ตอนที่ 431 ไม่ยอม

ทำอย่างไรหรือ? ยังจะทำอะไรได้เล่า?

เจิ้งจิ่วเซียวกล่าวว่า “ตัวเขายังไม่โผล่มาเลย พวกเราจะทำอันใดได้? จู่ๆ พวกเราจะไปสนับสนุนสำนักหยกสวรรค์อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยก็ไม่ได้ใช่ไหมล่ะ? พวกเราจะสนับสนุนได้เหรอ? อีกอย่าง เรื่องนี้คาดว่าแม้แต่ตัวเขาเองก็คงทำอะไรไม่ได้เช่นกัน เขาจะทำอะไรสำนักหยกสวรรค์ได้เล่า? ต่อให้เรื่องที่ราชสำนักแต่งตั้งซางเฉาจงจะเกี่ยวข้องกับเขา แต่จะมีประโยชน์อันใด? ก็แค่ยุแยงให้แตกแยกนิดหน่อยเท่านั้น”

แม้จะกล่าวไปเช่นนี้ แต่ทุกคนก็ล้วนทราบดีว่าพวกเขาสามสำนักเป็นพรรคพวกของหนิวโหย่วเต้า หลายปีมานี้หนิวโหย่วเต้าไม่เคยเอาเปรียบพวกเขาสามสำนักเลย เรียกได้ว่าเป็นตัวตั้งตัวตีช่วยหาเงินก้อนใหญ่ให้พวกเขาด้วยซ้ำ ยามนี้พวกเขาเลือกมาติดตามสำนักหยกสวรรค์แล้วทำลายหนิวโหย่วเต้า ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของเหตุผลหรือความรู้สึกก็ล้วนแต่ไม่เหมาะทั้งสิ้น

เซี่ยฮวามองไปที่เฟ่ยฉางหลิว “พี่เฟ่ย ความคิดของท่านล่ะ?”

เฟ่ยฉางหลิวเงียบอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็เอ่ยอย่างลังเล “สถานการณ์กลายเป็นเช่นนี้ไปแล้ว พวกเราก็มีความลำบากใจในส่วนของพวกเราเหมือนกัน กระทั่งตัวเขาเองยังไม่สนใจ พวกเราก็ไม่มีความจำเป็นต้องไปแตกหักกับสำนักหยกสวรรค์เช่นกัน”

เซี่ยฮวาพยักหน้าเล็กน้อย “มีเหตุผล”

เมื่อพูดคุยกันเช่นนี้ ทั้งสามก็ได้ยืนยันท่าทีของอีกฝ่ายต่อหน้าแล้ว ต่างมีความเห็นไปในทางเดียวกัน ทำให้จิตใจที่ลังเลกระสับกระส่ายสงบลง

เดิมทีพวกเขามาพบกันครั้งนี้ก็เพราะเรื่องนี้ ต้องการร่วมหัวจมท้ายไปด้วยกัน มิเช่นนั้นหากตัดสินใจเพียงลำพังโดยไม่ทราบถึงท่าทีของอีกสองสำนัก แบบนั้นมันออกจะหัวเดียวกะเทียมลีบเกินไปหน่อย เส้นทางอนาคตยังเลือนราง การจับกลุ่มกันเอาไว้จะช่วยลดความไม่สบายใจลงไปได้ เพราะหากเกิดเหตุใดขึ้นมา พวกเขาก็ต้องมีคำอธิบายให้ภายในสำนักของตนเช่นกัน

เมื่อกำหนดทิศทางของเรื่องราวได้แล้ว เฟ่ยฉางหลิวก็เอ่ยขึ้นว่า “พวกเราไม่ควรออกมาพร้อมกันนานเกินไป มิเช่นนั้นจะทำให้สำนักหยกสวรรค์คิดมากเอาได้ เดี๋ยวจะทำให้เกิดปัญหาขึ้นได้ง่ายๆ แยกย้ายกันกลับเถอะ คอยติดต่อกันเอาไว้!”

“ตกลง!” เซี่ยฮวาพยักหน้ารับ

เจิ้งจิ่วเซียวเพิ่งจะประสานมือกล่าวอำลากับทั้งสองไป ศิษย์คนหนึ่งก็นำข้อความที่ผ่านการแปลมาแล้วที่ปีกทองตัวหนึ่งนำมาส่งให้เข้ามา กล่าวว่า “เจ้าสำนักขอรับ”

เซี่ยฮวาและเฟ่ยฉางหลิวสบตากัน ไม่สะดวกที่จะสอดส่องข่าวสารส่วนตัวภายในสำนักของเจิ้งจิ่วเซียว จึงอาศัยจังหวะนี้หันหลังจากไป

เจิ้งจิ่วเซียวอ่านจดหมายเล็กน้อย สีหน้าพลันแปรเปลี่ยน เขาเงยหน้าแล้วตะโกนเรียกอย่างร้อนใจ “ทั้งสองช้าก่อน!”

เซี่ยฮวาและเฟ่ยฉางหลิวที่เพิ่งกลับไปรวมตัวกับศิษย์ที่พามาด้วยต่างหันกลับมามองพร้อมกัน

เจิ้งจิ่วเซียวโบกจดหมาย “จดหมายจากหนิวโหย่วเต้า!”

เซี่ยฮวาและเฟ่ยฉางหลิวสบตากันอยู่ไกลๆ จากนั้นก็เร่งเดินกลับมาอีกครั้ง

ในเวลานี้เอง มีปีกทองอีกสองตัวทยอยร่อนลงบนมือของศิษย์จากอีกสองสำนัก

เมื่อได้รับจดหมายมา เซี่ยฮวาและเฟ่ยฉางหลิงก็ก้มอ่านพร้อมกัน บนจดหมายเขียนไว้เพียงว่า ‘ระดมกำลังศิษย์หัวกะทิในสำนัก มุ่งหน้าสู่เมืองซั่งผิงเพื่อคุ้มกันท่านอ๋องทันที! หนิวโหย่วเต้า’

หลังอ่านจบ ทั้งสองก็เงยหน้าขึ้นพร้อมกัน มองหน้ากันเหลอหลา จากนั้นก็มองเจิ้งจิ่วเซียวที่มีสีหน้าตึงเครียด

เจิ้งจิ่วเซียวดูว้าวุ่นใจอย่างเห็นได้ชัด เอ่ยถามความเห็นจากทั้งสอง “ทำอย่างไรดี?”

เซี่ยฮวาและเฟ่ยฉางหลิวยังไม่ทันได้ออกความเห็น ก็มีศิษย์จากสองสำนักนำเอาจดหมายลับที่ผ่านการถอดความแล้วเข้ามาส่งให้ไล่ๆ กัน

พอเห็นสีหน้าตึงเครียดของทั้งสองที่จ้องมองจดหมาย เจิ้งจิ่วเซียวคล้ายจะตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง แล้วก็ไม่สนว่าจะเป็นเรื่องส่วนตัวหรือไม่ เขาเดินเข้าไปหาทั้งสองคน เมื่อเห็นว่าทั้งสองไม่มีท่าทีคัดค้านอะไร เขาจึงชะโงกหน้าเข้าไปอ่านจดหมายในมือของทั้งสองคน

หลังอ่านจบก็โล่งใจ เนื้อหาในจดหมายของสามสำนักตรงกันหมด หลงนึกว่าหนิวโหย่วเต้าส่งจดหมายมาให้ตนเพียงคนเดียว มองจากตอนนี้แล้ว ทางหนิวโหย่วเต้าน่าจะส่งจดหมายให้สามสำนักพร้อมกันหมด

ครั้งนี้เป็นเซี่ยฮวาที่เงยหน้าขึ้นมาถาม “ทำอย่างไรดี?”

เฟ่ยฉางหลิวและเจิ้งจิ่วเซียวก็อยากรู้เช่นกันว่าควรทำอย่างไรดี การมาถึงของจดหมายฉบับนี้ทำให้ทั้งสามว้าวุ่นใจขึ้นมา

ก่อนหน้านี้ยังมีข้ออ้างปลอบใจตนว่าขนาดหนิวโหย่วเต้าเองก็ยังนิ่งเงียบมาโดยตลอด แต่ตอนนี้หนิวโหย่วเต้ามีคำสั่งลงมาแล้ว หนำซ้ำยังเป็นผลลัพธ์ในแบบที่พวกเขาไม่อยากเผชิญหน้าที่สุด จะทำตามหรือไม่ทำตามดี?

สิ่งที่ทำให้สีหน้าทั้งสามตึงเครียดคือ เนื้อความในจดหมายไม่ได้มีเจตนาจะหารือกับพวกเขา หากแต่เหมือนสั่งการลงมาโดยตรง สั่งให้พวกเขาปฏิบัติตามทันที ไม่เหลือช่องให้เจรจาหารือแม้แต่น้อย!

น้ำเสียงที่แฝงอยู่ในจดหมายฉบับนี้แข็งกร้าวเป็นอย่างยิ่ง!

นับตั้งแต่ที่สามสำนักรู้จักหนิวโหย่วเต้ามา พวกเขายังไม่เคยเห็นหนิวโหย่วเต้าแสดงอำนาจกับสามสำนักเช่นนี้มาก่อนเลยดฮณ๊ฯดฯฌซ,

….

ณ ศาลาว่าการเมืองซั่งผิง มีปีกทองบินเข้ามาอีกตัว รายงานด่วนถูกส่งไปยังโต๊ะทำงานของเฟิ่งหลิงปออีกครั้ง

เฟิ่งหลิงปอที่อยู่หลังโต๊ะรู้สึกไม่กล้าเปิดรายงานด่วนออกอ่าน ตอนนี้เขาร้อนใจจนดวงตาแดงก่ำ แต่นับว่ายังควบคุมอารมณ์เอาไว้ได้ มีเพียงสีหน้าที่ตึงเครียด แต่ไม่ได้ระเบิดอารมณ์ออกมา

ก่อนหน้านี้ยังไม่แน่ใจว่าเหตุใดจู่ๆ สำนักหยกสวรรค์ถึงย้อนกลับมายังเมืองซั่งผิง แล้วเหตุใดจู่ๆ ถึงสั่งไม่ให้เขาแตะต้องเหมิงซานหมิง ตอนนี้เขาพอจะเข้าใจแล้ว

คณะของเผิงโย่วไจ้เร่งเดินทางไปยังมณฑลจินโจว ระหว่างทางมีการเปลี่ยนม้าจากจุดพักม้าในเขตมณฑลหนานโจวไปตลอดทาง ความเคลื่อนไหวนี้ย่อมไม่รอดพ้นไปจากสายตาเขาที่ควบคุมมณฑลหนานโจวอยู่ในยามนี้

มณฑลหนานโจวยังไม่มั่นคงดี อีกทั้งเขาเพิ่งจะได้รับอำนาจมา ยังไม่ได้มีการจัดวางสายสืบที่จะส่งออกไปจับตามองสถานการณ์นอกมณฑลหนานโจว ตอนนี้ให้ความสนใจในมณฑลหนานโจวเป็นหลัก ดังนั้นจึงไม่ยังทราบเรื่องที่ทัพใหญ่ของมณฑลจินโจวมารวมตัว จนกระทั่งสายสืบที่ทัพชายแดนมณฑลหนานโจวส่งตัวออกไปส่งข่าวกลับมา รายงานว่าทัพใหญ่ของมณฑลจินโจวรุกคืบมาใกล้ชายแดนแล้ว เขาถึงได้สังเกตเห็นความผิดปกติ

มณฑลจินโจวส่งทัพใหญ่มายังเขตชายแดนในเวลานี้หมายความว่าอย่างไรกัน?

ตอนนี้ ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดเผิงโย่วไจ้ถึงเร่งร้อนเดินทางไปยังมณฑลจินโจว

จู่ๆ ราชสำนักก็แต่งตั้งซางเฉาจงเป็นผู้ว่าการมณฑลหนานโจว!

จู่ๆ มณฑลจินโจวก็ยกทัพมายังชายแดน!

มีข่าวส่งมาจากทัพรักษาการณ์ตามพื้นที่ต่างๆ ว่าศิษย์บางส่วนของสามสำนักออกจากกองทัพไปโดยไม่ขออนุญาต มีการผลัดเปลี่ยนม้าตามจุดพักม้าไปตลอดทาง หลังจากศิษย์สามสำนักเหล่านี้มารวมตัวกัน ก็รุดหน้ามุ่งมายังทิศทางของเมืองซั่งผิงโดยมีเจ้าสำนักทั้งสามเป็นผู้นำ

จุดพักม้าล้วนอยู่ในการควบคุมของเขา เรื่องที่สามสำนักมุ่งหน้ามาอย่างเปิดเผยย่อมไม่อาจปิดบังเขาได้ ทุกความเคลื่อนไหวของสามสำนักเขาล้วนทราบดี

มีเรื่องผิดปกติเกิดขึ้นอย่างกะทันหันและต่อเนื่อง เฟิ่งหลิงปอตระหนักได้ถึงความไม่ชอบมาพากลแล้ว อีกทั้งตระหนักได้แล้วว่าเหตุใดสำนักหยกสวรรค์ถึงสั่งให้เลื่อนการลงมือกับทางฝ่ายซางเฉาจงออกไปชั่วคราว

ข่าวร้ายที่หลั่งไหลเข้ามาทำให้เฟิ่งหลิงปอได้รับแรงกดดันมหาศาล

เขารู้แก่ใจดีว่าหากสาเหตุเป็นอย่างที่เขากังวลอยู่จริงๆ ล่ะก็ หากต้องเผชิญหน้ากับแรงกดดันอย่างต่อเนื่องเช่นนี้ เกรงว่าสำนักหยกสวรรค์ก็คงจะต้านไม่ไหวเช่นกัน ต่อให้เผิงโย่วไจ้จะเป็นพ่อตาของเขา อีกฝ่ายก็ไม่มีทางจะนำผลประโยชน์ของทั้งสำนักหยกสวรรค์ออกมาแลกกับการเติมเต็มผลประโยชน์ของเขาได้

เขาไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดซางเฉาจงถึงมีกำลังสนับสนุนมากขนาดนี้?

การกระทำของสามสำนักทำให้เขานึกเชื่อมโยงไปหาหนิวโหย่วเต้า หรือจะเป็นฝีมือของหนิวโหย่วเต้าคนนั้นอย่างที่เผิงโย่วไจ้กังวลมาโดยตลอดจริงๆ? หนิวโหย่วเต้ามีความสามารถมากขนาดนี้เชียวหรือ?

ที่สำคัญคือเขาคิดไม่ออกเลยว่าเหตุใดมณฑลจินโจวถึงได้ทำเรื่องโง่เขลาเช่นนี้ออกมา?

ขณะเดียวก็ไม่เข้าใจเรื่องการแต่งตั้งของราชสำนักแคว้นเยี่ยน ก่อนหน้านี้หลงนึกว่าต้องการยุแยงให้ทางนี้เกิดความขัดแย้งกันเอง แต่ตอนนี้ดูแล้ว เหมือนจะเป็นการร่วมมือกับทางมณฑลจินโจวเพื่อจะหนุนให้ซางเฉาจงขึ้นสู่ตำแหน่งมากกว่า ราชสำนักแคว้นเยี่ยนจะปล่อยให้ซางเฉาได้ประโยชน์เช่นนี้ได้เหรอ?

หนิวโหย่วเต้าที่หลบหนีไปคนนั้นทำอะไรไปกันแน่ เขาทำได้อย่างไรกัน?

ปัง! เฟิ่งหลิงปอทุบกำปั้นลงบนโต๊ะ หยิบรายงานด่วนบนโต๊ะขึ้นมาอ่านด้วยดวงตาแดงก่ำ เป็นข่าวความคืบหน้าของศิษย์สามสำนักที่รุกคืบเข้ามาใกล้อีกแล้ว เข้าใกล้เมืองซั่งผิงเข้ามาเรื่อยๆ

เขาพลันลุกขึ้นยืน ฉีกรายงานด่วนเป็นชิ้นๆ เศษกระดาษปลิวว่อน ฝ่ามือทั้งสองข้างเท้าลงบนโต๊ะ หอบหายใจหอบฟืดฟาด!

สู้อดกลั้นมาหลายปี ตอนนี้อำนาจอยู่ในมือแล้ว แต่ก็กำลังจะสูญเสียไปอีกครั้ง เขาไม่ยอม

นี่คือหนานโจวทั้งมณฑลเชียวนะ!

ไม่ใช่แค่จังหวัดกว่างอี้เล็กๆ เหมือนอย่างครานั้น!

เฟิ่งหลิงปอเท้ามือยันโต๊ะพลางส่ายหน้าไปมา สีหน้าย่ำแย่ เขายอมรับไม่ได้จริงๆ

ต้องทนอยู่เฉย ปล่อยให้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นอย่างนั้นหรือ?

เฟิ่งหลิงปอค่อยๆ เงยหน้าขึ้น ดวงตาที่แน่วแน่ฉายแววดุดัน พลันตะโกนออกไป “มีใครอยู่บ้าง!”

ลูกน้องคนหนึ่งวิ่งผ่านประตูเข้ามา ประสานมือขานรับ “ใต้เท้า!”

เฟิ่งหลิงปอเอ่ยเสียงขรึม “ไปเชิญฮูหยินมาที”

“ขอรับ!” ลูกน้องรับคำสั่งแล้วออกไป

ไม่นานนัก เผิงอวี้หลานผู้มีโครงร่างใหญ่กว่าสตรีทั่วไปก็มาถึง เฟิ่งหลิงปอเอ่ยกำชับยามเฝ้าประตูด้านนอกว่าหากไม่ได้รับอนุญาต ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ห้ามเข้ามาใกล้

พอหันกลับมาอีกครั้ง สองสามีภรรยาสบตากันเงียบๆ

สีหน้าเผิงอวี้หลานก็ดูซีดเซียวอย่างมากเช่นกัน ความผิดปกติที่เฟิ่งหลิงปอทราบ นางเองก็ทราบด้วย ตระหนักได้เช่นกันว่าอันตรายคืบใกล้เข้ามาแล้ว ชะตากรรมของสองสามีภรรยาเดิมทีก็ต้องร่วมทุกข์ร่วมสุขไปด้วยกันอยู่แล้ว นางเข้าใจถึงความกดดันที่เฟิ่งหลิงปอแบกรับอยู่

นางคิดไม่ถึงและไม่เคยคิดมาก่อนจริงๆ ว่ารูปการณ์จะเปลี่ยนแปลงไปรวดเร็วขนาดนี้ เพิ่งจะดีใจได้เท่าไรกันเชียว?

“อวี้หลาน!” เฟิ่งหลิงปอเดินเข้าไปกุมสองมือของนาง

เผิงอวี้หลานเอ่ยด้วยสีหน้าฝืดฝืน “เกิดอะไรขึ้น? มีข่าวไม่ดีมาอีกแล้วใช่หรือไม่?”

เฟิ่งหลิงปอเอ่ยเสียงเครียด “พวกเราไม่อาจนั่งรอให้หายนะมาเยือนได้ จำเป็นต้องตัดไฟตั้งแต่ต้นลม!”

เผิงอวี้หลานใจเต้นแรงขึ้นมา เอ่ยถามไป “ท่านคิดจะทำอะไร?”

เฟิ่งหลิงปอยื่นหน้าเข้าไปใกล้หูนาง กระซิบว่า “มีแต่ต้องทำให้ซางเฉาจงไม่สามารถเข้าควบคุมหนานโจวได้ เราถึงจะรักษาสิ่งที่ลงแรงไปไว้ได้”

แม้จะคาดเดาเอาไว้แล้ว แต่ดวงตาของเผิงอวี้หลานก็ยังเบิกกว้างขึ้นมา พลิกสองมือไปคว้ามือเขาไว้แน่น เอ่ยด้วยความร้อนใจ “จะก่อเรื่องไม่ได้ มิเช่นนั้นเราจะอธิบายกับทางท่านพ่อไม่ได้”

เฟิ่งหลิงปอกล่าวว่า “คิดมากไปแล้ว ขอเพียงเรื่องราวลุล่วงไป อย่างมากท่านพ่อก็แค่ดุด่าพวกเราเท่านั้น ท่านจะสังหารพวกเราได้หรือ?”

เผิงอวี้หลานส่ายหน้า “หลิงปอ ข้าเข้าใจเจตนาของท่าน แต่ท่านเคยคิดถึงรั่วหนานบ้างหรือไม่? ครั้งก่อนตอนที่พวกเราทำเช่นนั้นก็ทำให้นางลำบากมากพอแล้ว หรือพ่อแม่อย่างพวกเรายังจะทำให้นางต้องเป็นหม้ายด้วยมือเราเองด้วย? หากทำเช่นนั้นจริง วันหน้าจะมองหน้ากันอย่างไร?”

เฟิ่งหลิงปอกล่าวว่า “เช่นนั้นเจ้าเคยคิดถึงลูกหลานของเจ้าบ้างหรือไม่? ก่อนหน้านี้พวกเราทำกับซางเฉาจงไว้สารพัด ซางเฉาจงจะไม่แค้นเคืองได้หรือ? หากปล่อยให้ซางเฉาจงกุมอำนาจไปตลอด เขาจะยอมปล่อยพวกเราไปหรือ? หากเราไม่ลงมือแล้วรอให้ซางเฉาจงเป็นฝ่ายลงมือขึ้นมา เมื่อถึงเวลานั้นเกรงว่าสิ่งที่ต้องเสียไปคงมิใช่แค่อำนาจ หากแต่เป็นชีวิตของทั้งตระกูลที่จะต้องลงหลุมไปพร้อมกัน!”

เผิงอวี้หลานยังคงส่ายหน้า “ไม่หรอก ยังมีท่านพ่ออยู่ อย่างมากพวกเราก็แค่ลี้ภัยไปหาสำนักหยกสวรรค์ มีสำนักหยกสวรรค์คอยปกป้อง ซางเฉาจงไม่กล้าบุ่มบ่ามลงมือแน่ พวกเราทั้งบ้านยังคงปลอดภัยดี!”

เฟิ่งหลิงปอกล่าวว่า “เหลวไหล! ข้าขอเอ่ยคำพูดที่ฟังดูไม่ดีหน่อยเถอะ ท่านพ่อจะอยู่ต่อได้อีกนานแค่ไหน? อย่างมากก็ปกป้องได้เพียงรุ่นของพวกเราเท่านั้น! พอสิ้นบุญก็หมดอำนาจ หลังจากซางเฉาจงได้ครองอำนาจย่อมมีหนทางอีกมากที่จะทำให้สำนักหยกสวรรค์เลือกหลับตาข้างหนึ่งไปเสีย ในยุคที่โลกโกลาหลวุ่นวาย ยากจะที่สร้างรากฐานให้ยืนยาวไปชั่วรุ่นได้ ขอเพียงได้ครอบครองมณฑลหนานโจว เราก็จะมีโอกาศสร้างความมั่นคงและมั่งคั่งไว้ให้ลูกหลานของพวกเราอีกหลายต่อหลายรุ่นได้ เจ้าเคยคิดบ้างหรือไม่ว่า ขอเพียงพวกเรายังมีชีวิตอยู่และยังมีสำนักหยกสวรรค์หนุนหลังอยู่ เกรงว่าซางเฉาจงคงกังวลอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันว่าพวกเราจะสร้างความวุ่นวายขึ้นมาในสักวัน เขาจะต้องคิดหาทางลงมือกับพวกเราแน่นอน เพื่อจะได้ตัดไฟแต่ต้นลม! หรือเจ้าทนเห็นหลานชายและหลานสาวของเจ้าเหล่านั้นต้องตายได้? ขอเพียงพวกเราได้ครอบครองหนานโจว วันหน้ายังต้องกลัวว่าจะไม่มีผู้ชายดีๆ ให้รั่วหนานอีกหรือ?”

พอเอ่ยถึงหลานชายและหลานสาวที่แสนน่ารักเหล่านั้น มันก็จี้ถูกจุดอ่อนของเผิงอวี้หลานเข้าอย่างจัง เผิงอวี้หลานกลืนน้ำลาย ทั้งว้าวุ่นใจ แล้วก็ลังเล ยังคงยากจะตัดสินใจได้ นางส่ายหน้าพลางเอ่ยว่า “ข้ารู้จักรั่วหนานดี นางไม่มีทางยอมรับได้ แล้วก็ไม่มีทางทนมองซางเฉาจงเผชิญเคราะห์ได้ นางจะต้องเข้ามาขวางแน่นอน!”

เฟิ่งหลิงปอกล่าวว่า “เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหา หาข้ออ้างสักอย่างล่อนางออกไป ที่สำคัญคือบรรดาศิษย์สำนักหยกสวรรค์ที่คอยติดตามซางเฉาจงเหล่านั้น เรื่องนี้จำเป็นต้องมีความร่วมมือจากเจ้า ส่วนที่เหลือเดี๋ยวข้าจัดการเอง”

……………………………………………………………