บทที่ 326 ชอบ (2)
อันจวิ้นอ๋องหัวเราะเย้ยหยัน “นางไม่มีสิทธิ์แต่งกับข้าแล้วใครมีล่ะ”
ไม่มีใครมีสิทธิ์ทั้งนั้น พี่ชายเป็นบุรุษที่ดีที่สุดและเก่งกาจที่สุดในโลก พวกนางไม่คู่ควรกับพี่ชายสักคน!
ทว่าคำพูดในใจเหล่านี้จวงเย่ว์ซีไม่กล้าเอ่ยออกไป
นางสัมผัสได้ว่าพี่ชายโกรธจริงๆ บางทีพี่ชายอาจจะไม่ต้องการนางอีกแล้วก็ได้
นางคุกเข่าลงพลางคว้าข้อมือของอันจวิ้นอ๋องไว้ ร้องไห้สะอึกสะอื้นเอ่ย “พี่ชายมีคนในใจอยู่ก่อนแล้วมิใช่หรือ ขะ…ข้า…ข้ารู้ว่าพี่ชายไม่อยากแต่งกับนาง…ข้า…”
อันจวิ้นอ๋องสีหน้าคล้ายเลื่อนลอยแวบหนึ่ง
จวงเย่ว์ซีร้องไห้เอ่ย “พี่ชาย ข้าผิดไปแล้ว…ข้าไม่กล้าทำอีกแล้ว…ให้อภัยข้าเถอะนะ…”
“ออกไป” อันจวิ้นอ๋องล้มตัวลงนอนอย่างหมดอาลัยตายอยาก ไม่ได้ชักมือที่นางจับกลับ เขาหมดเรี่ยวแรงและไม่คิดสนใจแล้ว “ข้าไม่อยากเห็นหน้าเจ้าตอนนี้”
“พี่ชาย…” จวงเย่ว์ซีชะงักงันไป นางไม่เคยกลัวเช่นนี้มาก่อน น้ำตาหลั่งรินดุจสร้อยไข่มุกที่ขาดสะบั้นลงมาไม่ขาดสาย
“ออกไป” อันจวิ้นอ๋องพลิกตัวหันหลังให้นาง ก่อนหลับตาลงแล้วไม่พูดอะไรกับนางอีก
ทางด้านราชเลขาหยวนที่ออกมาจากหอชิงเฟิงแล้วก็เริ่มตามหาร่องรอยของหลานสาวไปทั่ว เขาไม่เจอนางในละแวกนี้เลย คิดว่าหลานสาวกลับไปแล้วจึงได้เร่งรุดกลับไปที่จวนราชเลขา
คนรับใช้ในจวนเอ่ย “นายท่าน เมื่อครู่มีคนมาหา ทิ้งจดหมายไว้ให้ท่านขอรับ”
ราชเลขาหยวนอ่านจดหมายจบก็พลันขมวดคิ้ว แล้วขับรถไปที่ตรอกปี้สุ่ย
เสี่ยวจิ้งคงพาไก่ไปเดินเล่น กู้เหยี่ยนกับกู้เสี่ยวซุ่นไปเรียนงานฝีมือ เซียวลิ่วหลังอธิบายโจทย์ให้พวกราชบัณฑิตอยู่ที่สถาบันฮั่นหลิน กู้เจียวกำลังฝังเข็มให้แม่ชีน้อยในห้องอยู่
คนที่ต้อนรับเขาจึงเป็นแม่นางเหยา
ราชเลขาหยวนรุ่นราวคราวเดียวกันกับท่านโหวอาวุโส แม่นางเหยาจึงคำนับให้เขาแบบที่คำนับผู้ใหญ่
ราชเลขาหยวนเห็นนางกำลังตั้งครรภ์อยู่จึงรีบบอกให้ไม่ต้องมากพิธี
แม่นางเหยาไม่ได้บอกว่าตัวเองเป็นคนของจวนติ้งอันโหว บอกแค่ว่าสามีตัวเองแซ่กู้
คนแซ่กู้ในเมืองหลวงมีถมเถไป ราชเลขาหยวนจึงไม่ได้คิดไปถึงจวนติ้งอันโหว เขาประสานมือให้ “กู้ฮูหยิน”
แม่นางเหยาเชิญเขาไปที่ห้องโถง แม่นมฝางยกน้ำชามาให้ แม่นางเหยาเอ่ยเสียงนุ่มนวล “วันนี้ข้าไปเชิญร้านผ้าซุ่นไหลที่อยู่ใกล้ๆ หอชิงเฟิงมาตัดเสื้อผ้าให้ บังเอิญเจอคุณหนูหยวนได้รับบาดเจ็บอยู่ริมทาง ลูกสาวข้าเป็นหมอ ข้าจึงพาคุณหนูหยวนกลับมารักษาที่บ้าน คุณหนูหยวนฟื้นแล้ว ยามนี้กำลังรักษาตัวอยู่ในห้อง ขอราชเลขาหยวนโปรดรอสักครู่”
แม้ว่าราชเลขาหยวนจะเป็นห่วงความปลอดภัยของหลานสาว แต่ก็ไม่ได้เสียมารยาท เขาประสานมือคำนับให้อีกครา “ขอบคุณกู้ฮูหยินยิ่งนักที่ช่วยชีวิตไว้”
ราชเลขาหยวนไม่รู้ว่าหลานสาวตัวเองรู้จักกับคนของจวนติ้งอันโหวแต่แรกแล้ว คิดว่าหลานสาวตนฟื้นขึ้นมาแล้วบอกว่าตัวเองเป็นใคร คนบ้านนี้จึงได้รู้และไปแจ้งตนที่จวน
“ฮูหยินเจ้าคะ ตากตำราของท่านเขยเสร็จแล้ว!” อวี้หยาร์หอบตำราปึกหนาเตอะเดินมาจากเรือนท้าย
แม่นางเหยาเอ่ย “ข้าดูหน่อย”
“เจ้าค่ะ!” อวี้หยาร์วางตำราที่ตากแดดแล้วไว้บนโต๊ะไม้ระหว่างแม่นางเหยากับราชเลขาหยวน
นางก็เพิ่งจะพบว่าหมู่นี้ตำราของเซียวลิ่วหลังมีมากมายนัก บางเล่มที่ไม่ค่อยเห็นบ่อยๆ ก็ขึ้นราแล้ว จึงอาศัยหมู่นี้อากาศร้อนเอาออกมาตากแดดเสียหน่อย
“เล่มนี้ต้องตากอีกหน่อย” แม่นางเหยาส่งเล่มที่ปกหลังยังมีกลิ่นอับราให้อวี้หยาร์
“เจ้าค่ะ ยังพอมีแดดอยู่บ้าง ข้าจะเอาไปตากต่อ!” อวี้หยาร์รับตำรามาหลังเรือนท้าย
ราชเลขาหยวนไม่ตั้งใจจะสอดแนม แต่นั่งอยู่เฉยๆ แล้วเบื่อจึงกวาดตามองโดยไม่ตั้งใจ
หากไม่กวาดตามองก็คงไม่รู้ พอได้กวาดตามองแล้วทำเอาตกใจยกใหญ่
ครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวหนึ่งมีตำราประวัติศาสตร์ของรัชสมัยก่อนได้อย่างไร
สำหรับราชเลขาหยวนแล้วแรงดึงดูดของตำรามีพอๆ กับแรงดึงดูดของอาวุธที่มีต่อท่านเหล่าโหวเลยทีเดียว พอได้เห็นก็ไม่ขยับไปไหน
ดวงตาของราชเลขาหยวนจึงจดจ้องอยู่กับตำรา
แม่นางเหยาสังเกตเห็นสายตาของเขาจึงเอ่ยถาม “ราชเลขาหยวนจะอ่านหรือไม่”
“สะดวกหรือไม่” ราชเลขาหยวนถาม
“แค่ไม่กี่เล่มเองเจ้าค่ะ ไม่มีอะไรไม่สะดวกหรอก” แม่นางเหยาบอก
พวกเฝิงหลินมักจะมาขอยืมตำราจากเซียวลิ่วหลัง พวกบัณฑิตในตรอกก็มายืมเช่นกัน เซียวลิ่วหลังใจกว้างยิ่งนัก
แรกเริ่มเดิมทีแม่นางเหยาจะบอกให้เขาทราบ ต่อมาเขาให้แม่นางเหยาตัดสินใจเอาเองได้เลย
เซียวลิ่วหลังทั้งไว้ใจและเคารพแม่นางเหยา
แน่นอนว่าทั้งสองฝ่ายต่างเคารพซึ่งกันและกัน แม่นางเหยาจึงทะนุถนอมข้าวของของเซียวลิ่วหลังมาก
ราชเลขาหยวนเป็นคนที่ถนอมหนังสือ
ราชเลขาหยวนหยิบตำราบนโต๊ะขึ้นมาเปิดอ่าน
เมื่อครู่เหลือบไปเห็นอย่างตกใจ ยามนี้มาพลิกเปิดอ่านดูให้ถี่ถ้วนแล้วยิ่งตกใจ โดยเฉพาะตำราที่เกี่ยวข้องกับเหวินฮุยจงฮ่องเต้พระองค์ที่สองของรัชสมัยก่อน นึกไม่ถึงว่าในนั้นจะบันทึกกลอน ‘เยี่ยนเป่ยฟู่’ ไว้กว่าครึ่งบท
ตำราเล่มนี้ขาดหายไปมุมหนึ่ง แต่ส่วนที่ขาดหายไปถูกเติมด้วยกระดาษหัวจดหมายหนึ่งหน้า ในนั้นบันทึกแหล่งที่มาของข้อความที่ตัดตอนมาจากตำราโบราณสำคัญๆ ตำราประวัติศาสตร์ และเอกสารอื่นๆ
ดูจากลายมือแล้วยังสดใหม่อยู่ ท่าทางไม่เกินหนึ่งปี
ซึ่งหมายความว่า ‘เยี่ยนเป่ยฟู่’ บทนี้ขาดหายไปส่วนหนึ่งจริง แต่ถูกคนตรวจหาจากตำรานับไม่ถ้วนมาเติมเต็มแล้ว
ราชเลขาหยวนย้อนถามตัวเองว่าหากเป็นเขาคงยากจะทำได้
ช้าก่อน แหล่งที่มาของ ‘เยี่ยนเป่ยฟู่’ มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร
เขาจำได้ว่าห้องเก็บตำรามีคนหนึ่งเอ่ยถึง ‘เยี่ยนเป่ยฟู่’ ในตำราประวัติศาสตร์เช่นกัน เป็นอันจวิ้นอ๋องที่เติมเต็มให้สมบูรณ์
หรือว่าครอบครัวนี้จะเกี่ยวข้องกับอันจวิ้นอ๋อง
“ไม่ทราบว่าตำราเล่มนี้มาจากไหนหรือ”
แม่นางเหยาแย้มยิ้ม “นี่เป็นตำราของลูกเขยข้า มาจากไหนนั้นข้าไม่ทราบ ท่านพ่อเขาคงมอบให้กระมัง หรือคงซื้อมาจากโรงเรียน”
จะซื้อจากที่โรงเรียนได้อย่างไร
นี่เห็นได้ชัดเลยว่าเป็นตำราส่วนตัว
“ท่อนท้ายของ ‘เยี่ยนเป่ยฟู่’ ใครเป็นคนเติมให้สมบูรณ์หรือ” ราชเลขาหยวนชี้ที่หน้านั้นพลางถาม
แม่นางเหยามองก่อนเอ่ย “เป็นลายมือของลูกเขยข้าเจ้าค่ะ”
“ตำราเล่มนี้เคยมีใครมายืมไปบ้างหรือไม่” ราชเลขาหยวนถาม
“เล่มนี้หรือ ไม่นะเจ้าคะ” แม่นางเหยาส่ายหน้า หากยืมออกไปก็คงไม่โดนทับอยู่ก้นหีบจนราขึ้นหรอก
ราชเลขาหยวนกำลังจะถามกู้ฮูหยินว่าลูกเขยนางคือใคร แม่ชีน้อยก็ออกมาจากห้องพอดี
เนื่องจากนางกระโดดลงมาจากชั้นสอง เท้าซ้ายจึงแพลง ถูกกู้เจียวพยุงไว้ กลายเป็นคนขาเป๋ข้างหนึ่ง
แม้ว่ากู้เจียวจะหน้าตาน่าเวทนา แต่ราชเลขาหยวนกลับไม่ได้ตัดสินคนที่หน้าตาแต่อย่างใด และไม่ได้ดูถูกกู้เจียวที่เป็นหมอหญิงเหมือนคนอื่นๆ ด้วย
เขามองกู้เจียวพลางเอ่ยขอบคุณด้วยความจริงใจ แล้วจ่ายเงินค่ารักษาให้ห้าตำลึง ก่อนจะพาหลานสาวกลับไป
หลังจากทั้งสองกลับไปแล้ว เงาร่างสูงใหญ่กำยำก็เดินออกมาจากห้องหนังสือ
เขาเดินมาตรงหน้าแม่นางเหยา แล้วประสานมือให้ “ขอบคุณฮูหยินยิ่งนัก”
“ข้าไม่ได้ทำอะไรเลย เพียงแต่เจ้าไม่คิดจะให้ราชเลขาหยวนรู้ว่าเจ้าเป็นคนช่วยหลานสาวเขาจริงๆ น่ะหรือ” แม่นางเหยาวันนี้ไม่ได้ออกจากบ้านไปไหนเลย จะพบคุณหนูหยวนที่ได้รับบาดเจ็บได้อย่างไร
กู้ฉังชิงเป็นคนพานางกลับมาต่างหาก
แม่นางเหยามองเขาพลางเอ่ย “ความหมายของข้าคือเจ้าก็อายุอานามไม่น้อยแล้ว ซ้ำยังเคยช่วยเหลือคุณหนูหยวนไว้ถึงสองครา แม้แต่ข้ายังรู้สึกว่าเป็นบุพเพที่หาได้ยาก หากเจ้าเห็นด้วย วันหลังข้าจะไปคุยเรื่องดูตัวให้เจ้าเอง”
แม่นางเหยาสามารถพูดถึงเรื่องดูตัวให้กู้ฉังชิงได้ เห็นได้ชัดว่าความแสลงใจที่มีต่อเขาลดลงไปไม่น้อยแล้ว
บางทีนางคงไม่อาจเป็นมารดาที่รักเขาได้ แต่นางเป็นแม่เลี้ยงให้เขาได้โดยไม่เสียสถานะ
“เจียวเจียวคิดว่าอย่างไร” แม่นางเหยาถามลูกสาว หมายจะลากลูกสาวมาเป็นพวกด้วย
กู้เจียว เรื่องการเร่งรัดให้แต่งงานนี้สมัยปัจจุบันไม่ได้ต่างอะไรกันกับสมัยโบราณเลยสินะ
กู้เจียวครุ่นคิดอย่างจริงจัง “อืม คุณหนูหยวนไม่เลว ข้าชอบ แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือเจ้าต้องชอบเอง”
นางเอ่ยพลางมองไปยังกู้ฉังชิง
กู้ฉังชิงสูดหายใจลึก ก่อนเอ่ยอย่างเนิบช้า “ข้า…ไม่อยากแต่งงาน”
เขาไม่มีความคิดจะแต่งงานเลย
ท่านปู่กับท่านย่าดูภายนอกสนิทสนมกันดี แต่ความจริงไม่ใช่ ท่านพ่อกับมารดาของเขาไร้ซึ่งความรักของสามีภรรยาแม้แต่น้อย หากแต่งงานไปแล้วจะเป็นเหมือนพวกเขา เช่นนั้นเขายอมครองโสดเป็นตลอดชีวิตดีกว่า
กู้เจียวลูบคาง “มองไม่ออกเลยแฮะว่าเจ้าเป็นพวกครองตัวเป็นโสดน่ะ”