโง่ ๆ ของโจเซฟ

“เรามาหารือกันดีกว่า เจ้าเต็มใจเข้าร่วมวิถีแห่งดาบอัคคีหรือไม่?” ราฟาเอลถามยิ้ม ๆ “เรากำลังจะเริ่มสงครามกับเจ้าของร้านหนังสือในไม่ช้า และข้ามาวันนี้ก็เพื่อประกาศสงครามกับเขา”

“ข้าให้โอกาสเจ้าแล้ว ยังมิสายหากจะแปรพักตร์ ทว่า…เจ้าน่าจะเสียพลังงานไปมากในศึกของไวลด์ถูกหรือไม่?”

“เจ้าของร้านหลิน? วิถีแห่งดาบอัคคีกำลังจะจัดการกับเจ้าของร้านหลิน?” ในใจโจเซฟ เจ้าของร้านหลินสำคัญกว่า เขากระทั่งเมินแมรี่น้อยไปชั่วขณะพลางยิ้มอย่างไม่อยากเชื่อ

“ทำไมพวกแกถึงได้คิดเองเออเองจนถึงขั้นน่ากลัวได้ขนาดนี้นะ?” โจเซฟกล่าวอย่างประหลาดใจ

สีหน้าของราฟาเอลแย่ลง “ดูเหมือนเจ้าจะยังเลือกความตายอยู่ดี”

พูดจบ ราฟาเอลก็มองไปรอบ ๆ อีกครั้งและกล่าวว่า “หากฆ่าเจ้าเสียที่นี่ เจ้าของร้านหนังสือก็น่าจะสัมผัสได้ และข้าก็คร้านเกินกว่าจะไปหาเขาที่นั่น ดังนั้นใช้ศพของเจ้าเป็นการประกาศศึกแล้วกัน”

ทว่าทันทีที่สิ้นเสียงของราฟาเอล โจเซฟก็ได้ยินเสียงสั่นกระดิ่งข้างหลังเขา ตามมาด้วยเสียงคล้ายเข็มตาชั่ง และโจเซฟก็จำขึ้นได้…

ผู้รักษาสมดุล…เฮ้! นั่นไม่ใช่บุคคลระดับเหนือนภาผู้ทำลายความเป็นระเบียบเมื่อราว ๆ หกร้อยปีก่อนเหรอ?

…โจเซฟเคยอ่านบันทึกเหตุการณ์อลหม่านครั้งนั้นในคลังจดหมายเหตุของหอพิธีกรรมต้องห้าม

“เดาได้ตอนนี้ก็ช้าไปแล้ว” ราฟาเอลหัวเราะคิก “ข้าให้โอกาสเจ้าไปแล้ว”

“แมรี่น้อย แกฆ่าเธอใช่ไหม?!” ตาชั่งแห่งการแลกเปลี่ยนเท่าเทียมหยุดลงแล้ว แต่โจเซฟก็ไม่ได้เปลี่ยนสีหน้าหรือดูสะท้านสะเทือนแม้แต่น้อย กลับกัน เขายังคงเอ่ยถามราฟาเอลต่อราวกับเหยียบมดขณะก้าวเข้าประตู

“แล้วไง นั่นคือราคาที่นางต้องจ่าย” ราฟาเอลกล่าวอย่างความไร้ปรานี

ตรอกนั้นดูราวกับเกิดไฟไหม้ บ้านเรือนเก่า ๆ ที่ไม่มีคนอยู่เกือบถูกเปลวเพลิงของโจเซฟเผาวอด เขาเช็ดเลือดที่เปรอะเปื้อนหางตาแล้วจ้องมองซากศพของแมรี่น้อยซึ่งกลายเป็นเถ้าถ่านบนพื้นอยู่นาน แล้วจึงถอนหายใจยาว

เขาเตะตาชั่งบนพื้นอย่างแรงราวกับแก้แค้น

บ้าอะไรเนี่ย?! แค่นี้เนี่ยนะ?

ประโยคอันแสนจองหองของราฟาเอลยังออกจากปากมาไม่หมด แค่ยอมรับเท่านั้นว่าตนฆ่าแมรี่น้อย ทว่าเขาก็ถูกเปลวเพลิงสมบูรณ์แบบของโจเซฟแผดเผาไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ราฟาเอลตายอย่างน่าสมเพช

หลังจากการต่อสู้ระหว่างโจเซฟและไวลด์ ไม่เพียงแต่เขาไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัส ในทางกลับกัน เขากลับได้อาบร่องรอยอีเธอร์ซึ่งแข็งแกร่งดุจมหาสมุทรของเจ้าของร้านหลินในห้องใต้ดินร้านหนังสือ กระทั่งได้ดูดซับพลังจากกระดูกมังกรแห่งภัยพิบัติที่เจ้าของร้านหลินวางมั่ว ๆ ทิ้งไว้ในห้องใต้ดินด้วย

ตอนนี้ เขาแข็งแกร่งยิ่งกว่าตอนที่อยู่ในศึกสนั่นโลกาในซอย 67 เสียอีก

แผดเผาทุกสิ่ง โลกนี้ ความสามารถ กฎเกณฑ์ ชะตากรรม…ทุกสิ่งถูกเผาได้ทั้งนั้น…

ยิ่งกว่านั้น ราฟาเอลยังรับมือได้ยาก เมื่อโจเซฟใช้อีเธอร์จนหมด เขาก็ทำได้เพียงบีบราฟาเอลให้กลับสู่รูปลักษณ์ดั้งเดิมของเขา…

หลังจากเห็นราฟาเอลกลับสู่รูปลักษณ์ดั้งเดิม เขาซึ่งยังงุนงงก็ทำได้เพียงเตะตาชั่งโบราณที่พื้น

เขามองแมรี่น้อยซึ่งคิดว่าสามารถดูแลได้ แต่ก็ยังถูกแผดเผาเป็นเถ้าด้วยแววตาซับซ้อน หัวใจรู้สึกไร้พลัง

เขาเก็บเถ้าของแมรี่น้อยใส่โหลอย่างเงียบ ๆ และฝังเธอไว้ในสวนหย่อมหนึ่งเดียวในซอย 23 ซึ่งมีขนาดไม่ถึงสามตารางเมตร แต่ไม่ว่าแม่ผู้ป่วยกระเสาะกระแสะของเธอจะร้องเรียกไปตามถนนจนเสียงแหบแค่ไหน โจเซฟก็ไม่อยากสนใจแล้ว

ชีวิตคนช่างแสนสั้น…โจเซฟทอดถอนใจ

เขาเก็บตาชั่งกลับไปยังร้านหนังสือ เจ้าของร้านหลินยังคงนั่งอ่านหนังสืออยู่

“วันนี้กลับมาเร็วจังนะครับโจเซฟ” หลินเจี๋ยทักโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้ามอง

เมื่อเห็นว่าโจเซฟไม่ตอบ เขาก็เงยหน้าขึ้นพูดกับโจเซฟ “ไม่ใช่ว่าผมเคยบ่นเรื่องเด็ก ๆ ที่คอยรบเร้าคุณมาก่อนหน้านี้เหรอ? อย่างน้อยก็ตอนนี้ เรื่องก็สงบลงชั่วคราวแล้วนะครับ”

โจเซฟก้มหน้าก้มตา ไม่ตอบอะไรเหมือนเด็กที่ทำบางอย่างผิดพลาด หลินเจี๋ยก้มหน้าลงและไม่พูดอีก

นับแต่วันที่เขาอยู่ที่นี่ โจเซฟก็รู้สึกว่าเขาไม่เข้าใจเจ้าของร้านหลินมากขึ้นทุกที

เขาถอนหายใจเล็กน้อย จากนั้นก็วางตาชั่งลงที่เคาน์เตอร์ของเจ้าของร้านหลิน

ในฐานะเคาน์เตอร์เก็บเงิน มันดูเหมาะสมกับตาชั่งนี้มาก

“ผมจะไปพักก่อนนะครับ เจ้าของร้านหลิน” โจเซฟลังเล ก่อนจะพูดเช่นนี้ออกมา

หลินเจี๋ยตอบ ‘อืม’ โดยไม่เงยหน้าขึ้น

จนกระทั่งเมื่อโจเซฟเดินไปถึงห้องใต้ดิน เขาก็ชะงักหันกลับมา อยากจะบอกเจ้าของร้านหลินเรื่องวิถีแห่งดาบอัคคี ทว่าเขาก็เห็นหลินเจี๋ยเงยหน้าขึ้นมองตาชั่งที่ขยับไปมาด้วยแววตาซับซ้อน

“วิถีแห่งดาบอัคคี” หลินเจี๋ยกระซิบ จากนั้นก็ยกมือขึ้นขยับตาชั่งเบา ๆ

ตาชั่งที่แม้กระทั่งโจเซฟก็ไม่อาจขยับได้แม้แต่น้อยเอียงข้างกระเท่เร่ราวกับเป็นของเล่นเด็กในมือเจ้าของร้านหลิน

โจเซฟกลืนน้ำลายเมื่อมองใบหน้าอบอุ่นของเจ้าของร้านหลิน เขาสัมผัสถึงความกลัวอันคุ้นเคยได้ หลังอยู่ด้วยกันมาหลายต่อหลายวัน ความยำเกรงของเขาต่อเจ้าของร้านหลินก็ผ่อนลงมาก แต่ตอนนี้ มันเพิ่มพูนกลับมาอีกครั้ง

หลินเจี๋ยสัมผัสถึงสายตาของโจเซฟได้ เขาจึงเหลือบตามองและกล่าวยิ้ม ๆ “ไม่ใช่ว่าคุณจะไปพักเหรอครับ?”

“เอ่อ ใช่ครับเจ้าของร้านหลิน” โจเซฟกลับห้องไปอย่างลุกลี้ลุกลน

โจเซฟนั่งกระสับกระส่ายอยู่บนเตียงในห้องใต้ดิน อย่างน้อยที่สุดเขาก็เจ้าใจว่าเจ้าของร้านหลินโกรธนิดหน่อย และบางทีเขาอาจจะหมดความอดทนกับวิถีแห่งดาบอัคคีแล้วก็ได้ หรือกล่าวอีกนัยก็คือ เขาเบื่อที่จะดูการแสดงของพวกเขาเต็มทน