War sovereign Soaring The Heavens – ตอนที่ 1770
ตอนที่ 1,770 : หอคอย ลิ่วเหอ!

แทบจะพร้อมกันกับที่สายตาต้วนหลิงเทียนเบนไปตกยังหอคอย 6 ชั้น สัตว์ร้ายที่ปิดล้อมเขาไว้ 3 ทิศ ก็คล้ายถูกฉีดเลือดไก่กลายเป็นคึกคัก โจนทะยานเข้าใส่ต้วนหลิงเทียนอย่างเกรี้ยวกราด!

วูฟ! วูฟ! วูฟ!

เสียงแหวกอากาศฉับไว พริบตา 3 ร่างก็เจียนบรรลุถึงตัวต้วนหลิงเทียน!

ชั่วจังหวะนี้เองต้วนหลิงเทียนพลันพบว่า สัตว์ร้ายทั้ง 3 ที่คล้ายจะแยกกันลงมือต่างทิศ แต่กลิ่นอายพลังของพวกมันกลับเสมือนเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน ทำให้ผู้คนรู้สึกเสมือนกับกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูตัวเดียว!

ความรู้สึกดังกล่าวเสมือนพวกมันทั้ง 3 ร่างคือคนๆเดียวๆกัน นับเป็นการผสานพลังเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์

เผชิญหน้ากับการลงมือผนึกกำลังของสัตว์ร้ายทั้ง 3 ตัวนี่! ต้วนหลิงเทียนรู้สึกเสมือนกับกำลังเผชิญหน้ากับการลงมือของสัตว์ร้ายขอบเขตพลังเซียนขัดเกลาขั้นแรกก็ไม่ปาน!

ต้องทราบด้วยว่าพวกมันเดิมที พวกมันเป็นเพียงเซียนดั้งเดิมขั้นสูงุสดเท่านั้น!

“นับเป็นการผนึกกำลังกันลงมือได้ลงตัวดีจริงๆ…”

ต้วนหลิงเทียนรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง หากแต่ก็ไม่ได้หวั่นวิตกอะไร เพียงสืบเท้าย่ำออกไปในอากาศเบาๆคราหนึ่ง ร่างก็วูบไหวเรียบง่ายดั่งเมฆเคลื่อน พลิ้วหลบการโจมตีของพวกมันทั้ง 3 ได้อย่างง่ายดาย

ถึงแม้สัตว์ร้ายทั้ง 3 จะผนึกกำลังกันกลุ้มรุม แต่ก็มีพลังอำนาจทัดเทียมเซียนขัดเกลาขั้นต้นเท่านั้น นับว่าไม่ใช่ภัยคุกคามอะไรสำหรับต้วนหลิงเทียนแม้แต่น้อย สุดท้ายแล้วตอนนี้ต่อให้เจอสัตว์ร้ายอริยะเซียนขั้นต้นเขาก็ยังรับมือได้!

ตอนแรกต้วนหลิงเทียนก็คิดดูว่าสัตว์ร้ายทั้ง 3 ใช้กเคล็ดวิชาอะไรกันแน่ถึงผสานพลังกันได้หมดจด ทว่าไม่นานเขาก็พบว่าพวกมันเหมือนกับจะเชื่อมโยงกันด้วยจิตวิญญาณ ยากที่จะโขมยช่วงชิงเคล็ดพลังอะไรได้

“ข้าไม่เล่นกับพวกเจ้าแล้ว…”

กล่าวคำแผ่วเบาราวกระซิบออกคำหนึ่ง ปราณสุริยันแรกกำเนิดพลันปะทุออกจากร่าง ก่อเกิดเป็นกระบี่พลังสีทองมีสภาพพุ่งออกไปจากร่างเขาเล่มแล้วเล่มเล่า!

ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง!

……

ดั่งพิรุณกระบี่พร่างพรมรดฟ้า สัตว์ร้ายทั้ง 3 ต่างถูกกระบี่พลังมีสภาพสีทองพุ่งทะลวงเสียบจนปุพรุนในชั่วพริบตา!

และสัตว์ร้ายทั้ง 3 ก็ไม่ได้หลั่งโลหิตอะไรแม้แต่น้อยแม้ร่างของมันจะถูกกระบี่พลังทะลวงจนปุพรุน ทว่ากลับอันตรธานหายไปในอากาศ ราวกับไม่เคยปรากฏตัวออกมาก่อน…

และทันทีที่ต้วนหลิงเทียนฆ่าสัตว์ร้ายทั้ง 3 ไป หอคอย 6 ชั้นเบื้องหน้า ก็คล้ายจะสั่นไหวไปเบาๆ…

หลังจากนั้นประตูบานเดียวที่ชั้นล่างสุดของหอคอยก็ค่อยๆเลื่อนเปิดออก เสียงแผ่นหินครูดดังให้ความรู้สึกหนักอึ้งพิกล

‘ไหนเข้าไปดูซิว่ามันมีอะไร…’

เพียงคิดร่างต้วนหลิงเทียนก็วูบเข้าหอคอยไปปานเส้นสายอัสนี

กล่าวให้ชัดวูบเข้าไปในชั้นแรกของหอคอย

หลังจากที่เข้ามาแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ไม่คิดผลีผลามบุ่มบ่าม เลือกจะหยุดลงด้านหลังประตู มองสำรวจไปเบื้องหน้า ก็แลเห็นเพียงความว่างเปล่า…ห่างออกไปมีบันไดนำไปสู่ชั้น 2

แน่นอนที่กล่าวบอกว่าชั้นแรกนี้มันว่างเปล่า และมีแต่บันไดแต่มันก็ไม่ได้มีแค่นั้นจริงๆ ยังมีรูปปั้นตั้งอยู่อีก 2 รูป

ทังยังเป็นรูปปั้น 2 รูปที่ดูเหมือนกำลังยืนเผชิญหน้ากันอย่างไม่ลงรอย

“หืม! รูปปั้น 2 รูปนี้มัน…”

เมื่อต้วนหลิงเทียนทอดตามองไปยังรูปปั้นทั้ง 2 อย่างละเอียด เขาก็อดรู้สึกแปลกใจไม่ได้

เพราะรูปปั้นทั้ง 2 รูปที่ว่า ร่างกายของพวกมันแลดูกำยำเหมือนบุรุษเข้มแข็ง แต่ศีรษะของพวกมันทั้งคู่ กลับเป็น หนู กับม้า!

ต้วนหลิงเทียนพยายามสำรวจรูปปั้นทั้ง 2 อยู่พักหนึ่ง แต่สุดท้ายเขาก็พบว่าไม่มีอะไรผิดแปลก เลยคร้านจะสนใจอะไรพวกมันอีก เดินไปยังบันไดขึ้นชั้น 2 ทันที

และในขณะที่ต้วนหลิงเทียนก้าวเดินไปยังบันไดขึ้นชั้น 2 นั้นเอง พลันบังเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นอีกครั้ง!

ครึ่ก! ครึ่ก! ครึ่ก!

……

พื้นเริ่มสั่นไหวปานเขาถล่ม ต้วนหลิงเทียนรู้สึกร่างยังส่ายไปส่ายมาพร้อมหอคอย

หลังจากนั้น เขาก็สัมผัสได้ว่ามีเสียงแหวกฝ่าอากาศฉับไวดังขึ้น 2 สำเนียงด้านหลังเขา!

หนึ่งในนั้นฟังดูลับๆล่อๆ

ส่วนอีกหนึ่งกลับแหวกฝ่ามาฉับไว!

ฟุ่บ!

ร่างต้วนหลิงเทียนวูบหายไปจากจุดเดิมทันใด ก่อนที่จะไปปรากฏตัวอีกครั้งไกลห่าง

และหลังจากที่วูบร่างออกมาแล้ว เขาก็หันกลับไปดูเรื่องราวทันที จนได้เห็นว่าที่แท้เป็นรูปปั้นคนที่มีหัวเป็นหนูกับม้านั่นคล้ายจะมีชีวิตขึ้นมา! และตอนนี้พวกมันไม่ได้อยู่ที่เดิมในตอนแรก แต่กลับมาหยุดอยู่ตรงจุดเดิมของเขาเมื่อครู่!

หลังจากที่รูปปั้นคนหัวหนูกับม้าลงมือครั้งแรกล้มเหลว พวกมันก็หันมามองเขาและเริ่มลงมือสืบต่อ!

การลงมือของรูปปั้นคนหัวหนูแลดูลับๆล่อๆ

ส่วนการลงมือของรูปปั้นคนหัวม้ากลับลงมือตรงๆ เน้นความฉับไว

ตามลักษณะเด่นของพวกมันอย่าง หนู กับ ม้า ไม่มีผิด…

“จะยังไงก็ช่าง…พวกมันจะไม่อ่อนแอไปหน่อยรึไง?”

ภายใต้ม่านตาพิสดาร ความเร็วในการเคลื่อนไหวของรูปปั้นทั้งสองรูปมันช่างเชื่องช้าจนน่าสมเพช จากการประเมินคร่าวๆของต้วนหลิงเทียน พวกมันสมควรทัดเทียมได้กับเซียนดั้งเดิมขั้นต้นเท่านั้น!

ยังอ่อนแอยิ่งกว่าสัตว์ร้าย 3 ตัวที่เขาเจอนอกหอคอยซะอีก!!

ชิ้ง! ชิ้ง!

เพียงใจคิด ปรากฏกระบี่พลังมีสภาพสีทองที่เรืองรองดั่งดวงตะวันขึ้นมาในอากาศว่างเปล่า 2 เล่ม และเพียงชั่วพริบตากระบี่พลังก็พุ่งออกไปทะลวงร่างรูปปั้นทั้ง 2 ซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยความเร็วสูง!

ไม่ถึงอึดใจรูปปั้นที่ถูกกระบี่พลังแยกกันพุ่งทะลวงทำลาย ก็ถล่มลงกลายเป็นขยะ 2 กอง

“ไหงมันอ่อนแอนักล่ะ…”

ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมาก่อนที่จะก้าวเดินไปยังบันไดนำขึ้นชั้น 2 …และด้วยมีบทเรียนก่อนหน้า ทำให้เขาค่อนข้างระวังตัวขึ้นไม่น้อย

อย่างไรก็ตามครู่ต่อมาเขาก็พบว่าเขาระวังตัวเกินไป

ระหว่างเดินมายังบันไดคราวนี้เขาไม่เจอการลอบโจมตีอะไรอีกเลย

และเป็นเหมือนเดิมไม่มีผิด บนชั้น 2 ก็เป็นพื้นที่โล่งๆมีเพียงรูปปั้น 2 รูป และบันไดนำขึ้นชั้น 3

รูปปั้น 2 รูปที่ว่าก็อยู่ในท่าเผชิญหน้ากันเหมือนกับรูปปั้น 2 รูปในชั้นแรก

“หืม…หัววัว? หัวแพะ?”

ไม่นานต้วนหลิงเทียนก็พบว่าหัวของรูปปั้นทั้ง 2 นั้นเป็น วัวกับแพะตามลำดับ “พวกมันอยู่ในท่าเผชิญหน้ากันเหมือนชั้นแรก และชั้นแรกเป็น หนู กับ ม้า…ท่าทางของพวกมันทำเหมือนจะเป็นศัตรูกัน…”

“ส่วนคราวนี้เป็น วัว กับ แพะ..”

ในขณะที่พึมพำกล่าว ไม่นานสองตาต้วนหลิงเทียนก็สว่างขึ้น “หรือจะเป็น ลิ่วเหอ?”

(ลิ่วเหอที่ว่าคือ ลักฮะ)

ต้วนหลิงเทียนยังจำได้ว่าในชีวิตที่แล้วประเทศทางตะวันออกที่เขาอยู่ ตอนสมัยโบราณมักจะกล่าวกันถึงเรื่อง อภิปรัชญาอะไรเสมอ

ลิ่วเหอ เองก็เป็นหนึ่งในอภิปรัชญาดังกล่าว ที่พูดถึงเรื่องราศี ปีนักษัตร…

ราศีทั้งปีนักษัตรอะไรที่ว่า มีทั้งสิ้น 12 ราศี….

“งั้นชั้นแรกที่เป็นคนหัวหนูกับม้าก็คือ..ชวดกับมะเมีย ส่วนชั้นที่สอง วัว กับแพะนี่ก็คือฉลูกับมะแม ต่างเป็นอริและไม่ถูกกันทั้งสิ้น…หากข้าเดาไม่ผิดชั้นที่ 3 สมควรเป็นเสือกับลิง…ชั้นที่ 4 กระต่ายกับไก่ ชั้น 5 มังกรกับสุนัข และชั้นที่ 6 สมควรเป็น งู กับหมู!”

ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนพอจะเข้าใจแล้วว่าหอคอย 6 ชั้นนี่มันสื่อถึงอะไร

“ดูเหมือนว่าหอคอยนี่จะใช้หลัก ลิ่วเหอ…ในแง่ของการ ชง งั้นสินะ”

(ชงก็คือไม่ถูกกัน …เวลาไปดูดวงมันจะมี ดวงสมพงษ์กับดวงชงอะ ปีไหนถูกกับปีไหน ปีไหนไม่ถูกกันประมาณนั้น…ที่ได้ยินกันบ่อยๆก็ปีชง…หมายถึงถ้าเกิดราศีนี้ ปีนี้จะซวยอะไรเทือกนั้น)

ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกมาเบาๆ

หลังจากรู้สึกตัวต้วนหลิงเทียนก็ก้าวอาดๆมุ่งหน้าไปยังบันไดขึ้นชั้น 3 ทันที แน่นอนว่ารูปปั้นที่นิ่งอยู่ในชั้นที่ 2 ก็มีชีวิตขึ้นมาและเล่นงานเขาตามระเบียบ!

หากเปรียบเทียบกับรูปปั้นในชั้นแรก รูปปั้นในชั้นที่ 2 มีพลังแข็งแกร่งกว่าขีดขั้นหนึ่ง พวกมันล้วนมีพลังอยู่ในขอบเขตเซียนดั้งเดิมขั้นกลาง!

อย่างไรก็ตามต่อหน้าต้วนหลิงเทียนขอบเขตพลังเซียนดั้งเดิมไม่ว่าจะขีดขั้นใดล้วนไม่มีความแตกต่างกันทั้งสิ้น เขาทุบทำลายพวกมันได้ง่ายดายนัก

และเป็นดั่งที่ต้วนหลิงเทียนคิดไว้ไม่มีผิด พอขึ้นมาชั้นที่ 3 เขาก็เจอรูปปั้นเสือกับลิง หรือขาลกับวอก…และพลังของมันก็เทียบได้กับเซียนดั้งเดิมขั้นเชี่ยวชาญ

บนชั้น 4 มีรูปปั้นกระต่ายกับไก่หรือเถาะกับระกา และต่างบรรลุถึงเซียนดั้งเดิมขั้นสูงสุดแล้ว

ชั้น 5 เป็นรูปปั้นมังกรกับสุนัข หรือมะโรงกับจอ ด่านพลังบรรลุเซียนขัดเกลาขั้นต้น!

(มังกรในที่นี้ ก็คือ งูใหญ่)

และรูปปั้นในชั้นที่ 6 ก็เป็นงูกับหมู หรือมะเส็งกับกุน พวกมันบรรลุถึงด่านพลังเซียนขัดเกลาขั้นกลาง…อนิจจาแม้พวกมันจะบรรลุถึงเวียนขัดเกลาขั้นกลางและกลุ้มรุมเขาแบบนี้…

แต่พวกมันก็ไม่อาจนับเป็นตัวอะไรต่อหน้าเขาได้…

“นี่มันชั้นสุดท้ายของหอคอยนี่นา…แล้วไหนมรดกเวทย์พลังอะไรนั่นล่ะ?”

เมื่อทุบทำลายรูปปั้นคนหน้างูกับคนหน้าหมูจนเป็นเศษหินแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็หันมองไปทั่วๆชั้น 6 อันเป็นชั้นสุดท้ายของหอคอยนี้

และแทบจะพร้อมกันกับที่เขาคิด บรรยากาศในชั้นก็เริ่มสั่นสะเทือนขึ้นมา กลางห้องปรากฏรูปปั้นมหึมารูปหนึ่งค่อยๆผุดโผล่ออกมาจากความว่างเปล่าช้าๆ!!

รอบตัวรูปปั้นดังกล่าวมีม่านพลังสีกากีเข้มเปล่งออกมาน่ากลัว ให้บรรยากาศหนักอึ้งดั่งขุนเขา!

“ตัวอะไรกัน?”

เห็นฉากนี้ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะตกใจ

และตอนนี้รูปปั้นที่มีม่านพลังสีกากีทึบอันให้ความรู้สึกเสมือนหนักอึ้งดั่งขุนเขาที่ว่า ไม่พูดไม่จาก็พุ่งวูบเขามาหาเขาฉับไวปานสายลม!

เพียงพริบตาร่างมันก็บรรลุถึงเบื้องหน้าต้วนหลิงเทียน ยังยกขามหึมาของมันขึ้นสูง ทั้งกระทืบย่ำลงมาปานอัสนีฟาด!!

หากเป็นคนธรรมดาโดนรูปปั้นตัวเขื่องกระทืบใส่แบบนี้ ไม่พ้นคงได้เป็นซากเนื้อเลอะเลือนแบนติดพื้นแน่!

แต่เผชิญหน้ากับเท้ามหึมาของรูปปั้นตัวเขื่องที่กระทืบย่ำลงมาปานฟ้าผ่า ต้วนหลิงเทียนไม่เพียงไม่หนี ยังสืบเท้าเก้าออกไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง ตบฟาดฝ่ามือออกไปหมายต้านทานปะทะฝ่าเท้าดังกล่าว ปราณสุริยันแรกกำเนิดโคจรไหลเชี่ยว แล่นไปผนึกควบรวมยังฝ่ามือ!

ชั่วพริบตาฝ่ามือของต้วนหลิงเทียนก็ประหนึ่งอัดแน่นไปด้วยขุมพลังอันไร้สิ้นสุด!

วู้ม! วู้ม! วู้ม!

……

ทันใดนั้นมือของต้วนหลิงเทียนก็พุ่งไปปะทะกับเท้ามหึมาอย่างเข้มแข็ง นิ้วยังจิกลงเนื้อหินไปง่ายดายคล้ายจิกลงกองโคลน ยกร่างเขื่องขึ้นมาหอบหิ้วราวกับมันเบาเหมือนนุ่น แถมจับมันเหวี่ยงหมุนไปมาเหนือหัวติ้วๆปานกังหันลม!!

สุดท้ายคล้ายต้วนหลิงเทียนเบื่อจะหมุนหรือไรไม่ทราบ พลันเหวี่ยงร่างมันให้ปลิวคว้างไปกระแทกผนังหอคอยด้านหนึ่งอย่างแรง!!

ตึงงงงงงงงงง!!!

เสียงสนั่นดังก้องไปทั่วชั้น 6 ของหอคอย ทว่าผนังหอคอยดังกล่าวกลับไม่ปริแตกแยกร้าวหรือมีร่องรอยความเสียหายอะไรเลย! กระทั่งรูปปั้นที่ถูกเหวี่ยงอัดผนังก็ไม่คล้ายจะเสียหายอะไรเช่นกัน!!

“โอ้? พลังป้องกันสูงดีนี่..”

เห็นฉากนี้ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะยักคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจไม่น้อย หากเป็นเซียนขัดเกลาขั้นกลางคนอื่น ถูกเขาจับหมุนควงเสริมแรงแถมเหวี่ยงออกไปแบบนั้น น่ากลัวคงได้ตัวแตกเป็นแตงโมตกตึก…

ทว่ารูปปั้นมหึมาที่มีด่านพลังเซียนขัดเกลาขั้นกลางนี่ กลับไม่เป็นอะไรเลย!

รูปปั้นตัวใหญ่ยักษ์ที่ว่าคล้ายไม่รู้สึกรู้สา มันค่อยๆลุกขึ้นยืนขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะพุ่งเข้ามาหาต้วนหลิงเทียนอย่างเกรี้ยวกราด!

“ลองชิมกระบี่ข้าดูไอ้ยักษ์!”

ต้วนหลิงเทียนแค่นคำออกอย่างดุดัน ยกมือขึ้นคราหนึ่งปราณสุริยันแรกกำเนิดโคจรไหลผ่านชีพจรเซียน 99 สายฉับไว ไปผนึกควบรวมเป็นกระบี่พลังสีทองมีสภาพยาว 3 ฉื่อ! ตัวกระบี่ยังเปล่งแสงสว่างสีทองออกมาเจิดจ้านัก!!

สภาวะร่างต้วนหลิงเทียนตอนนี้คนกระบี่ไม่แบ่งแยก ถีบเท้าคราหนึ่งส่งร่างพุ่งวาบตัดอากาศไปฉับไว พริบตาก็บรรลุถึงเบื้องหน้ารูปปั้นตัวเขื่อง กระบี่สีทองตวัดออกแนวขวางตามอำเถอใจ บังเกิดเป็นเส้นแสงทองลากยาวในอากาศ!!

กึงงงง!!

ตอนแรกคิดว่ากระบี่คงสามารถสะบั้นหัวรูปปั้นได้อย่างง่ายดาย มิคาดเขากลับคิดผิด! แสงพลังสีกากีทึบรอบกายรูปปั้นพลันส่องสว่างเรืองรองขึ้นมาครั้งใหญ่! เผยพลังป้องกันอันน่ากลัวต้านทานกระบี่ของเขาเอาไว้ได้!!

“เอาเรื่องเหมือนกันนี่!”

เห็นฉากนี้ต้วนหลิงเทียนก็อดประหลาดใจไปไม่ได้ และตอนนี้เองเขาพลันสังเกตเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติ ‘หือ…แสงพลังสีกากีที่ฉาบเคลือบร่างมันอยู่ ลักษณะของพลังไม่คล้ายม่านพลังที่เกิดจากวรยุทธ์เซียนหรือเคล็ดวิชาป้องกันอะไร…หรือว่านี่จะเป็นความสามารถของเวทย์พลังอะไรนั่น!?’