ตอนที่ 432 วางแผนลับ

“เอ่อ…” เผิงอวี้หลานไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะตอบตกลงดีหรือไม่

ใช่ว่านางจะหักใจทำร้ายซางเฉาจงไม่ลง เรื่องราวมาถึงขั้นนี้แล้ว การต่อสู้แย่งชิงในวังวนอำนาจทำให้มองข้ามเรื่องญาติมิตรไปได้ง่ายที่สุด ยิ่งไปกว่านั้นยังเกี่ยวพันถึงผลประโยชน์ของทั้งครอบครัวนางด้วย นางไม่ได้แยแสอันใดซางเฉาจงนัก ประเด็นสำคัญคือไม่รู้จะไปเผชิญหน้าบิดาและบุตรสาวของตนหลังจากนี้อย่างไร

แต่เฟิ่งหลิงปอได้เปิดช่องโหว่ในใจของนางขึ้นแล้ว ความคิดที่ยากจะควบคุมไว้ได้เริ่มหลั่งไหลเข้ามาราวกับยาพิษ ประกอบกับมีเฟิ่งหลิงปอคอยยืนกรานและโน้มน้าว เรื่องบางอย่างจึงไม่อาจเลี่ยงได้อีก

……

เสียงฝีเท้าม้าแว่วดัง ขบวนม้าสิบกว่าตัวที่นำโดยเผิงโย่วไจ้ควบไปตามเส้นทางหลวง ออกจากมณฑลจินโจว มุ่งหน้ากลับเข้าเขตมณฑลหนานโจว

ในขบวนม้าสิบกว่าตัวนั้น ม้าส่วนใหญ่จะควบผ่านจุดพักม้าที่อยู่ข้างทางหลวงไป มีม้าเพียงบางส่วนที่หมดแรงวิ่งตามอยู่ด้านหลัง ถึงจะถูกผู้ขี่บังคับหักเลี้ยวเข้าสู่จุดพักม้า เปลี่ยนพาหนะใหม่แล้วพุ่งออกมาจากจุดพักม้า ไล่ตามทิศทางของกลุ่มด้านหน้าไป

ใช้วิธีผลัดเปลี่ยนม้าเช่นนี้ไปตลอดทาง

ปีกทองตัวหนึ่งร่อนลงมาจากฟ้า เมื่อศิษย์ที่นั่งบนหลังม้าถอดความเสร็จก็ลงแส้เร่งม้าไล่ตามขึ้นมาหาเผิงโย่วไจ้ที่นำหน้าอยู่ รายงานเสียงดังว่า “มีข่าวส่งมาจากทางเฟิ่งหลิงปอขอรับ ตรวจสอบพบว่าคนของสามสำนักมุ่งหน้าไปยังเมืองซั่งผิงแล้วจริงๆ ขอรับ”

เมื่อคนในขบวนได้ยินก็มองไปทางเผิงโย่วไจ้พร้อมกัน

เผิงโย่วไจ้มีสีหน้าเยียบเย็น เอ่ยเสียงขรึมว่า “มณฑลหนานโจวยังไม่มีที่ให้สามสำนักออกมาโลดแล่นได้ ส่งข่าวกลับไปหาผู้อาวุโสเฉิน ห้ามให้คนจากสามสำนักเข้าเมือง หากอีกฝ่ายฝ่าฝืนให้สังหารได้เลย!”

“ขอรับ!” ศิษย์ที่รายงานขานรับ

….

บนหน้าผา ใต้พฤกษาเก่าแก่ หนิวโหย่วเต้านั่งอยู่ตามลำพัง ตั้งเตาชงชาอยู่

กงซุนปู้และก่วนฟางอี๋เดินเข้ามาพร้อมกัน ก่วนฟางอี๋นั่งลงตรงข้ามหนิวโหย่วเต้า “อู๋เหล่าเอ้อร์พาคนไปที่เมืองซั่งผิงแล้ว แต่ผู้บำเพ็ญเพียรไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าเมือง ประตูเมืองทุกแห่งมีศิษย์สำนักหยกสวรรค์คอยเฝ้าและตรวจตรา ใช้พลังตรวจสอบทุกคนที่ผ่านเข้าออกเมือง ผู้บำเพ็ญเพียรที่มีพลังปราณไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าออก บนกำแพงเมืองก็มีศิษย์ของสำนักหยกสวรรค์คอยสังเกตการณ์อยู่เช่นกัน ไม่มีทางจะแอบเข้าไปโดยไม่ถูกพบเห็น อย่าว่าแต่ได้พบซางเฉาจงเลยแม้แต่จะเข้าใกล้ก็ยังทำไม่ได้ด้วยซ้ำ”

หนิวโหย่วเต้าเอื้อมมือไปหยิบกาน้ำชาที่เดือดได้ที่ รินน้ำชาให้ตัวเองอย่างไม่รีบร้อน

กงซุนปู้เอ่ยต่อว่า “หยวนกังพาคนแทรกซึมเข้าไปในเมืองได้แล้วขอรับ แต่ไม่อาจไปพบท่านอ๋องได้เช่นกัน สถานที่ที่คุมตัวท่านอ๋องไว้ ด้านนอกมีกำลังทหารเฝ้าอยู่ ส่วนด้านในมีผู้บำเพ็ญเพียรเฝ้าระวัง ไม่อาจเข้าใกล้ได้ หยวนกังเองก็ติดต่อกับพวกอู๋เหล่าเอ้อร์ที่อยู่นอกเมืองลำบากเช่นกันขอรับ จำเป็นต้องออกจากเมืองถึงติดต่อได้ เมืองซั่งผิงถูกเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด ไม่อาจใช้ปีกทองได้”

หนิวโหย่วเต้ารินน้ำชาทั้งสองคนละถ้วย ถามไปว่า “ส่งข่าวไปหาท่านอ๋องได้หรือไม่?”

กงซุนปู้ตอบว่า “ติดต่อไม่ได้ขอรับ หยวนเหยี่ยให้คนไปตีสนิทข้ารับใช้ในตระกูลเฟิ่ง สอบถามข้อมูลมาเล็กน้อย สถานที่กักบริเวณท่านอ๋องมีผู้บำเพ็ญเพียรจับตามองอย่างใกล้ชิด แม้แต่อาหารที่ถูกส่งเข้าออกก็ต้องผ่านจากตรวจสอบอย่างเข้มงวดจากผู้บำเพ็ญเพียรทุกครั้ง ไม่สามารถใช้เล่ห์กลใดๆ ได้เลย”艾琳小說

พอได้ยินเช่นนี้หนิวโหย่วเต้าก็โล่งใจขึ้นมา เรื่องราวมาถึงขั้นนี้แล้ว เขากังวลว่าเฟิ่งหลิงปอจะกลายเป็นสุนัขจนตรอกทำเรื่องบ้าระห่ำอะไรขึ้นมา แต่พอได้ฟังเช่นนี้ เห็นทีว่าสำนักหยกสวรรค์ก็มีมาตรการเฝ้าระวังเฟิ่งหลิงปออยู่เช่นกัน มีสำนักหยกสวรรค์คอยปกป้องอยู่ก็ดี น่าจะไม่เกิดปัญหาอะไรขึ้น

“บอกหยวนกังไปว่าหากเฟิ่งหลิงปอกล้าแตะต้องท่านอ๋องจริง สำนักหยกสวรรค์ไม่มีทางเข้าข้างเฟิ่งหลิงปอ ให้เขาปรับตัวไปตามสถานการณ์ คอยดูแลประสานงานเพื่อปกป้องความปลอดภัยของท่านอ๋อง” หนิวโหย่วเต้าวางถ้วยน้ำชาลงตรงหน้ากงซุนปู้ เอ่ยเสริมไปอีกประโยค “ให้ยึดความปลอดภัยของทุกคนเป็นหลัก บอกให้เขาระวังตัวไว้ หากจัดการไม่ได้ก็ไม่ต้องฝืน”

“ขอรับ!” กงซุนปู้ตอบรับ

ก่วนฟางอี๋เอ่ยถาม “อุดอู้มานานขนาดนี้ เจ้าวางแผนจะออกจากเขาเมื่อไร?”

“ข้าไม่รู้สึกอุดอู้เลยสักนิด” หนิวโหย่วเต้าเอ่ยหยอกอย่างติดตลก พอเห็นอีกฝ่ายกลอกตาใส่ เขาก็เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ข้ายังปรากฏตัวไม่ได้ รอต่อไปก่อน”

….

เฟิ่งหลิงปอวางรายงานด่วนในมือลง เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ เป็นข่าวเรื่องกองกำลังสามสำนักอีกแล้ว เข้าใกล้เมืองซั่งผิงมาเรื่อยๆ แล้ว

เรื่องนี้ทำให้เขารู้สึกร้อนรนเป็นอย่างมาก หากปล่อยให้คนจากสามสำนักได้พบกับซางเฉาจง เมื่ออยู่ใต้การคุ้มกันของกลุ่มผู้บำเพ็ญเพียร เขาจะไม่มีโอกาสลงมือกับซางเฉาจงอีก

ในความเป็นจริงตอนนี้เขาก็ยากจะหาโอกาสลงมือได้เช่นกัน ไม่สามารถหลอกล่อกลุ่มผู้บำเพ็ญเพียรทั้งหมดให้แยกห่างออกไปได้ ไป๋เหยาคนนั้นคอยเฝ้าอยู่ในคฤหาสน์ของซางเฉาจง ไม่ยอมขยับไปไหนเลย จะให้เผิงอวี้หลานไปลอบสังหารทางฝั่งซางเฉาจงก็ไม่ได้อีก ขอเพียงมีคนนอกล่วงล้ำเข้าไป ไป๋เหยาจะปรากฏตัวขึ้น คอยติดตามอยู่ข้างกายซางเฉาจงทันที

เผิงอวี้หลานไม่เพียงแต่จะหาโอกาสลงมือไม่ได้ ทว่ากระทั่งทางนี้คิดจะใช้แผนวางยาพิษก็หาโอกาสไม่ได้เช่นกัน

ยิ่งเป็นเช่นนี้ เฟิ่งหลิงปอก็ยิ่งร้อนรนใจ

เผิงอวี้หลานเดินกระวีกระวาดเข้าห้องมา เฟิ่งหลิงปอลุกขึ้นออกไปต้อนรับอย่างรวดเร็ว เอ่ยถามว่า “มีวิธีล่อศิษย์สำนักหยกสวรรค์ที่อยู่ทางนั้นออกไปแล้วหรือ?”

เผิงอวี้หลานส่ายหน้าอย่างลำบากใจ “อย่างมากก็ล่อออกได้เพียงบางส่วนเท่านั้น หากจะให้พวกเขาทั้งหมดแยกออกไปโดยมีแค่ซางเฉาจงอยู่ที่นั่น นั่นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย”

เฟิ่งหลิงปอเงยหน้าพลางถอนหายใจยาวๆ “หรือแม้แต่สวรรค์ก็ไม่เข้าข้างข้า?”

เผิงอวี้หลานเอ่ยปลอบใจ “อย่าร้อนใจไปเลย อย่างน้อยพวกเราก็ยังเหลือเวลาอีกหนึ่งวัน ข้าเพิ่งได้รับข่าวจากทางสำนักหยกสวรรค์ ท่านพ่อถ่ายทอดคำสั่งมาหาศิษย์สำนักหยกสวรรค์ทางฝั่งนี้แล้ว สั่งให้ขัดขวางสามสำนักไว้นอกเมือง ไม่อนุญาตให้พวกเขาเข้าเมือง หากสามสำนักกล้าบุกเข้ามา ก็ให้ศิษย์สำนักหยกสวรรค์ลงมือสังหารได้ทันที! ดังนั้นก่อนที่ท่านพ่อจะกลับมา คนของสามสำนักก็ไม่มีทางเข้ามารวมตัวกับซางเฉาจงได้ พวกเรายังเหลือเวลาคิดหาทางกันอีกหนึ่งวัน!”

“มันก็ใช่…” เฟิ่งหลิงปอที่เมื่อครู่ยังทอดถอนใจอยู่พลันผงะไป ดวงตาเปล่งประกายขึ้นมาทันที รีบถามว่า “เรื่องที่พูดเป็นความจริงหรือ? ท่านพ่อสั่งให้ศิษย์สำนักหยกสวรรค์ขัดขวางไม่ให้คนจากสามสำนักเข้าเมืองอย่างนั้นหรือ?”

เผิงอวี้หลานตอบว่า “ก็ใช่น่ะสิ ข้าจะหลอกท่านไปไยเล่า?”

“ดี!” เฟิ่งหลิงปอพลันชกหมัดไปที่ฝ่ามือ เดินวนไปวนมาด้วยความตื่นเต้น “สวรรค์ยังไม่ทอดทิ้งข้า ตอนที่สามสำนักมาถึง บางทีอาจจะเป็นโอกาสดีให้พวกเราลงมือก็เป็นได้”

เผิงอวี้หลานผงะไป “หมายความว่าอย่างไร? ต่อให้ส่งคนไปป้องกันสามสำนัก พวกเขาก็น่าจะไม่เรียกใช้ศิษย์ที่เฝ้าดูแลทางซางเฉาจงกระมัง”

เฟิ่งหลิงปอหยุดลงตรงหน้านางทันที เอ่ยกระซิบกระซาบข้างหูนางครู่หนึ่ง

หลังฟังจบ เผิงอวี้หลานเอ่ยด้วยท่าทีสงสัย “แบบนี้จะได้หรือ?”

เฟิ่งหลิงปอแสดงสีหน้าดุร้าย “ไม่ว่าจะใช้ได้หรือไม่ก็ต้องลองดู! อวี้หลาน นี่คือโอกาสเดียวของพวกเรา หากว่าพลาดโอกาสครั้งนี้ไป ทันทีที่ท่านพ่อกลับมาถึง ทันทีที่ปล่อยให้ซางเฉาจงได้เป็นผู้ว่าการมณฑล ด้วยเรื่องต่างๆ ที่พวกเราเคยกระทำต่อซางเฉาจงเอาไว้ ต่อให้พวกเราทั้งครอบครัวจะปลอดภัย แต่เกรงว่าลูกหลานของเจ้าคงต้องไปทำไร่ทำนาอยู่ตรงตีนเขาของสำนักหยกสวรรค์ไปตลอดชีวิตแล้ว ขอเพียงซางเฉาจงยังอยู่ ลูกหลานของเจ้าจะไม่มีวันโงหัวขึ้นมาได้!”

ลมหายใจของเผิงอวี้หลานหอบหนักขึ้นเล็กน้อย ยังไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องอื่นใดเลย เพียงนึกถึงอนาคตของลูกหลาน มันก็เพียงพอที่จะทำให้นางตัดสินใจได้แล้ว นางพยักหน้าอย่างหนักแน่น “ได้! เอาตามนี้ ทางท่านแอบเตรียมการให้พร้อมเถอะ”

เฟิ่งหลิงปอกล่าวว่า “เจ้าวางใจเถอะ ขอเพียงทางเจ้าสามารถแยกศิษย์สำนักหยกสวรรค์ออกไปได้อย่างราบรื่น กำลังพลของทางข้าก็สามารถบุกเข้าไปได้เลย ใช้ธนูกระหน่ำยิงเข้าไป คนแค่ไม่กี่คนในนั้นไม่มีทางต้านรับไหว เพียงครู่เดียวก็ทำให้พวกซางเฉาจงแหลกเละได้แล้ว กว่าศิษย์สำนักหยกสวรรค์จะทราบข่าวแล้วตามมาช่วยเหลือก็ไม่ทันการแล้ว! กว่าคนของสำนักหยกสวรรค์จะมาถึง ทุกอย่างก็จบลงแล้ว”

“ดี ข้าจะไปเตรียมการเดี๋ยวนี้” เผิงอวี้หลานเอ่ยทิ้งท้ายไว้แล้วเร่งเดินจากไป

จากนั้นเฟิ่งหลิงปอก็เรียกรวมตัวแม่ทัพคนสนิทสี่นายอันได้แก่ บุตรชายคนโตเฟิ่งรั่วอี้ บุตรชายคนรองเฟิ่งรั่วเจี๋ย เถาเหยี่ยนและหนงฉางกว่าง

เรื่องแบบนี้ต้องฝากความหวังกับคนที่ไว้วางใจได้เท่านั้น เขาย่อมต้องเรียกบุตรชายทั้งสองของตนมาเป็นธรรมดา ส่วนเถาเหยี่ยนและหนงฉางกว่างต่างเป็นลูกน้องคนสนิทตั้งแต่สมัยที่เฟิ่งหลิงปอเข้าประจำตำแหน่งในจังหวัดกว่างอี้ หลังจากเฟิ่งหลิงปอสูญเสียอำนาจไป สองคนนี้ย่อมได้รับผลกระทบไปด้วย หลังจากซางเฉาจงได้ปกครองทั้งสองจังหวัดก็ไม่มีทางปล่อยให้คนสนิทของเฟิ่งหลิงปอได้ประจำในตำแหน่งสำคัญอีก ทั้งสองจึงได้รับความคับข้องใจอยู่หลายปี

ยามนี้เฟิ่งหลิงปอพลิกสถานการณ์กลับมาได้ ย่อมเรียกหาแม่ทัพทั้งสองทันที

ไม่ว่าจะเป็นบุตรชายทั้งสอง หรือว่าเถาเหยี่ยนและหนงฉางกว่าง ในอดีตต่างก็เป็นแม่ทัพผู้องอาจในบังคับบัญชาของเฟิ่งหลิงปอ ที่สมัยก่อนจังหวัดกว่างอี้สามารถยืนหยัดในมณฑลหนานโจวได้ ทั้งสี่คนนี้ล้วนมีความดีความชอบอยู่ไม่น้อย

ในเมื่อเป็นการวางแผนลับ อีกทั้งการปฏิบัติการจริงก็ต้องพึ่งพาคนเหล่านี้ เฟิ่งหลิงปอจึงไม่ได้ปิดบังเรื่องบางเรื่องจากพวกเขา เปิดเผยความเสี่ยงทั้งหมดที่จะต้องเผชิญให้ทราบ หลังจากเปิดเผยเจตนาว่าตนต้องการสังการซางเฉาจงออกไปแล้ว เขาก็เอ่ยถามว่า “พวกเจ้าคิดเห็นเช่นไร?”

เฟิ่งรั่วอี้และเฟิ่งรั่วเจี๋ยสบตากัน จะให้สังหารน้องเขยของตนอย่างนั้นหรือ? ทั้งสองพลันลังเลขึ้นมา ไม่รู้ว่าควรจะตอบรับอย่างไร

เถาเหยี่ยนและหนงฉางกว่างสบตากันเงียบๆ ความคับข้องใจที่ได้รับในช่วงหลายปีนี้ไม่ง่ายเลยว่าจะสบโอกาสล้างแค้นเช่นนี้ ทั้งสองไม่อยากจมอยู่กับความรู้สึกคับข้องใจเช่นนั้นอีกแล้ว ไหนเลยจะยอมปล่อยชัยชนะที่ได้มาครองแล้วไป ยอมสู้ตายเพื่อจะรักษาเอาไว้ ผู้ที่ชีวิตคลุกคลีอยู่ในสนามรบไม่มีทางกลัวเรื่องต่อสู้ฆ่าฟัน เพียงแต่นี่เป็นการสังหารบุตรเขยของใต้เท้า พวกเขาไม่สะดวกจะตอบรับอย่างเต็มปากเต็มคำตั้งแต่แรก มิเช่นนั้นจะดูเกินไปหน่อย

ทั้งสองเองก็สังเกตท่าทีของเฟิ่งรั่วอี้และเฟิ่งรั่วเจี๋ยอยู่ หากทุกคนเห็นพ้องต้องการ ทั้งสองย่อมเห็นด้วยแน่นอน หากว่ามีคนอื่นไม่เห็นด้วย ทั้งสองก็จะไม่ปริปากเช่นกัน ยกให้เฟิ่งหลิงปอตัดสินใจเสียก็พอ

เฟิ่งหลิงปอจ้องมองบุตรชายทั้งสองด้วยแววตาเย็นชา เอ่ยบังคับให้แสดงจุดยืน “ทั้งหมดที่พ่อทำก็เพื่อพวกเจ้าทั้งนั้น!”

เฟิ่งรั่วอี้ถอนหายใจเอ่ยไปว่า “แล้วทางน้องเล็กจะทำอย่างไร? ทำเช่นนี้น้องเล็กก็ต้องเป็นหม้ายมิใช่หรือขอรับ? ข้ารู้จักความเจ้าอารมณ์ขอน้องเล็กดี หากพวกเราลงมือสังหารเช่นนี้จริงๆ ล่ะก็ น้องเล็กต้องสู้ตายเพื่อขัดขวางแน่นอน หากนางเข้ามาขวางอยู่เบื้องหน้า พวกเรายังจะต้องสู้ต่อไปหรือเปล่า? หรือว่าต้องข้ามศพน้องเล็กไป?”

เฟิ่งหลิงปอโบกมือกล่าวขึ้นว่า “เรื่องนี้พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องกังวล นั่นคือบุตรสาวของข้า เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของข้าเช่นกัน ก่อนลงมือข้าย่อมต้องกันรั่วหนานออกไปก่อน ไม่มีทางให้นางเข้ามาเสี่ยง ข้าต้องทำให้นางปลอดภัยแน่นอน”

เฟิ่งรั่วเจี๋ยถามต่อ “ท่านพ่อ แล้วทางสำนักหยกสวรรค์จะเห็นด้วยหรือขอรับ? หากสำนักหยกสวรรค์ไม่เห็นด้วย มีฝ่าซือเหล่านั้นคอยคุ้มกันอยู่ พวกเราก็ยากจะลงมือได้นะขอรับ!”

เฟิ่งหลิงปอกล่าวว่า “เรื่องนี้จำเป็นต้องให้เจ้ามาสอนข้าหรือ? เจ้าวางใจเถอะ ทางสำนักหยกสวรรค์นั้นแม่เจ้าจะคิดหาวิธีล่อออกไปเอง หากว่าทำในส่วนนี้ไม่สำเร็จ พวกเราก็ไม่มีทางลงมือเช่นกัน”

เฟิ่งรั่วอี้เอ่ยด้วยรอยยิ้มขมขื่น “ท่านพ่อ ปีนั้นรั่วหนานไม่ยอมออกเรือน ก็เป็นทางบ้านที่บังคับให้นางออกเรือนไป ตอนนี้พอนางออกเรือนไปแล้ว พวกเรากลับจะลงมือสังหารสามีนางอีก ต่อให้ทำสำเร็จ แต่หลังจากนี้พวกเราจะเผชิญหน้ากับน้องเล็กอย่างไรล่ะขอรับ?”

วาจานี้ทำให้หัวใจของเฟิ่งหลิงปอหนักอึ้งเล็กน้อยเช่นกัน เมื่อลองถามใจตัวเองดูแล้ว หากทำเรื่องเช่นนี้ลงไปจริงๆ มันก็เป็นการผิดต่อบุตรสาวของตนจริงๆ

เถาเหยี่ยนสังเกตการณ์อยู่ครู่หนึ่ง จึงเอ่ยขัดขึ้นว่า “ปีนั้นตอนที่ซางเฉาจงยึดอำนาจของใต้เท้าไป เขาเคยใจอ่อนผ่อนไมตรีให้หรือ? อีกทั้งเป็นเพราะเขาเล่นเล่ห์หลอกลวงถึงได้แต่งกับบุตรีผู้ล้ำค่าของท่านใต้เท้า ตำแหน่งพระชายานี้ไม่มีก็อยู่ได้ คุณชายใหญ่วางใจเถิดขอรับ หลังจบเรื่องข้าจะช่วยเฟ้นหาคนดีๆ สักคนให้คุณหนู ไม่มีทางปล่อยให้คุณหนูตกพุ่มม่าย เรื่องนี้ข้าจัดการเอง หากว่าหาไม่ได้จริงๆ ขอเพียงใต้เท้าไม่รังเกียจว่าผู้น้อยอายุมากไปหน่อย ข้าน้อยก็ยินดีจะหย่าภรรยามาแต่งกับคุณหนู จะไม่ทำให้คุณหนูได้รับความคับข้องอดสูแม้แต่น้อยแน่นอน!”

……………………………………………………………….