War sovereign Soaring The Heavens – ตอนที่ 1771
ตอนที่ 1,771 : เวทย์พลัง ร่างทองลิ่วเหอ!
หากม่านพลังสีกากีทึบที่ฉาบคลุมทั่วกายรูปปั้นมหึมาตัวนี้อยู่ เป็นการป้องกันที่เกิดจากเวทย์พลังจริงๆ ก็นับว่าเป็นเวทย์พลังป้องกันที่ใช้ได้เลยทีเดียว!!
ต้องทราบด้วยว่ากระบี่พลังสีทองมีสภาพที่ต้วนหลิงเทียนฟาดใส่มันเมื่อครู่ แม้จะใช้ออกส่งๆไม่จริงจัง แต่ก็เทียบได้กับการลงมือของเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดแล้ว!!
ทว่าการโจมตีระดับนั้น…กลับรูปปั้นที่มีพลังเทียบได้กับเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญป้องกันเอาไว้ได้!
แน่นอนว่าต้วนหลิงเทียนยังมองออกได้ไม่ยาก ว่าหลังจากทานรับกระบี่ของเขาไปแล้ว ม่านพลังสีกากีทึบดังกล่าวคล้ายจะอ่อนจางลง ยิ่งไปกว่านั้นรูปปั้นที่ว่าคล้ายจะแลดูอ่อนแรง กระทั่งเชื่องช้าลง
‘ดูเหมือนว่าถึงเวทย์พลังนี่จะทรงพลัง แต่มันก็กินพลังงานจำนวนมากงั้นสินะ…แค่ป้องกันกระบี่เดียวของข้า พลังของมันก็แทบไม่เหลือ เสมือนลูกเกาทัณฑ์ที่แล่นไปสุดกำลังแล้ว…’
คิดถึงจุดนี้ต้วนหลิงเทียนก็ตวัดกระบี่สีทองในมือออกมาอีกครา
และคราวนี้ศีรษะของรูปปั้นยักษ์ก็ถูกเขาสะบั้นปลิดปลงได้ง่ายดายเหมือนตัดเต้าหู้…
ตึงงง โครมม!!
เมื่อศีรษะร่วงตกลงพื้นจนแตกออก ร่างมหึมาของมันก็พังทลายลงเป็นเศษดินเช่นกัน
“หืม?”
อย่างไรก็ตามในขณะที่รูปปั้นมหึมาพังลง ต้วนหลิงเทียนก็พบว่าความว่างเปล่าพลันบังเกิดความปั่นป่วนอีกครั้ง กลิ่นอายพลังขุมหนึ่งแผ่กำจายออกมาตลบไปทั่วชั้น 6 ของหอคอย
“นั่นมัน…”
ไม่นานสายตาต้วนหลิงเทียนก็ว่ายมองไปตกยังจุดที่กลิ่นอายพลังแผ่ออกมา
มองไปเสมือนอากาศอยู่ๆก็มีรอยแตก แถมในรอยแตกดังกล่าวปรากฏรูปปั้นศิลาขนาดใหญ่ค่อยๆผุดโผล่ออกมาจากความว่างเปล่า! ไม่นานมันก็โผล่พ้นช่องว่างที่ว่า ร่วงตกลงมาตั้งบนพื้นดังตึง! สะท้านสะเทือนไปทั้งหอคอย!!
รูปปั้นที่ว่าเพียงตั้งอยู่เฉยๆ ก็เสมือนมีกลิ่นอายพลังเก่าแก่โบราณขุมหนึ่งแผ่ออก ราวจะบอกว่าตัวมันดำรงอยู่มาเนิ่นนานมากแล้ว
“ร่างทองลิ่วเหอ? นี่คือมรดกเวทย์พลังงั้นเหรอ?”
เมื่อสำนึกเทวะของต้วนหลิงเทียนแผ่ออกไปหมายตรวจสอบรูปปั้นดังกล่าว เขาก็สัมผัสได้ถึงข้อความหนึ่งส่งกลับมาถึงเขา
ทำให้ต้วนหลิงเทียนตระหนักได้ทันทีว่ารูปปั้นเบื้องหน้าคืออะไร มันสมควรเป็นมรดกเวทย์พลังที่ถูกเก็บไว้ในหอคอยแห่งนี้! รูปปั้นนี้ก็คือมรดกเวทย์พลังที่ทุกคนอยากได้ในแดนลับเซียนนั่นเอง!!
‘ถ้างั้นทุกอย่างที่ข้าพบเจอ ก็เป็นการทดสอบว่าเหมาะสมจะได้เวทย์พลังหรือไม่งั้นสิ? ถ้างั้นความสามารถในการป้องกันของรูปปั้นตัวสุดท้ายนั่น…สมควรเป็นเวทย์พลังร่างทองลิ่วเหอไม่ผิดแน่! แต่เรียกร่างทองลิ่วเหอแท้ๆ ทำไมม่านพลังของมันกลับเป็นสีกากีทึบได้ล่ะ…’
ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนก็เข้าใจแล้วว่าม่านพลังสีกากีทึบรอบกายรูปปั้นก่อนหน้า คือเวทย์พลังร่างทองลิ่วเหอไม่ผิดแน่ และมันสามารถป้องกันกระบี่ของเขาเอาไว้ได้เสียด้วย…
‘กระบี่ที่ข้าฟันไปส่งก่อนหน้า แม้จะไม่ได้รุนแรงอะไรมากมาย แต่พลังสมควรเทียบได้กับการจู่โจมของเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดทั่วๆไป…ถึงมันจะกันได้แค่ครั้งเดียว แต่เซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญสามารถต้านทานรับการโจมตีระดับนั้นได้ ก็นับว่าไม่ธรรมดา…’
คิดถึงฉากเรื่องราวก่อนหน้าต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักได้ว่าม่านพลังป้องกันจากเวทย์พลังร่างทองลิ่วเหอมีอานุภาพอย่างไร
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียน จะแผ่สำนึกเทวะไปยังรูปปั้นอันเป็นมรดกเวทย์พลังเบื้องหน้าต่อ เพื่อจดจำเวทย์พลังร่างทองลิ่วเหอ เขาก็พลันได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวหนึ่ง ทำให้เขาหันไปแผ่สำนึกเทวะลงบันไดไปทันที
หลังจากนั้นเขาก็ทราบว่าคืออะไร และหลังจากรออยู่ไม่กี่สิบลมหายใจ ก็ปรากฏร่าง 3 ร่างที่กำลังเดินขึ้นบันไดมา…
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
“ดูเหมือนแต่ละชั้นจะมีกองดินอันใดสักอย่าง 2 กองเสมอ…หอคอยผีสางนี่จักมีมรดกเวทย์พลังเก็บไว้จริงๆหรือ?”
……
ทั้ง 3 ร่างเป็นชายหนุ่ม พวกมันคุยกันไปเรื่อยเปื่อยขณะขึ้นบันใดมาอย่างไม่รีบไม่ร้อน
และเมื่อขึ้นมาถึงชั้น 6 ได้ไม่ทันไร พวกมันก็สังเกตเห็นรูปปั้นศิลามหึมาแผ่กลิ่นอายโบราณทันที!
“นั่น…ใช่มรดกเวทย์พลังหรือไม่!?”
ไม่ทราบว่าใครเป็นคนกล่าวขึ้นมา แต่ตอนนี้ดวงตาทั้ง 3 คู่ของพวกมันลุกวาวขึ้นมาด้วยความปรารถนาอันแรงกล้า! พวกมันพยายามเดินเข้าไปใกล้ๆทันที หมายจะตรวจสอบว่าใช่มรดกเวทย์พลังจริงๆหรือไม่!
“เจอกันอีกแล้ว…”
ตอนนี้เองพลันมีเสียงหนึ่งดังขึ้นเบาๆด้านหลังของพวกมัน ไม่ใช่ใครที่ไหนเป็นต้วนหลิงเทียนที่โผล่ออกมาปานภูตผี!
ฟังจากคำพูดของต้วนหลิงเทียน คล้ายเขาจะรู้จักร่าง 3 ร่างที่มาใหม่ หรืออาจจะรู้จักใครในนั้นแน่นอน!
2 ใน 3 ร่างที่ได้ยินเสียงกล่าวของต้วนหลิงเทียนดังขึ้นด้านหลัง ร่างของพวกมันถึงกับชะงักค้างเป็นท่อนไม้ สีหน้าของมันกลายเป็นหวาดกลัวเสียขวัญทันที…
“หละ…หลิงเทียน!”
เสียงนี้ไม่ใช่เสียงแปลกหูสำหรับพวกมันแต่อย่างไร เป็นเสียงของหลิงเทียนเอง! อีกฝ่ายคืออัจฉริยะเซียนรุ่นเยาว์อันดับ 1 ของตำหนักฟ้าลี้ลับ! เป็นหลิงเทียนที่พวกมันเลือกจะไม่เชื่อฟังทั้งหลบหนีมาก่อนหน้า!!
ถูกต้องแล้ว…
2 ใน 3 ร่างที่พึ่งเดินขึ้นมาถึงชั้น 6 นี้ คือหูรุ่ยกับเผิงเฉิน ที่ฉวยโอกาสหลบหนีไปตอนต้วนหลิงเทียนหันไปไล่ล่าจ้าวจี้นั่นเอง!!
พวกมันย่อมไม่คิดไม่ฝันเลยว่าจะมาเจอหลิงเทียนที่นี่!!
“หลิงเทียน?”
ตอนนี้เองชายคนสุดท้ายในบรรดา 3 คน ก็หันหลับกลับมามองต้วนหลิงเทียนที่ยืนอยู่ไม่ไกลด้วยความประหลาดใจ
เห็นได้ชัดว่ามันเองก็ไม่คิดว่าจะได้เจอกับต้วนหลิงเทียนที่นี่
“พวกเจ้า…”
อย่างไรก็ตามครู่ต่อมาพอมันพบว่าเผิงเฉินกับหูรุ่ยที่หันมา แลดูหน้าซีดทั้งคล้ายจะหวาดกลัวอะไรบางอย่าง มันก็ตระหนักได้ถึงบางสิ่ง! อดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจออกมาอย่างทอดถอน ท่าทางคล้ายเดาอะไรได้แล้ว..
ทันใดนั้นมันก็ก้าวถอยออกไปหลายก้าวใหญ่ เว้นระยะห่างจากทั้ง 2 คนนั่นทันที
“หลิงเทียน ข้ามิได้สนิทสนมกับพวกมันทั้ง 2 แต่อย่างไร ข้าเป็นศิษย์ของวังเหลืองที่บังเอิญผ่านมา และถูกพวกมันชักชวนให้มาสำรวจที่นี่ด้วยกันเท่านั้น…”
หลังถอยห่างไปไม่กี่ก้าว มันก็รีบอธิบายให้ต้วนหลิงเทียนฟังทันที
ต้วนหลิงเทียนหันไปมองมันเล็กน้อยค่อยพยักหน้ารับเบาๆ จากนั้นก็ละสายตากลับมามองเผิงเฉินกับหูรุ่ย “พวกเจ้าสองคนนับว่ากล้าหาญชาญชัยไม่น้อย ถึงกับเห็นคำพูดข้าเป็นแค่ลมที่พัดผ่านหู”
เผิงเฉินกับหูรุ่ยถึงกับก้มหน้าลงทันใด และไม่อาจตอบอะไรกลับมาได้
แน่นอนว่าตอนนี้พวกมันสำนึกผิดแล้ว หากพวกมันรู้ว่าสุดท้ายต้วนหลิงเทียนจะหาที่แห่งนี้พบจากทิศทางที่พวกมันเหินบินก่อนหน้า พวกมันไม่มีวันหนีไปแบบนั้นแต่แรก
ฉัวะ! ฉัวะ!
เมื่อเห็นว่าทั้ง 2 คนไม่มีอะไรจะพูด ต้วนหลิงเทียนก็คร้านจะกล่าวอะไรกับพวกมันสืบต่อ สะบัดมือเบาๆ ปรากฏรังสีพลังกระบี่ 2 สายพุ่งตัดระยะกว่าครึ่งห้องในชั่วพริบตา ทะลวงสังหารพวกมันทั้งคู่!
กล่าวให้ชัดคือสังหารร่างอวตารของพวกมัน!
สำนึกสติของทั้งคู่ย่อมหลุดลอยอากจากร่างอวตารทันทีเมื่อร่างอวตารของพวกมันถูกฆ่าตาย และหวนคืนสู่ร่างกายที่แท้จริง ก่อนที่พวกมันจะถูกแดนลับเซียนขับออกไป!
ครู่ต่อมาก็คงเหลือหลิงเทียนกับชายหนุ่มแปลกหน้าอยู่บนชั้น 6 ของหอคอย 2 คน
“เจ้ายังไม่ไปอีกหรือ? หรืออยากจะออกไปเหมือนพวกมันด้วย?”
ต้วนหลิงเทียนเหลือบมองศิษย์คนดังกล่าวค่อยเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงไร้แยแส
ศิษย์ของวังเหลืองยังคงอึ้งกับการลงมือสังหารผู้คนของต้วนหลิงเทียนเมื่อครู่ไม่หาย เพราะมันไม่คิดเลยว่าต้วนหลิงเทียนจะกำจัดเผิงเฉินและหูรุ่ยง่ายดายแบบนั้น…มาตอนนี้พอได้ยินเสียงไร้แยแสของต้วนหลิงเทียน สติสตังมันก็กลับเข้าร่างอย่างไว และเร่งรุดโดดลงบันไดไปชั้น 5 อย่างหวาดๆ…
ตอนนี้ใจมันเหลือเพียงความคิดเดียวเท่านั้น รีบไปให้ไกลจากสถานที่ผีสางนี่ให้เร็วที่สุด!!
มรดกเวทย์พลังอะไรนั่น…มันไม่กล้าคิดแตะ!!
มีหลิงเทียนอยู่ทั้งคน ต่อให้นั่นเป็นมรดกเวทย์พลังระดับสูง ก็ไม่ใช่สำหรับมัน!
หลังจากศิษย์ของวังเหลืองจากไปแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็แผ่สำนึกสติไปตรวจสอบต่ออีกสักพัก เมื่อไม่พบว่ามีใครแล้วค่อยรั้งกลับมาตรวจสอบรูปปั้นอีกครั้ง เริ่มทำความเข้าใจเวทย์พลังร่างทองลิ่วเหอจากมรดกเวทย์พลังดังกล่าว
แน่นอนว่าหากจะกล่าวให้ชัดคงไม่ใช่การทำความเข้าใจ ทำได้แค่พยายามจดจำเท่านั้น
และในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังจดจำเวทย์พลังร่างทองลิ่วเหอจากมรดกเวทย์พลัง เหล่าผู้คนที่อยู่ด้านนอกแดนลับเซียน ก็พบว่าทางเข้าแดนลับเซียนบังเกิดความเคลื่อนไหวอีกแล้ว!!
ครู่ต่อมาพวกมันก็เห็นร่างคน 2 คนพุ่งออกมาจากวังวนกลางอากาศ…
“เผิงเฉิน? หูรุ่ย? กะ…เกิดอะไรขึ้นกับพวกเจ้ากัน ไฉนถูกขับออกมาเร็วนักเล่า!?”
เมื่อเห็นร่างทั้ง 2 จ้าววังเหลืองอดไม่ได้ที่จะตกใจ
เพราะสองร่างเบื้องหน้าในสายตายามนี้ คือศิษย์ของวังเหลืองมัน! ที่สำคัญทั้งคู่เองก็ทะลวงถึงเซียนดั้งเดิมขั้นสุดแล้ว แถมพลังฝีมือของพวกมันนับว่าอยู่แถวหน้าของศิษย์วังเหลืองที่บรรลุเซียนดั้งเดิมขั้นสูงสุดด้วยซ้ำ!
อย่างไรก็ตาม พึ่งผ่านมาได้แค่ 3 วันพวกมันกลับถูกกำจัดออกจากแดนลับเซียน?!
ก่อนหน้าครึ่งวันก็เป็นจ้าวจี้ที่ถูกขับออกมา!
“ท่านจ้าววัง…พวกเราถูกหลิงเทียนจัดการ”
เผิงเฉินและหูรุ่ยได้แต่กล่าวตอบด้วยรอยยิ้มขื่นขม หากแต่พอมันมองไปยังจ้าวจี้ที่ลอยอยู่ไม่ไกล พวกมันก็ไม่รู้สึกเศร้าสักเท่าไหร่ที่ถูกขับออกมา…ถึงแม้จะเสียใจที่ถูกกำจัดก็ตาม
เพราะยังนับว่าพวกมันโชคดีแล้ว ที่พวกมันไม่ได้ถูกขับออกมาคนแรก…
โดยเฉพาะเมื่อพวกมันได้เห็นคนที่มีพลังฝึกปรือเหนือกว่าและฐานะเหนือกว่ามากอย่างจ้าวจี้ที่บรรลุเซียนขัดเกลาขั้นกลางตายออกมาก่อนพวกมัน พวกมันก็ไม่ได้สลดใจอะไรมากมาย
“เป็นหลิงเทียนอีกแล้ว?”
ได้ยินคำของเผิงเฉินและหูรุ่ย ฉากเรื่องราวคล้ายจะระเบิดออกมาทันที “สหายน้อยนั่นคิดทำอันใดกันแน่?”
“พวกเจ้ากับหลิงเทียนมีเรื่องบาดหมางกันงั้นหรือ?”
จ้าววังลี้ลับมองเผิงเฉินกับหูรุ่ยสลับไปมาค่อยขมวดคิ้วกล่าวถามออกมาเสียงเข้ม
“ท่านจ้าววัง พวกเรามิเคยมีเรื่องราวบาดหมางกับหลิงเทียนมาก่อนเลย”
เผิงเฉินกล่าวออกมาอย่างขมขื่น
“เช่นนั้นไฉนพวกเจ้า…”
จ้าววังลี้ลับขมวดคิ้วขึ้นมาด้วยความไม่เข้าใจ มันเองก็คิดว่ามันดูคนไม่ผิด แม้มันจะเคยเห็นหลิงเทียนไม่กี่ครั้งและไม่ได้รู้จักมักคุ้นอะไรกัน แต่มันก็คิดว่าอีกฝ่ายไม่น่าจะใช่คนที่ทำร้ายผู้อื่นอย่างไร้เหตุผล…
เมื่อเห็นว่าทุกคนกำลังงุนงงไม่เข้าใจ เผิงเฉินก็เริ่มเล่าเรื่องราวระหว่างพวกมันกับหลิงเทียนออกมาให้ทั้งหมดฟังทันที ร่วมถึงเรื่องที่พวกมันเลือกจะหลบหนีตอนที่อีกฝ่ายหันไปไล่ล่าจ้าวจี้…
“พวกเจ้านี่ก็จริงๆเลย…ไฉนพวกเจ้าถึงได้หนีไปเช่นนั้น หากเป็นคนอื่นก็ไม่มีผู้ใดคิดละเว้นพวกเจ้าหรอก!”
จ้าววังลี้ลับส่ายหัวไปมาอย่างจนปัญญา มันไม่คิดตำหนิหลิงเทียนในเรื่องนี้ เพราะหากมันอยู่ในจุดเดียวกันกับหลิงเทียน มันก็ย่อมลงมือกระทำเช่นเดียวกัน…
ดั่งการคัดสรรของธรรมชาติ ผู้ที่อยู่รอด…ย่อมเป็นผู้ที่เหมาะสมที่สุด!
นี่คือกฏแห่งป่า..
หลังจากนั้นไม่นานเผิงเฉินก็เล่าถึงเรื่องที่พวกมันได้เจอกับหลิงเทียนอีกครั้ง และยังกล่าวถึงรูปปั้นขนาดมหึมาคล้ายอนุเสาวรีย์ศิลาอันใดสักอย่าง ที่สงสัยว่าน่าจะเป็นมรดกเวทย์พลัง…
“อะไรนะ?!”
ได้ยินคำเล่าของเผิงเฉิน หน้าจ้าวเติงเปลี่ยนไปทันใด “เจ้าหมายความว่า…หลิงเทียนนั่น มันอาจได้มรดกเวทย์พลังไปแล้วงั้นเหรอ?”
จ้าวจี้ ที่ยืนอยู่ข้างๆจ้าวเติงตอนนี้ สีหน้าก็บิดเบี้ยวอัปลักษณ์ดูไม่ได้!
มันถูกหลิงเทียนเตะออกแดนลับเซียนตั้งแต่ 3 วันแรก ทว่าด้านหลิงเทียนกลับได้สืบทอดมรดกเวทย์พลังตั้งแต่ 3 วันแรก! ซึ่งเป็นอะไรที่รวดเร็วมาก!!
มันเกลียดนัก!!
ยังอยากจะสับร่างต้วนหลิงเทียนให้แหลกเป็นหมื่นๆชิ้น!!
“สมควรเป็นเช่นนั้น…”
เผิงเฉินพยักหน้า
หลังจากที่ได้รับคำยืนยันจากเผิงเฉิน เหล่าอาวุโสก็อดไม่ได้ที่จะฮือฮากันอีกครั้ง “ให้ตายเถิด ยังพึ่งผ่านไปได้แค่ 3 วัน…หลิงเทียนกลับได้รับสืบทอดมรดกเวทย์พลังมาแล้ว?”
“มิรู้ว่านั่นเป็นเวทย์พลังอันใดกันแน่?”
“จริงสิ! พวกเจ้าสองคน…ไหนพวกเจ้าลองเล่ามาให้ข้าฟังอีกที ว่าที่ๆพวกเจ้าพบมรดกเวทย์พลังนั่น มันมีลักษณะเป็นเช่นไร? พบเจอสัตว์ร้ายหรือค่ายกลอันใดบ้าง?”
ไม่นานจ้าววังปฐพีก็มองเผิงเฉินอีกครั้ง ค่อยกล่าวถามออกมาอีกรอบ
ในบันทึกประวัติศาสตร์ของตำหนักฟ้าลี้ลับ ใครก็ตามที่เข้าไปในแดนลับเซียนและได้รับมรดกเวทย์พลัง ย่อมต้องกระทำตามกฏของตำหนักฟ้าลี้ลับ เผยถึงกระบวนการที่ทำให้ได้รับเวทย์พลังใดๆก็ตามต่อตำหนัก…
ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา ตำหนักฟ้าลี้ลับก็ได้บันทึกกลวิธีในการได้รับเวทย์พลังเอาไว้ไม่น้อย เวทย์พลังต่างชนิดก็มีการทสอบแตกต่างกันไป พวกมันเองก็ได้รับทราบรูปแบบต่างๆมามากมาย
เช่นนั้นหากเจอบททดสอบที่คล้ายคลึงกัน พวกมันก็จะพอคาดเดาได้ว่าที่แท้เวทย์พลังนั่นมีระดับใด และมีความสามารถประเภทไหน…