บทที่ 431 ไม่มีทางเป็นมนุษย์!

เจ้าของร้านพิศวง

บทที่ 431 : ไม่มีทางเป็นมนุษย์!

บทที่ 431 : ไม่มีทางเป็นมนุษย์!

“ราฟาเอลตายแล้ว แต่มิได้ตายสนิท”

ภาพลวงตาใหญ่โตทว่ากลับให้ความรู้สึกบางเบาลอยอยู่บนอากาศราวหมู่เมฆ ดำสนิทไม่เผยตัวตนกล่าวขึ้น เขาคือนักคิดผู้เฝ้ามองวิถีแห่งดาบอัคคี…เมตาตรอน

“อะไรนะ?!” ดวงตาสีฟ้าของมิคาเอลเบิกกว้าง มองเมตาตรอนอย่างไม่อยากเชื่อ

พวกเขาต่างรู้ดีว่าร่างของราฟาเอลคือกฎเกณฑ์ซึ่งควบคุมทุกราคาและการใช้จ่าย เป็นตัวตนที่ไม่มีวันตาย การที่เมตาตรอนบอกว่าเขาตายแล้ว ทว่าตายไม่สนิทจึงต้องหมายความว่าเขาถูกบีบให้กลับสู่ร่างเดิม

“เฮ้อ!” มิคาเอลถอนหายใจอย่างกระวนกระวาย เท้าเปลือยเปล่าของเขากระทืบลงบนทรายสีทอง “ข้าบอกตั้งนานแล้วก็ไม่เชื่อกัน ว่าเจ้าของร้านหนังสือมิอาจเผชิญหน้าได้ตรง ๆ!”

เมื่อมิคาเอลกล่าวเช่นนี้ เขาก็มองจ้องไปที่ ‘อานาเอล’ อุปนิสัยของเธอซึ่งปรากฏอีกครั้งในร่างชายหนุ่มเองก็เปลี่ยนไปนิดหน่อย แต่ไม่มีใครเคลือบแคลงเขาเลย

เมื่อเผชิญคำถามของมิคาเอล ‘อานาเอล’ ก็เมินเขาไป แสร้งทำเป็นว่าไม่เข้าใจการปรามาสของมิคาเอล เหมือนกับตนไม่เคยเสี้ยมให้วิถีแห่งดาบอัคคีไปต่อสู้กับเจ้าของร้านหลินมาก่อน

“เมตาตรอน เจ้าเห็นหรือไม่ว่าราฟาเอลตายเช่นไร? พลังของเจ้าของร้านหนังสือเป็นเช่นไร?” มิคาเอลขมวดคิ้วถาม

เสียสหายไปอีกหนึ่ง…

มิคาเอล ผู้นำแห่งเหล่าทูตสวรรค์มีทักษะการเป็นผู้นำไม่ธรรมดา แน่นอน เขารู้อยู่แล้วว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลามากล่าวโทษลูกน้อง

เมตาตรอนที่ลอยอยู่บนอากาศในรูปร่างมนุษย์กล่าวเบา ๆ “ราฟาเอลไม่แม้กระทั่งจะได้พบเจ้าของร้านหนังสือ เขาถูกลูกน้องของเขา โจเซฟฆ่าตาย”

ลมหายใจของมิคาเอลเกือบหยุดลงหลังได้ยินบทสรุปนี้

เขาทนต่อไปไม่ได้แล้ว จึงหันไปพูดกับ ‘อานาเอล’ ว่า “มิใช่เจ้าบอกหรือว่าเห็นโจเซฟถูกฝังในความว่างเปล่าด้วยตาตนเอง?”

‘อานาเอล’ เลิกคิ้วโดยไม่ตอบ

“เทียบกับเรื่องนี้ มิใช่ว่าเราควรพูดถึงเรื่องที่เจ้าของร้านหลินมิสนใจรับมือกับเราจริงจังหน่อยหรือ?” แคสสิเอลซึ่งเงียบมาตลอดกล่าวขึ้นกะทันหัน

ในหมู่สิบทูตสวรรค์ในวิถีแห่งดาบอัคคี ซึ่งตอนนี้เหลืออยู่เพียงแปด มีเพียงแคสสิเอล เมตาตรอน และคามาเอลเท่านั้นที่ไม่เคยได้พบเจ้าของร้านหลิน

“จุดมุ่งหมายในการส่งราฟาเอลไปคือการประกาศสงคราม จากบางมุมมอง เขาก็เป็นแค่ทูตของวิถีแห่งดาบอัคคี การสังหารราฟาเอลแสดงให้เห็นว่าเขามิใส่ใจเราเลยสักนิด”

“ข้าทนการเหยียดหยามเช่นนี้มิได้หรอก” แคสสิเอลกล่าวห้วน ๆ

“อย่าวู่วามไป” มิคาเอลกระซิบ

“ข้ามิได้วู่วาม แต่เป็นการตัดสินใจอันจำเป็น เจ้าลืมไปแล้วหรือ?” แคสสิเอลมองความว่างเปล่าซึ่งแซดคิเอลสร้างขึ้นพลางกล่าวต่อ “สวรรค์ อีเดน พระผู้เป็นเจ้า ทูตสวรรค์ พฤกษาแห่งคับบาลาห์…ดินแดนอันอยู่เหนือโลกแห่งวัตถุ…หนทางการเป็นเทพอยู่ในแดนนิมิต!”

เลือดของมิคาเอลควบแน่น มือที่วางอยู่กำเข้าหากันอีกครั้ง เหตุผลที่เขาหมกมุ่นกับเส้นทางสู่แดนนิมิตและเชื่อว่าตนเดินบนเส้นทางที่ถูกต้อง นั่นก็เพราะหนังสือที่เขาพบในเมืองเขตล่าง

หนังสือเล่มนั้นกล่าวถึงโลกที่ไม่มีใครรู้จัก โลกแห่งความจริงซึ่งมีเพียงหนึ่งพระเจ้า

มิคาเอลเชื่อสิ่งที่บรรยายในหนังสือเล่มนั้น และกระทั่งสิบโค้ดเนมของสมาชิกวิถีแห่งดาบอัคคีก็มาจากหนังสือเล่มนั้นเช่นกัน

“เจ้าบอกว่าเราอย่าวู่วาม ทว่าที่จริง ความรอบคอบของเจ้านั่นแหละที่สังหารราฟาเอล” คามาเอลกล่าวอย่างเย็นชา

“ได้” จู่ ๆ มิคาเอลก็เหมือนจะจำเนื้อหาในหนังสือแห่งความจริงได้ ทุกความฝันและความพยายามของเขากลับสู่ฝ่ามืออีกครั้ง และเขาก็กล่าวด้วยพลังในกำมือของตนอีกครั้งว่า “เลือกโอกาสเหมาะ ๆ มา เราจะบุกร้านหนังสือด้วยกัน”

“มิต้องเลือกหรอก” ‘อานาเอล’ โพล่งขึ้น “ตอนนี้เลย”

ต้วนเสวหมิ่น…แม่ชื่อต้วนเสวหมิ่น…

ฟรังก้าท่องชื่อนี้ซ้ำไปซ้ำมาในหัว เธออยากจะออกไปบอกพ่อและปู่ของเธอเหลือเกินว่าแม่ได้สติแล้ว

แต่แม่ดูเหมือนจะมาจากอีกโลกหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่ที่นี่

เธอจ่ายราคาอันแสนสาหัสในระหว่างการเดินทางสู่โลกนี้ ดังนั้นเธอจึงเสียสติไปนานกว่าสิบปี…ฟรังก้าเช็ดน้ำตาให้แม่ของเธอ

หลายต่อหลายปี ความเศร้าและอ้างว้างกัดกินแม่ของเธอ เธอทำได้เพียงบอกเล่าสิ่งที่เห็นและได้ยินในวังใต้ดินด้วยท่าทางแบบบัณฑิต

แต่เธอไม่รู้เลยว่ากาลเวลาผ่านไปหลายร้อยปีแล้ว แต่เธอก็ยังไม่อาจกระทั่งกลับสู่บ้านเกิดได้

นานแสนนาน ต้วนเสวหมิ่นจำต้องยอมรับสถานการณ์ปัจจุบันอย่างไม่เต็มใจ เธอคือศิษย์ที่น่าภาคภูมิที่สุดของศาสตราจารย์หลินหมิงไห่ซึ่งสามารถคงสติไว้ท่ามกลางความยุ่งเหยิงในรังเทพปีศาจ

เธอรู้ว่าทุกคนอยู่รอดได้ด้วยการกินกันเอง รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะมีฝนในโลกใต้ดิน สิ่งเหล่านั้นคือเลือดที่หลั่งจากศพนับไม่ถ้วน และยังรู้ด้วยว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในครรภ์ของอาจารย์หญิงคือความเลวร้ายอันไม่ทราบชนิด…

นี่คือเหตุที่เธอทิ้งหลินหมิงไห่และภรรยาก่อนจะกลายไปเป็นอาหารให้เทพปีศาจ

เธอแอบซ่อนอาหารแห้งขึ้นราเหล่านั้นไว้ ไม่ยอมดื่มน้ำฝนที่ว่านั่น และไม่เคยกินซากศพของเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์คนใด ๆ เธออยากจะตื่นตัวอยู่เสมอ แต่เมื่อเธอพยายามหลบหนีจากวังใต้ดินอย่างสุดชีวิต สิ่งที่เธอได้เห็นกลับเป็นอีกโลกหนึ่ง

ต้วนเสวหมิ่นไม่อาจทนต่อได้ เธอจึงกลายเป็นบ้าไปโดยสมบูรณ์

…จนกระทั่งวันนี้

“เธอคือลูกของฉันเหรอ…?”

ต้วนเสวหมิ่นผู้คืนสติมารับรู้เรื่องราวเอื้อมมือออกไปลูบใบหน้าของฟรังก้าผมบลอนด์ซึ่งมีหน้าตาคล้ายเธอราว ๆ เจ็ดส่วนอย่างไม่คาดฝัน

“ใช่ค่ะคุณแม่” ฟรังก้าเม้มปาก น้ำตาเอ่อคลอเบ้า ต้วยเสวหมิ่นหันไปมองประตูตู้กระจกข้าง ๆ เธอ และสิ่งที่สะท้อนกลับมาคือใบหน้าของหญิงสาวซึ่งออกจะมีอายุเล็กน้อย ไม่เยาว์วัยอย่างเคย

ความทรงจำทั้งหลายต่างย้อนคืน ต้วนเสวหมิ่นค่อย ๆ เข้าใจสถานการณ์ปัจจุบัน ราวกับช่วงเวลาในโลกใต้ดินไม่เคยจบสิ้น ทั้งวิกฤตและความตาย ความบ้าคลั่งและการฆ่าฟันยังคงล่องลอยรอบตัวเธอ

“อย่าบอกใครเรื่องการคืนสติของฉัน” ต้วนเสวหมิ่นยังปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ปัจจุบันไม่ได้ แต่เธอก็เริ่มคิดหาวิธีรับมือแล้ว “เธอชื่ออะไร?”

ฟรังก้าพองแก้ม น้อยใจนิดหน่อย “หนูชื่อฟรังก้า เคอร์ติสค่ะคุณแม่”

“เคอร์ติส…” ต้วนเสวหมิ่นกล่าวย้ำคำนี้

แม้เธอจะดูเหมือนไม่รู้เรื่องราวอะไรในโลกภายนอกมานานหลายปี แต่ความทรงจำบางอย่างที่ทิ้งไว้บนร่างกายของเธอยังคงมีอยู่ เธอจึงถามฟรังก้าถึงชื่อของโลกนี้ และทุกอย่างเกี่ยวกับตระกูลเคอร์ติส

สมองของต้วนเสวหมิ่นทำงานเร็วจี๋ บรรจงร่างทุกความทรงจำระหว่างช่วงที่เธอเป็นบ้าออกมาทั้งหมด

เหมือนช่วงศตวรรษที่ 21 ซึ่งเธอใช้ชีวิตอยู่ ตระกูลเคอร์ติสในอาซีร์ก็ศึกษาวังใต้ดินอยู่เช่นกัน ส่วนเธอนั้นมายังอาซีร์ผ่าน ‘ประตู’ ที่เชื่อมทั้งสองโลกไว้

ตระกูลเคอร์ติสไม่ได้เข้ามาใน ‘ประตู’ บางทีการวิจัยอาจจะต่างออกไปก็ได้ พวกเขารู้ว่ามีอะไรอยู่หลัง ‘ประตู’ มาตั้งแต่แรก และเธอซึ่งออกมาจาก ‘ประตู’ ไม่ว่าจะมีสติหรือไม่ก็นับว่าสำคัญต่อพวกเขามาก จึงกล่าวได้ว่าเป็นตัวอย่างทดลองที่ดีที่สุด

“ฟรังก้า” ต้วนเสวหมิ่นถามลูกสาวของเธอ “ลูกทำอาหารนี้ออกมาได้อย่างไร?”

อาหารจานนี้คือไก่ต้ม อาหารโปรดของพ่อของต้วนเสวหมิ่น และเขายังเคยสอนเธอทำมันด้วย ในครอบครัวเลี้ยงเดี่ยวไร้แม่ ต้วนเสวหมิ่นจึงได้ทำอาหารจานนี้บ่อยครั้งสุด ๆ ซึ่งยังเป็นของโปรดพี่ชายของเธออีกด้วย

“หนูใช้ตำราอาหารที่ประมูลมาจากเจ้าของร้านหนังสือแซ่หลินค่ะ”

“เอามาให้อ่านหน่อยสิ”

ฟรังก้าพยักหน้า และรีบร้อนนำตำราอาหารออกมาจากห้องให้แม่ของเธออ่าน อักษรจีนอันแสนคุ้นตาฉายในดวงตาของต้วนเสวหมิ่น เธอพลิกหน้ากระดาษอย่างรวดเร็ว ขมวดคิ้ว และในที่สุดก็เผยรอยยิ้มแรกหลังห่างหายไปนานกว่าสิบปี

“คุณแม่ แม่อ่านเข้าใจเหรอคะ?”

ต้วนเสวหมิ่นไม่ได้ตอบ แต่หันไปถามฟรังก้าว่า “หลิน…? เจ้าของร้านหลิน? เขาอยู่ที่ไหน?!”

“หนูไม่รู้ค่ะ แต่หนูน่าจะถามคนอื่นได้ เขาดูมีชื่อเสียงนะคะ” ฟรังก้าตอบอย่างไม่รู้เรื่อง

หัวใจของต้วนเสวหมิ่นปรากฏความหวัง การที่สามารถขายหนังสือแบบนี้ได้แสดงให้เห็นว่าเจ้าของร้านหลินก็อาจจะเป็นสหายเก่าคนหนึ่ง และคน ๆ เดียวในหน่วยสำรวจที่ใช้แซ่หลินในขณะนั้นก็คือศาสตราจารย์หลินหมิงไห่

ไม่สิ…ยังมีอีกคน!

ภาพในใจของต้วนเสวหมิ่นปรากฏหลินหมิงไห่ผู้ยิ้มอย่างเมตตา ลูบท้องภรรยาของเขา จางไฉ่ยงผู้มีท้องบวมโต

หลังของต้วนเสวหมิ่นเย็นวาบขึ้นทันที ลูกซึ่งจู่ ๆ ก็เกิดขึ้นมาในวังใต้ดิน…

ไม่มีทางเป็นมนุษย์!

แต่ความเป็นไปได้อื่น ๆ ก็ไม่อาจละเลย ไม่ว่าจะอยากรู้แค่ไหนว่าเจ้าของร้านหนังสือเป็นใคร ต้วนเสวหมิ่นหันไปบอกฟรังก้า “เอากระดาษกับปากกามา ฉันจะเขียนจดหมาย เธอช่วยเอามันไปให้เจ้าของร้านหลินนั่นที”