ตอนที่ 433 สุนัขจนตรอก

เฟิ่งรั่วอี้และเฟิ่งรั่วเจี๋ยตกใจกับวาจาที่เต็มไปด้วยความจริงใจนี้ หันไปมองเขาพร้อมกัน ตาเฒ่าคนนี้คิดจะแต่งกับน้องสาวพวกตนจริงๆ น่ะหรือ?

เฟิ่งหลิงปอปรายตามองเถาเหยี่ยนเล็กน้อย กลัดกลุ้มอยู่ในใจ อายุปูนนี้แล้วยังคิดจะมาแต่งกับลูกสาวข้าอีก เจ้าก็ช่างกล้าพูดออกมาได้ คิดจะทำตัวเป็นวัวแก่มาเล็มหญ้าอ่อนในบ้านข้าอย่างนั้นหรือ?

มุมปากหนงฉางกว่างกระตุกเล็กน้อย ทราบดีว่าต่อให้เฟิ่งรั่วหนานจะต้องออกเรือน นางก็ไม่มีทางออกเรือนกับคนผู้นี้แน่ หลังจบเรื่องเขาอยากจะนำวาจาของเถาเหยี่ยนไปบอกเล่าต่อฮูหยินผู้นั้นของเถาเหยี่ยนเสียเหลือเกิน ดูสิว่าตระกูลเหยี่ยนจะเกิดความโกลาหลอลหม่านเช่นใดขึ้น

“หลังจบเรื่องค่อยว่ากันเถอะ” เฟิ่งหลิงปอหยุดประเด็นนี้เอาไว้ก่อน เลี่ยงไม่ให้ออกนอกประเด็นไป เรื่องยังไม่ทันสำเร็จก็มาหารือเรื่องออกเรือนของบุตรีแล้ว นี่มันออกทะเลไปไกลแล้ว “ข้างกายซางเฉาจงยังมีองครักษ์อยู่อีกสิบกว่าคน ต่างซื่อสัตย์ภักดีต่อซางเฉาจง ซ้ำยังเป็นทหารเก่าจากกององครักษ์เลิศล้ำห้าวหาญทั้งสิ้น ผ่านสนามรบมาอย่างโชกโชน ไม่อาจประมาทได้ ครั้งนี้หากไม่ลงมือก็ยังพอว่า แต่หากลงมือแล้วต้องจัดการอย่างรวดเร็วดั่งสายฟ้าแลบ ไม่อาจชักช้าได้หากชักช้าแล้วคนของสำนักหยกสวรรค์ตามมาช่วยทัน ทุกคนจะต้องแบกรับผลที่จะตามมา!”

วาจานี้ของเขาเปรียบเสมือนการตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้วว่าจะลงมือ!

หลังจากทุกคนหารือวางแผนลับกันจบก็รีบแยกย้ายกันออกไป ต่างคนต่างกลับไปคัดเลือกทหารที่ตนไว้วางใจ เงื่อนไขแรกคือต้องไม่ทำให้ข่าวรั่วไหลออกไป

…..

เรื่องที่สมควรเกิดสุดท้ายก็ยังคงเกิดขึ้นอยู่ดี เฟิ่งหลิงปอนำรายงานด่วนมาที่เรือนด้านหลังด้วยตัวเอง ไปหาเฉินถิงซิ่วและเฟิ่งเอินไท่ที่อยู่ในศาลาแล้วมอบรายงานด่วนให้ “ผู้อาวุโสทั้งสอง คนของสามสำนักจำนวนหลายร้อยคนอยู่ห่างจากเมืองซั่งผิงไปแค่ไม่กี่สิบลี้ ใกล้จะมาถึงแล้วขอรับ”

สองผู้อาวุโสผลัดกันอ่านรายงานด่วน เฉินถิงซิ่วที่รับผิดชอบดูแลที่นี่ลุกขึ้นมาแล้วเอ่ยว่า “ศิษย์น้องเฟิง เจ้าอยู่เฝ้าที่นี่ไว้ ข้าจะไปที่ประตูเมืองทิศใต้ดูว่าสรุปแล้วสามสำนักจะกำเริบเสิบสานได้มากแค่ไหน”

“ได้!” เฟิงเอินไท่พยักหน้าตอบรับ

ผ่านไปครู่หนึ่ง เฉินถิงซิ่วก็พาผู้บำเพ็ญเพียรกลุ่มหนึ่งทะยานออกไป ดีดตัวขึ้นสู่หลังคาบ้านเรือนของประชาชนในเมือง มุ่งหน้าไปทางประตูทิศใต้

ศิษย์ของสำนักหยกสวรรค์ที่เฝ้าอยู่ในเมืองซั่งผิงติดตามเฉินถิงซิ่วออกไปมากกว่าครึ่ง

เมื่อออกจากเรือนด้านหลังมา เฟิ่งหลิงปอก็เห็นเผิงอวี้หลานที่รออยู่ใต้ชายคาทางเดินเส้นหนึ่ง เฟิ่งหลิงปอเร่งเดินเข้าไปหา กระซิบบอกว่า “ผู้อาวุโสเฉินพาคนออกไปที่ประตูเมืองทิศใต้แล้ว นำกำลังคนไปมากกว่าครึ่ง”

เผิงอวี้หลานพยักหน้าเล็กน้อย “ทันทีที่ทางข้าพาคนแยกออกไป คนของทางฝั่งท่านต้องลงมืออย่างรวดเร็ว หากเกิดความวุ่นวายใหญ่โตขึ้นมา พวกเขาใช้เวลาเพียงไม่นานก็ย้อนกลับมาจากประตูฝั่งนั้นได้แล้ว”

เฟิ่งหลิงปอกล่าวว่า “เจ้าวางใจเถอะ เตรียมกำลังพลไว้สองพันคน ขอเพียงเจ้าล่อคนออกไปได้ กำลังพลจะบุกเข้าไปกวาดล้างกำจัดคนกลุ่มนั้นทันที ไม่มีทางเกิดข้อผิดพลาดขึ้น”

“ข้าจะรอฟังข่าวจากท่าน”

“ข้าก็รอฟังข่าวจากเจ้าเช่นกัน”

ทั้งสองอาศัยช่วงที่เดินสวนกันพูดคุยสื่อสารกัน จากนั้นก็แยกย้ายกันไป

เมื่อเผิงอวี้หลานกลับมาถึงเรือนของตนก็เรียกโซ่วเหนียนเข้ามาหา ให้เขาไปเชิญเฟิ่งรั่วหนานบุตรสาวของตนมาด้วยตัวเอง

เฟิ่งหลิงปอเดินกลับไปกลับมาอยู่ในโถงว่าการ ตื่นเต้นกระวนกระวาย ทั้งประหม่าและตื่นเต้น ทราบดีว่าจะแพ้หรือชนะก็ขึ้นอยู่กับครั้งนี้แล้ว

ไม่นานนักเฟิ่งรั่วอี้ เฟิ่งรั่วเจี๋ย เถ้าเหยี่ยนและหนงฉางกว่างก็มาถึง

พอเห็นทั้งสี่คน เฟิ่งหลิงปอก็รีบโบกมือทันที สื่อว่าไม่จำเป็นต้องมากพิธี รีบเข้าไปแล้วเอ่ยสอบถาม “เตรียมทุกอย่างพร้อมหรือยัง?”

หนงฉางกว่างเอ่ยว่า “ใต้เท้าโปรดวางใจ พวกเราสี่คนต่างคัดเลือกทหารชั้นยอดมาห้าร้อยคน ขอเพียงได้รับคำสั่งจากใต้เท้า ก็สามารถมุ่งเข้าไปปิดล้อมตำแหน่งของเป้าหมายได้ทันที เมื่อกองทหารสองพันคนเข้าจู่โจม คนกลุ่มนั้นไม่มีโอกาสรอดแน่นอนขอรับ!”

เฟิ่งหลิงปอกวาดตามองทั้งสี่คนด้วยแววตาเยือกเย็น เอ่ยเสียงขรึมว่า “จำเอาไว้ ต้องลงมืออย่างรวดเร็วแม่นยำ มิเช่นนั้นหากศิษย์ของสำนักหยกสวรรค์กลับมาทัน มิใช่เพียงพลาดโอกาสลงมือเท่านั้น สิ่งที่รอพวกเราอยู่ก็คือปัญหาใหญ่ หากทำสำเร็จพวกเราจะปลอดภัย แต่หากพลาดไปผู้ใดก็อย่าหมายจะได้อยู่ดี”

เถาเหยี่ยนกล่าวว่า “ใต้เท้าวางใจเถิดขอรับ ขอเพียงมีเวลาพอ ไม่มีทางพลาดแน่นอน พลดาบและขวานสองพันคนล้วนมีธนูติดไปด้วย เมื่อลูกธนูจำนวนมากนี้ถูกยิงออกไปพร้อมกัน กลุ่มคนเพียงไม่กี่สิบคนนั้นไม่มีทางต้านไหว ยิ่งไปกว่านั้นคือมีพวกเราสี่คนนำทัพด้วยตัวเอง ไม่มีทางพลาดแน่ขอรับ!”

เฟิ่งรั่วอี้และเฟิ่งรั่วเจี๋ยต่างมีสีหน้าค่อนข้างหนักใจ แม้จะตัดสินใจไปแล้ว แต่เมื่อนึกถึงสถานการณ์กระอักกระอ่วนยามต้องพบหน้าน้องสาวขึ้นมา พวกเขาก็ไม่ค่อยมีความสุขเลยจริงๆ

แต่ทั้งสองต่างทราบดี ท่านพ่อไม่ได้ต่อสู้เพื่อตัวเองเท่านั้น แต่ทำไปเพื่อพวกเขาและทำเพื่อตระกูลเฟิ่งทั้งตระกูล ธนูขึ้นสายแล้วย่อมต้องยิงออกไป ถ้าชนะได้เป็นเจ้า ถ้าแพ้ต้องเป็นโจร ทุกอย่างขึ้นอยู่กับวันนี้!

เฟิ่งหลิงปอพยักหน้า “ถ้าเป็นเช่นนี้ได้ก็ดีมาก รอดูสัญญาณมือจากข้า อย่าได้เผยพิรุธจนทำให้คนนึกสงสัย!”

“ขอรับ!” ทั้งสี่คนประสานมือตอบรับพร้อมกัน

ภายในเรือนหลังหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากศาลาว่าการ มีเพียงตรอกสายหนึ่งที่คั่นแยกตัวเรือนจากศาลาว่าการ โซ่วเหนียนเดินออกจากประตูหลังของศาลาว่าการ มุ่งหน้าไปยังเรือนหลังนั้นด้วยตัวคนเดียว

พอโซ่วเหนียนปรากฏตัวขึ้น ไป๋เหยาก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างเงียบเชียบไร้ร่องรอย ขวางหน้าโซ่วเหนียนไว้

กับพ่อบ้านชราผมขาวหงอกคนนี้ ไป๋เหยาเองก็ไม่กล้าทำตัวโอหังจนเกินไปเช่นกัน หากว่ากันตามลำดับอาวุโสแล้ว อีกฝ่ายยังคงนับเป็นอาจารย์อาของตน เพียงแค่ในอดีตทำผิดกฎสำนักจึงถูกขับออกจากสำนักไป เป็นเจ้าสำนักคนปัจจุบันที่ส่งตัวคนผู้นี้ไปอยู่กับตระกูลเฟิ่ง เพื่อไม่ให้เขาต้องกลายเป็นผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักดฮณ๊ฯดฯฌซ,

ดังนั้นความสัมพันธ์ระหว่างพ่อบ้านคนนี้กับสำนักหยกสวรรค์ยังคงคลุมเครือมาจนถึงปัจจุบันนี้ ถึงแม้จะถูกขับออกจากสำนักไปแล้ว แต่ความจริงสถานะยังคงไม่ต่างไปจากศิษย์สำนักหยกสวรรค์เลย

ไป๋เหยาที่กอดกระบี่ไว้ด้วยสีหน้าเย็นชาคลายสองแขนออก ลดกระบี่ลงเพื่อแสดงถึงความเคารพ สอบถามเสียงเรียบเฉยว่า “มีธุระใดหรือ!”

โซ่วเหนียนตอบว่า “ฮูหยินให้มาหาคุณหนู ต้องการเชิญคุณหนูไปพบสักหน่อย”

ไป๋เหยาหันกลับไปกวักมือเรียกเล็กน้อย ศิษย์ร่วมสำนักคนหนึ่งทะยานเข้ามาหา ไป๋เหยาให้เขาไปเชิญเฟิ่งรั่วหนานมา ไม่ยอมให้โซ่วเหนียนเข้าไปในตัวเรือน

ทั้งสองยืนคุมเชิงกันอยู่ตรงนี้พักหนึ่ง ศิษย์ที่ไปแจ้งเรื่องก็เดินนำเฟิ่งรั่วหนานที่มีสีหน้าหม่นหมองเล็กน้อยออกมา

เฟิ่งรั่วหนานถามโซ่วเหนียน “ท่านแม่เรียกหาข้าด้วยเรื่องใด?”

โซ่วเหนียนยิ้มน้อยๆ “ฮูหยินไม่ได้บอกขอรับ เมื่อคุณหนูไปพบย่อมทราบเอง”

เฟิ่งรั่วหนานก็ไม่คิดมากเช่นกัน นางเองก็กำลังอยากพบคนในตระกูลเฟิ่งอยู่พอดี จนใจที่ช่วงนี้คนตระกูลเฟิ่งค่อนข้างละอายใจที่จะต้องเผชิญหน้ากับนาง จึงมีความรู้สึกคล้ายไม่อยากพบหน้านาง

เฟิ่งรั่วหนานจึงเดินตามโซ่วเหนียนออกไป ไป๋เหยาเองก็ไม่ได้ขัดขวาง อีกทั้งเขาเองก็ไม่มีเหตุลให้ขัดขวางด้วย

ไป๋เหยาหันกลับไปมองซางซูชิงที่ตามออกมาด้วย ผงกหัวทักทายเล็กน้อย จากนั้นหันหลังเดินหายลับไปอีกครั้ง

หลังจากซางซูชิงที่หยุดอยู่ไกลๆ เฝ้ามองเฟิ่งรั่วหนานจากไป นางก็หันหลังเดินกลับเข้าไปเช่นกัน

นางทราบดีว่าช่วงนี้พี่สะใภ้ที่เป็นคนกลางคือคนที่ลำบากใจที่สุด นางจึงมาอยู่เป็นเพื่อนคอยปลอบใจ ด้วยกลัวว่าพี่สะใภ้จะคิดไม่ตกจนทำเรื่องไม่คาดคิดอันใดขึ้น

ใจเขาใจเรา นางเองก็เป็นสตรี หากครอบครัวตนเองทำแบบนี้กับตน ตนก็คงยากจะทนรับไหวเช่นกัน

พวกซางเฉาจงที่อยู่ภายในเรือนก็ว่างเป็นอย่างมาก ถูกกักบริเวณไว้ที่นี่ ถึงไม่อยากอยู่ว่างก็คงเป็นไปไม่ได้ ในใจมีแต่ความกังวล

เสียงอึกทึกจากการที่ผู้บำเพ็ญเพียรในเรือนมารวมตัวกันแล้วเหินทะยานออกไปยังคงดึงดูดความสนใจของทางนี้ องครักษ์ที่เฝ้าสังเกตการณ์อยู่บนหอสูงได้มารายงานสถานการณ์

พวกซางเฉาจงมารวมตัวกัน ข้อมูลที่ทราบเกี่ยวกับสถานการณ์ทางด้านนอกมีจำกัด จึงไม่อาจทำการวิเคราะห์อันใดออกมาได้ แต่จากการที่ผู้บำเพ็ญเพียรมารวมตัวกันแล้วมุ่งหน้าออกไปโดยไม่สนใจว่าจะสร้างความแตกตื่นให้คนธรรมดา เช่นนี้สามารถมั่นใจได้ว่าน่าจะเกิดเรื่องใหญ่อันใดขึ้นแล้ว

ซางซูชิงเดินเข้ามาแจ้งต่อทุกคนว่า “เสด็จพี่ เมื่อครู่เผิงอวี้หลานส่งพ่อบ้านโซ่วเหนียนมาเชิญพี่สะใภ้ไปหาเพคะ”

ซางเฉาจงแค่นเสียงเย็นชา “เดิมทีนางก็เป็นคนตระกูลเฟิ่งอยู่แล้ว มีอะไรน่าแปลกใจกัน”

หลานรั่วถิงค่อนข้างเหนื่อยใจ เหมิงซานหมิงที่นั่งอยู่บนรถเข็นถอนหายใจ “ท่านอ๋อง พระชายาไม่ใช่คนเลวร้ายเลย เพียงแค่มีนิสัยเหมือนบุรุษนิดหน่อยเท่านั้น ถึงแม้การกระทำในช่วงปีแรกๆ จะทำให้ท่านอ๋องขุ่นเคือง แต่นางก็ค่อยเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อท่านอ๋องแล้ว อาศัยเพียงจุดนี้ก็สามารถพิสูจน์ถึงจิตใจของพระชายาได้แล้ว ท่านอ๋อง มีหลายเรื่องที่พระชายาเองก็จนปัญญาจะจัดการได้เช่นกัน ไม่มีผู้ใดลำบากใจไปกว่านางแล้ว พระองค์เห็นใจนางบ้างเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”

เหมิงซานหมิงเอ่ยออกไป นับว่าเป็นการอบรมในฐานะลุง ซานเฉาจงเม้มปากไม่เอ่ยอันใดอีก

แต่ในใจเขากลับรู้สึกหน่ายแหนงจริงๆ ปีนั้นช่วงที่เขารับอำนาจปกครองจังหวัดกว่างอี้มา เฟิ่งรั่วหนานมาทะเลาะโวยวายใส่เขา ถึงขั้นที่ลงไม้ลงมือกับเขาด้วย ตอนนี้พอตระกูลเฟิ่งไม่ประสงค์ดีต่อเขา เฟิ่งรั่วหนานกลับไม่ปริปากสักคำ

……

ห่างจากทางนี้ไปไม่กี่ช่วงถนน ภายในบ้านเรือนธรรมดาที่มีประตูหน้าต่างบานเล็กๆ หลังหนึ่ง หยวนกังปีนขึ้นไปบนกำแพง เฝ้ามองผู้บำเพ็ญเพียรกลุ่มหนึ่งมุ่งหน้าไปทางประตูเมืองทิศใต้

ใบหน้าสีแดงถูกพอกให้กลายเป็นสีทองแดง หากไม่แปลงโฉมเสียหน่อย มันก็ออกจะสะดุดตาเกินไปจริงๆ

ประตูสวนเปิดออก หยวนเฟิงที่ผ่านการแปลงโฉมแล้วแบกคานหาบเข้ามา หยวนกังหันไปมองเล็กน้อย จากนั้นกระโดดลงมาจากกำแพง เดินกลับเข้ามาในสวน

พอปิดประตูและวางคานหาบลงแล้ว หยวนเฟิงก็รีบเดินเข้ามาหา เอ่ยถามว่า “ลูกพี่ เมื่อครู่ผู้บำเพ็ญเพียรกลุ่มนั้นแห่กันออกไป เสียงดังอึกอึกไม่น้อยเชียว ท่านเห็นหรือเปล่าขอรับ?”

หยวนกังพยักหน้าเล็กน้อย เดินเข้าไปในบ้าน “คำนวณจากเวลาแล้ว น่าจะถูกการมาถึงของคนจากสามสำนักดึงดูดความสนใจไปแล้ว”

เมื่อเข้ามาในบ้านแล้ว หยวนกังก็หยิบแผนที่ฉบับหนึ่งที่อยู่ในเสาไม้ไผ่ที่ตั้งอยู่ข้างผนังออกมากาง เป็นแผนที่เขตที่อยู่อาศัยภายในเมืองซั่งผิงอย่างละเอียด เขากางแผนที่ลงบนโต๊ะ จ้องมองแผนที่พลางเอ่ยถาม “คนของลูกน้องเฟิ่งหลิงปอมีความเคลื่อนไหวหรือไม่?”

หยวนเฟิงตอบว่า “ตอนนี้ยังไม่เห็นความเคลื่อนไหวใดๆ ขอรับ ลูกพี่ เฟิ่งหลิงปอจะลงมือกับท่านอ๋องจริงหรือขอรับ?”

หยวนกังตอบว่า “ไม่รู้! แต่เต้าเหยี่ยวิเคราะห์ไว้ชัดเจนแล้ว ตอนนี้สำนักหยกสวรรค์ไม่กล้าปล่อยให้เกิดเรื่องกับท่านอ๋องแน่ ที่จำเป็นต้องระวังไว้จริงๆ ก็คือเฟิ่งหลิงปอที่กลายเป็นสุนัขจนตรอกไปแล้ว”

หยวนเฟิงถาม “มีสำนักหยกสวรรค์อยู่ เฟิ่งหลิงปอจะมีโอกาสลงมือหรือขอรับ?”

หยวนกังกล่าวว่า “ไม่ว่าจะมีโอกาสหรือไม่ การจับตามองลูกน้องเขาไว้ก็ไม่เสียหายอะไร ตัวซางเฉาจงเองก็เป็นแม่ทัพที่กล้าบุกตะลุยฝ่าทัพ มีฝีมือไม่เลว องครักษ์ในสังกัดเหล่านั้นก็ล้วนเป็นยอดฝีมือทั้งสิ้น ในสถานการณ์ที่ไม่มีสำนักหยกสวรรค์เข้ามาร่วมด้วย ต่อให้มีคนนับพันก็ยังไม่แน่ว่าจะทำให้พวกเขาจนตรอกได้ง่ายๆ ดังนั้นหากเฟิ่งหลิงปอไม่ลงมือก็แล้วไป แต่หากลงมือคงไม่ใช้คนจำนวนน้อยๆ แน่ ให้พรรคพวกของเราคอยจับตามองลูกน้องเขาไว้ หากมีความผิดปกติใดๆ ให้มารายงานทันที”

“เข้าใจแล้วขอรับ!” หยวนเฟิงตอบรับ แต่กลับเอ่ยถามไปอย่างค่อนข้างลังเลอีกว่า “ลูกพี่ พวกเรามากันแค่ร้อยคน ส่วนลูกน้องของเฟิ่งหลิงปอ เอาแค่ที่ประจำการอยู่ในเมืองนี้ก็เป็นกองทัพใหญ่แล้ว หากพวกเราปะทะกับพวกเขาแล้วถูกล้อมโจมตี พวกเราจะไม่มีโอกาสรอดเลยนะขอรับ!”

หยวนกังเงยหน้ามอง “เจ้ากลัวหรือ?”

หยวนเฟิงยิ้มเจื่อน “มิใช่ว่ากลัว แต่มันก็เสี่ยงเกินไปจริงๆ ต่อให้พวกเราลงมือ มันก็ไม่มีทางช่วยท่านอ๋องออกมาได้เลยนะขอรับ”

หยวนกังกล่าวว่า “แล้วข้าเคยบอกหรือว่าจะให้พวกเจ้าไปสู้กับพวกเขา? เจ้าคิดมากไปแล้ว รอดูสถานการณ์ไปก่อนค่อยว่ากัน ข้าไม่มีทางปล่อยให้พวกพี่น้องลงมือทำเรื่องที่รู้ดีว่าเป็นไปไม่ได้หรอก”

….

“ปิดประตูเมือง!”

บนประตูเมืองทิศใต้ แม่ทัพรักษาการณ์ตะโกนเสียงดัง ประชาชนที่เดินเข้าออกอยู่ด้านล่างถูกกันออกไปทันที ทหารที่เฝ้าอยู่นอกเมืองถอยกลับเข้าเมืองในทันใด ประตูเมืองบานใหญ่ถูกคนหลายสิบคนผลักจนปิดเข้าหากันดัง ‘ตึง’

เฉินถิงซิ่วที่นั่งอยู่ในปราการเดินออกมา ยืนยกมือไพล่หลังอยู่บนกำแพงเมือง เหล่าศิษย์สำนักหยกสวรรค์กลุ่มหนึ่งปรากฏตัวตามออกมา

ทุกคนทอดสายตามองออกไปไกลๆ มองเห็นบนถนนหลวงด้านหน้ามีฝุ่นดินฟุ้งตลบ ขบวนม้าหลายร้อยตัวควบเข้ามา เสียงฝีเท้าม้าค่อยๆ ชัดเจนขึ้น

ทหารบนกำแพงเมืองเข้าสู่สภาวะเฝ้าระวังภัยขั้นสูงสุด หน้าไม้สำหรับป้องกันเมืองถูกขึ้นสายอย่างต่อเนื่อง จ่อเล็งไปทางนอกเมือง

…………………………………………………………..