ตอนที่ 386 ความคิดมากมาย

สตรีแกร่งตระกูลไป๋

ตอนที่ 386 ความคิดมากมาย

เรื่องเร่งด่วน ไม่อาจรีรอได้ เซียวหรงเหยี่ยนเผากระดาษในมือทิ้ง ลุกขึ้นยืนพลางสั่งให้คนไปตามหวังจิ่วโจวมา

ดวงตาล้ำลึกของชายหนุ่มเคร่งเครียด เปลี่ยนเครื่องแต่งกายพลางเอ่ยสั่งงาน

“ให้คนเตรียมม้าให้พร้อม จัดกำลังคนส่วนหนึ่งติดตามข้าไปยังต้าเว่ยทันที ให้จางเหยียนอยู่ที่นี่ คืนพักผ่อนให้เพียงพอ หลังจากนี้ให้เขาช่วยเจ้าดูแลเรื่องเหมืองเหล็กร่วมกับตระกูลไป๋ เมื่อเจ้าจัดการเรื่องทางนี้เรียบร้อย รีบตามข้าไปยังต้าเว่ยทันที!”

หวังจิ่วโจวรีบรับคำ หยิบเสื้อคลุมสวมให้เซียวหรงเหยี่ยน

“นายท่าน ระวังตัวด้วยนะขอรับ”

นี่เป็นครั้งแรกที่เซียวหรงเหยี่ยนเดินทางไปยังต้าเว่ยโดยไม่มีหวังจิ่วโจวติดตามไปด้วย เขาอดรู้สึกเป็นห่วงไม่ได้ ทว่า เขารู้ดีว่าการสร้างเหมืองต้องมีคนที่ไว้ใจได้คอยรับผิดชอบดูแล เขาต้องอยู่จัดการเรื่องทางนี้แทนเจ้านาย

เซียวหรงเหยี่ยนสวมเสื้อคลุมเสร็จจึงหันไปทางหวังจิ่วโจว เม้มปากเล็กน้อยพลางกล่าวขึ้น

“หากคุณหนูใหญ่ไป๋ถามถึงให้บอกว่าข้ามีเรื่องด่วนต้องไปจัดการที่ต้าเว่ย”

หวังจิ่วโจวพยักหน้ารับคำ “ข้าเข้าใจแล้วขอรับ นายท่านวางใจได้ขอรับ”

ไป๋ชิงเหยียนนอนไม่หลับ ความคิดมากมายผุดขึ้นมาในสมอง

การสร้างเหมืองในครั้งนี้ หากต้องการสร้างอย่างเป็นความลับไม่ให้ผู้อื่นล่วงรู้ต้องใส่ใจกับมันอย่างมาก ทว่า หญิงสาวต้องการสร้างอาวุธขึ้นมาเองอยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องที่สิ้นเปลืองแรงกายแรงใจเท่าใดนัก

เพียงแต่ว่านางจะมอบหมายให้ผู้ใดเป็นคนจัดการเรื่องนี้ดี

นางเชื่อใจเสิ่นชิงจู๋ ทว่า เสิ่นชิงจู๋อายุยังน้อย บารมียังไม่มากพอ และไม่ใช่คนที่เชี่ยวชาญด้านนี้ เมื่อมารดาและท่านอาสะใภ้ของนางมาถึงซั่วหยาง ลุงผิงคงไม่อาจปลีกตัวออกห่างจวนบรรพบุรุษได้ ส่วนคนในตระกูลบรรพบุรุษ…นางกล้าบอกพวกเขาเพียงแค่เรื่องการฝึกซ้อมทหารที่ทุกคนล้วนรับรู้กันดีอยู่แล้ว เรื่องที่ลึกไปกว่านั้น นางไม่อาจไว้ใจพวกเขาได้

ครอบครัวทุกรุ่นของพ่อบ้านเหาล้วนเป็นพ่อบ้านของตระกูลไป๋ เพียงแค่ยืนอยู่นิ่งๆ ก็รู้แล้วว่าเป็นคนของตระกูลไป๋ เขาไม่เหมาะสม

เว่ยจงเป็นคนมีความสามารถ ทว่า ไป๋ชิงเหยียนไม่กล้าไว้ใจเรียกใช้เขา

บัดนี้ผู้ที่พอใช้งานได้มีเพียงบ่าวรับใช้ผู้ซื่อสัตย์หลิววั่งอัน ทว่า ลุงหลิวอายุมากแล้ว…

พอถึงเวลาจะเรียกใช้งานจริงกลับไม่มีคนพอจะใช้งานได้เลย นี่เป็นสาเหตุที่ไป๋ชิงเหยียนสั่งให้ลุงผิงเริ่มอบรมคนกลุ่มใหม่เอาไว้ใช้งานหลังจากกลับมาอยู่ซั่วหยาง

ขนาดนางอยู่ในตระกูลไป๋ยังขาดคนใช้งาน ไม่รู้ว่าจิ่นถงและอาเจวี๋ยจะเป็นเช่นไรบ้าง

ให้ลุงหลิวรับผิดชอบดูแลเรื่องนี้ไปก่อนก็แล้วกัน วันหน้าค่อยหาคนที่เหมาะสมไปรับช่วงต่อ

เมื่อจัดการเรื่องใหญ่ได้แล้ว ไป๋ชิงเหยียนพลิกกายนอนตะแคง หลับตาลง ฟังเสียงฝนจากหน้าต่าง จู่ๆ สมองก็ปรากฏใบหน้าคมคายสมบูรณ์แบบของเซียวหรงเหยี่ยนขึ้น ใจของหญิงสาวเต้นรัวอย่างรุนแรงเหมือนตอนที่ริมฝีปากสัมผัสกัน

ชุนเถาซึ่งเฝ้ายามกลางคืนได้ยินเสียงไป๋ชิงเหยียนพลิกกายไปมาจึงเอ่ยถามเสียงเบาหวิว

“คุณหนูใหญ่ไม่คุ้นเตียงหรือเจ้าคะ”

“เพลาใดแล้ว” ไป๋ชิงเหยียนเอ่ยถาม น้ำเสียงแหบพร่าเล็กน้อย

“เรียนคุณหนูใหญ่ เพิ่งยามอิ๋น[1]เจ้าค่ะ” ชุนเถาเอ่ยตอบพลางเอ่ยถามเสียงเบา

“บ่าวรินชาร้อนให้คุณหนูสักแก้วดีหรือไม่เจ้าคะ”

ไป๋ชิงเหยียนนอนไม่หลับจึงลุกขึ้น

ชุนเถาได้ยินความเคลื่อนไหวจึงแหวกม่านออกช้าๆ เมื่อเห็นไป๋ชิงเหยียนลุกขึ้นนั่ง นางจึงรีบเข้าไปผูกมุ้งทั้งสองด้านของเตียงเข้ากับเสา

เรือนปัวอวิ๋นใหญ่โตและกว้างขวาง ไป๋ชิงเหยียนสั่งให้ทำห้องทางฝั่งตะวันตกเป็นห้องสำหรับฝึกฝนร่างกาย

ชุนเถายกชาร้อนเข้ามา ช่วยไป๋ชิงเหยียนผูกถุงทรายกับร่างกาย ยืนดูหญิงสาวฝึกซ้อมหอกเงินหงอิงอยู่ด้านข้างด้วยความสงสาร รู้สึกเห็นใจคุณหนูใหญ่ของตนที่ต้องฝืนฝึกฝนร่างกายของตัวเองเพื่อตระกูลไป๋เช่นนี้

ท้องฟ้าเริ่มสว่างขึ้น ไป๋ชิงเหยียนฝึกฝนจนร่างท่วมไปด้วยเหงื่อ หญิงสาววางหอกเงินไว้ด้านข้าง วันนี้นางออกแรงเต็มกำลัง ฝึกจนร่างสั่นเทา ปวดเมื่อยไปทั้งตัว หญิงสาวปลดถุงทรายออกด้วยมือที่สั่นเทา กล่าวกับชุนเถา “น้ำหนักไม่พอ เพิ่มอีก!”

ถุงทรายที่ผูกอยู่กับร่างของหญิงสาวชุ่มไปด้วยเหงื่อ ชุนเถาลังเลอยากเอ่ยสิ่งใดออกมา ดวงตาแดงก่ำ นางคนเดียวยังถือถุงทรายไม่ไหว คุณหนูใหญ่ยังจะเพิ่มน้ำหนักอีกหรือ!

“บ่าวสั่งให้คนไปเตรียมน้ำร้อนแล้วเจ้าค่ะ คุณหนูใหญ่อาบน้ำเปลี่ยนเครื่องแต่งกาย รับประทานอาหารเช้าแล้วพักผ่อนสักครู่เถิดนะเจ้าคะ บ่ายนี้เราจะเดินทางกลับเมืองหลวงแล้วไม่ใช่หรือเจ้าคะ”

ชุนเถาเอ่ยเสียงอ่อนโยน

“เดี๋ยวข้าค่อยหลับบนรถม้าก็ได้”

ฝนซึ่งตกตลอดคืนหยุดลงแล้ว ใบไม้ร่วงกราวเต็มพื้นกระเบื้อง หยาดน้ำยังหยดลงมาจากต้นไม้ทีละหยดราวกับน้ำค้าง

ขบวนรถม้าของตระกูลไป๋และบรรดาองครักษ์ของจวนรัชทายาทเตรียมพร้อมรออยู่หน้าจวนบรรพบุรุษไป๋ รอเพียงไป๋ชิงเหยียนก้าวขึ้นไปบนรถม้าคันหรู ขบวนถึงจะเริ่มออกเดินทางไปนอกเมืองซั่วหยางอย่างเอิกเกริก

ตอนที่ไป๋ชิงเหยียนเดินทางมายังเมืองซั่วหยาง เจ้าเมืองและนายอำเภอโจวออกไปรอต้อนรับที่นอกเมือง เมื่อไป๋ชิงเหยียนจะเดินทางกลับทั้งสองคนต่างก็ออกไปส่งที่นอกเมืองพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย

นายอำเภอโจวรู้สึกว่าข่าวสารของเจ้าเมืองดูรวดเร็วไปเสียหน่อย มาถึงก่อนเขาเสียอีก เขารีบเดินเข้าไปในกระโจมที่มีผ้าใบกางคลุมฝนซึ่งสร้างขึ้นเป็นการชั่วคราวด้วยรอยยิ้ม ทำความเคารพ

“ฝนเพิ่งหยุดตก นอกเมืองเต็มไปด้วยดินโคลน ใต้เท้าก็มาด้วยอย่างนั้นหรือขอรับ อีกไม่นานจวิ้นจู่ก็จะย้ายกลับมาอยู่ซั่วหยางแล้ว ใต้เท้าไม่ต้องลำบากมาส่งก็ได้นะขอรับ”

เจ้าเมืองนั่งจิบน้ำชาอยู่ในกระโจมอย่างสงบ

“นายอำเภอโจวมีคดีความมากมายต้องตัดสิน อีกทั้งยังต้องเขียนฎีกาถวายให้เบื้องบนยังมีเวลาว่างมาส่งได้เลย”

ใบหน้าของนายอำเภอโจวเต็มไปด้วยความกระอักกระอวน ทว่า เขาไม่คิดปิดบังเจ้าเมือง กล่าวเพียง

“ไม่ปิดบังใต้เท้า ข้าแค่อยากขอร้องให้จวิ้นจู่และเฉวียนอวี๋กงกงขันทีข้างกายขององค์รัชทายาทช่วยขอร้ององค์รัชทายาทแทนข้าสักหน่อย ข้าจึงเตรียมของกำนัลเล็กน้อยมาด้วยขอรับ”

เจ้าเมืองส่ายหน้าพลางวางถ้วยชาลง “ข้าขอเตือนท่านว่าอย่านำของกำนัลไปให้เลย ขอเพียงทำงานที่จวิ้นจู่มอบหมายให้สำเร็จลุล่วง หนทางข้างหน้าของเจ้ากว้างไกลแน่”

แม้เจ้าเมืองจะไม่ได้บอกเหตุผล ทว่า นายอำเภอโจวรู้ว่าเจ้านายของเขาคนนี้แม้จะขี้ประจบเหมือนกัน ทว่า เขาไม่เคยรังแกหรือสร้างความยุ่งยากให้ลูกน้อง เขาเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ทว่า สุดท้ายก็ไม่ได้มอบของกำนัลออกไป

เมื่อเห็นขบวนค่อยเคลื่อนตัวออกมาจากเมืองหลวงโดยมีเสิ่นชิงจู๋ขี่ม้านำอยู่ด้านหน้าสุดของขบวน เจ้าเมืองและนายอำเภอโจวลุกขึ้นยืนแล้วมองไปยังประตูเมือง

เมื่อไป๋จิ่นจื้อเห็นคนทั้งสองจึงขี่ม้าเข้าไปหา ส่งสัญญาณให้ขบวนหยุดลง ทั้งสองคนรีบถลาเข้าไปยังรถม้าของไป๋ชิงเหยียนเพื่อทำความเคารพ “น้อมส่งจวิ้นจู่ เซี่ยนจู่ขอรับ”

นิ้วเรียวยาวของไป๋ชิงเหยียนแหวกม่านรถม้าออก มองไปยังเจ้าเมืองและนายอำเภอโจว “นายอำเภอโจว ข้าฝากคดีของคนในตระกูลบรรพบุรุษด้วย”

“จวิ้นจู่เกรงใจแล้วขอรับ เป็นหน้าที่ของข้าอยู่แล้วขอรับ ก่อนหน้านี้ข้าถูกบังคับจึงไม่อาจทวงความยุติธรรมให้ชาวบ้านได้ ข้ารู้สึกละอายใจยิ่งนักขอรับ!”

นายอำเภอโจวรีบกล่าวด้วยเสียงสะอื้นราวกับกำลังรู้สึกผิดเสียเต็มประดา

“ทำผิดแล้วรู้จักแก้ไขถือเป็นเรื่องดี” ไป๋ชิงเหยียนกล่าวออกมานิ่งๆ จากนั้นหันไปมองทางเจ้าเมือง

“ท่านเจ้าเมืองดูว่างเสียจริงนะเจ้าคะ”

เจ้าเมืองมีท่าทีนอบน้อม “ไม่ได้ว่างหรอกขอรับ ข้าแค่หวังว่าจะช่วยแบ่งเบาภาระของจวิ้นจู่ได้บ้างขอรับ”

ไป๋ชิงเหยียนพิจารณาดูเจ้าเมืองที่ดูนอบน้อมเป็นอย่างมาก กล่าวยิ้มๆ “วันหน้าต้องอาศัยอยู่ซั่วหยางอีกนาน มีเรื่องรบกวนท่านเจ้าเมืองแน่”

กล่าวจบ ไป๋ชิงเหยียนลดม่านลง

รถม้าค่อยๆ เคลื่อนขบวนจากไปอย่างเอิกเกริก

เจ้าเมืองและนายอำเภอโจวโค้งกายส่งไป๋ชิงเหยียนและไป๋จิ่นจื้อจากไปอย่างนอบน้อม เมื่อเห็นรถม้าของเฉวียนอวี๋กงกงผ่านหน้า นายอำเภอโจวโค้งกายสุดตัวพลางตะโกนออกมาเสียงดัง

“น้อมส่งเฉวียนอวี๋กงกง!”

เจ้าเมืองเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย มองไปทางนายอำเภอโจวที่โค้งกายส่งขบวนรถม้าของไป๋ชิงเหยียนโดยไม่ยอมหยัดกายขึ้นหากรถม้ายังเคลื่อนไปไม่หมดด้วยแววตานิ่งๆ จากนั้นหมุนตัวเดินจากไปทันที

วันที่ยี่สิบหก เดือนสี่ หลูผิงคุ้มกันขนย้ายข้าวของของตระกูลไป๋กลับไปยังซั่วหยางเป็นครั้งที่สองอย่างเอิกเกริก

[1] ยามอิ๋น เวลาระหว่าง 03.00-05.00 นาฬิกา