ตอนที่ 406 เหตุใดต้องเลียนแบบข้า ศักดิ์ศรีของเจ้าหายไปไหนหมด ?

อินทรีทองไม่อยากจับเจ้านกน้อยมาเป็นของว่าง ! ทว่าพวกกระต่ายป่า กวางป่ากับลูกกวางตัวน้อยต้องเจอกับภัยร้ายแทน นอกจากศัตรูบนพื้นดินแล้วยังมีนักฆ่าบนน่านฟ้าที่เดาอารมณ์ไม่ถูกเพิ่มมาอีกตัว

‘ปึก ! ’ กระต่ายป่าที่ยังสามารถขยับขาหลังได้บ้างถูกโยนลงมาข้างเท้าของหลินเว่ยเว่ย อินทรีทองบินไปเกาะบนกิ่งไม้แล้วทำความสะอาดขนของมันพลางใช้สายตาทวงบุญคุณมองมาที่หลินเว่ยเว่ย

หลินเว่ยเว่ยขุด ‘ฮิวมัส’ ได้เกือบเต็มสองตะกร้าแล้ว หลังหยิบกิ่งไม้ขึ้นมาจากพื้นนางก็ทำท่าขู่อินทรีทอง นกอินทรีรีบแสดงท่าทีว่ายอมแพ้ทันที จากนั้นก็บินลงจากต้นไม้แล้วมาเกาะบนไหล่ของนาง จากนั้นก็เริ่มเอาตัวมาถูแก้มนางอย่างประจบสอพลอ

นกแก้วตัวน้อยยังคงมุดเข้าไปในเสื้อผ้าของหลินเว่ยเว่ยโดยโผล่ให้เห็นแค่หัวน้อย ๆ ของมัน จากนั้นก็เริ่มมองอินทรีทองด้วยความดูแคลน…เหตุใดต้องเลียนแบบข้า ? ศักดิ์ศรีของเจ้าหายไปไหนหมด ?

หลินเว่ยเว่ยนำตัวกระต่ายป่าเก็บเข้ามิติน้ำพุวิญญาณ เนื่องจากพวกสัตว์เลี้ยงในบ้านเริ่มมีเยอะขึ้นเรื่อย ๆ อีกทั้งจะไม่ยอมกินเหยื่อที่ไม่ได้มาจากห้วงมิติ นางจึงต้องเก็บกระต่ายป่าไว้ในมิติน้ำพุวิญญาณเป็นเวลาหนึ่งวันก่อน เจ้าดำกับอินทรีทองตัวนี้ถึงจะยอมลดตัวมากิน…นางทำตามใจพวกมันล้วน ๆ !

‘แกรก แกรก…’ พุ่มไม้ที่อยู่ใกล้ ๆ ขยับ ปรากฏภาพเจ้าดำวิ่งเข้ามาด้วยความตื่นเต้นพร้อมกวางดาวที่ตัวใหญ่เท่ากับตัวของมัน

“ทำไม ? รังแกพี่น้องหมาป่าของเจ้าเสร็จแล้วก็เริ่มโผเข้าหาฝูงกวางแทนหรือ ? ตอนนี้เป็นฤดูใบไม้ผลิ คือช่วงผสมพันธุ์ของสัตว์ป่า อย่าไปทำร้ายพวกสัตว์บนเขาให้มาก เราต้องเป็นพลเมืองที่ดีและช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม ใส่ใจในการรักษาสมดุลของระบบนิเวศ การระบายสระน้ำเพื่อหาปลา1 เราจะไม่ทำเด็ดขาด ! ” หลินเว่ยเว่ยก้มหน้าสั่งสอนเจ้าดำ

ดวงตาของเจ้าดำมีสีดำสดใสเหมือนนิลกาฬ มันย่อตัวนั่งลงกับพื้นอย่างรู้งาน ท่าทางตั้งใจฟังคำสอนและยังทำท่าผงกหัวให้นางเป็นครั้งคราวราวกับว่าเข้าใจอย่างไรอย่างนั้น

เจียงโม่หานที่อ่านตำราอยู่ไม่ไกลจึงได้ยินเสียงพูดอันอ่อนโยนของนาง เขาเดินเข้ามาหา ทันใดนั้นก็เห็นภาพนกแก้วในหน้าอก อินทรีทองบนบ่าและยังก้มตัวสั่งสอนหมาป่าดำตัวหนึ่ง เขาจึงรู้สึกว่าอยากยกมือปิดหน้าขึ้นมา…นี่มันงานเปิดสวนสัตว์หรือไร !

ต่อจากนั้นหลินเว่ยเว่ยก็ยกตะกร้าใส่ ‘ฮิวมัส’ ขึ้นแล้วหันไปพูดกับบัณฑิตน้อยว่า “ไปเถิด กลับบ้านกัน ! เที่ยงนี้มีเนื้อกวางตุ๋นให้กิน…”

แม้จะกินเนื้อกวางในฤดูใบไม้ผลิที่มีสภาพอบอุ่นแบบนี้ก็ไม่กลัวว่าเนื้อจะเน่าเปื่อยได้ง่าย ! กินไม่หมดก็ไม่เป็นไร เพราะสามารถนำไปทำเนื้อกวางแผ่น เนื้อกวางแดดเดียว เนื้อกวาง…อย่างไรก็ไม่ปล่อยให้เน่าไปอย่างเสียเปล่าหรอก !

เจียงโม่หานทำท่าบอกให้นางวางตะกร้าลงแล้วส่งตำราในมือให้นาง ก่อนจะก้มตัวหิ้วตะกร้าขึ้นมาแทน…ในฐานะลูกผู้ชายแล้ว จะปล่อยให้คู่หมั้นทำงานหนักโดยไม่ช่วยเหลือได้อย่างไร ?

หลินเว่ยเว่ยกลัวว่าเขาจะเอวเคล็ดเสียจริง บัณฑิตน้อยเคยทำงานแบบนี้ที่ไหน ? นางจึงอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “บัณฑิตน้อย เจ้าอย่าฝืนเลย ให้ข้าทำเองเถิด…เฮ้ ช้าหน่อยสิ เจ้าไหวหรือเปล่า ? ”
เจียงโม่หานออกแรงยกตะกร้าไม้ไผ่สองใบขึ้นมาแล้วปรายตามองนาง “ต่อหน้าผู้ชายมาถามว่าไหวหรือเปล่า ถือเป็นการเหยียดหยามที่สุด ! ” ขณะพูดก็หิ้วตะกร้าลงจากหุบเขาอย่างมั่นคง

อย่างไรก็ตาม เขาเองก็เป็น ‘ผู้ชาย’ อายุ 16 ปีคนหนึ่ง ช่วงครึ่งปีมานี้กินดีอยู่ดี กอปรกับการออกกำลังกายโดยการเดินขึ้นเขาบ่อย ๆ จึงทำให้ยังพอมีแรงหิ้วตะกร้าแบบนี้ได้ ทว่าก็ยังต้องพักระหว่างทางหลายครั้ง ถึงจะนำตะกร้าลงเขาได้

หลินเว่ยเว่ยเดินตามเขาไปติด ๆ ประเดี๋ยวก็ช่วยเช็ดเหงื่อให้ ประเดี๋ยวก็ป้อนน้ำให้ ทั้งที่ไม่ได้เป็นคนหิ้ว แต่นางกลับเหนื่อยยิ่งกว่าการยกเองเสียอีก

หลิวต้าหยาที่อยู่ในแปลงนาข้าง ๆ พอเห็นใบหน้าอันหล่อเหลาของบัณฑิตเจียงมีสีแดงก่ำพร้อมหิ้วตะกร้าดินด้วยสภาพเหงื่อเต็มหน้า นางก็ตกใจทันที “เสี่ยวเว่ย เหตุใดเจ้าบังคับให้บัณฑิตเจียงทำงาน ? ถ้าเขาเหนื่อยจนเป็นอะไรขึ้นมาและพลาดการสอบในเดือนสี่ไปอีก เจ้าจะรับผิดชอบไหวหรือ ? ”

นางเพิ่งพูดจบ ป้ากุ้ยฮวาก็เข้ามาดึงหูทันที “เรื่องของพวกนางสองคน เด็กอย่างเจ้าไปยุ่งอะไรด้วย ? บัณฑิตเจียงคงทำใจทนเห็นเสี่ยวเว่ยทำงานหนักไม่ไหว เขาถึงได้เข้าไปช่วย แล้วคนนอกอย่างเจ้าเป็นเดือดเป็นร้อนอะไรด้วย ? ”

หลิวต้าหยาจับใบหูแล้วร้องโอดครวญ “บัณฑิตเจียงเคยทำงานหนักเมื่อใดกัน ? พอหมั้นกับเสี่ยวเว่ยแล้ว ข้าวสาลีก็ต้องเกี่ยว ข้าวโพดก็ต้องหัก ดินทำปุ๋ยหมักก็ต้องแบก…”

“พอหมั้นหมายแล้วก็ถือเป็นว่าที่ลูกเขยในอนาคต มาช่วยทำงานบ้านภรรยาก็มีออกถมเถไม่ใช่หรือ ? เจ้าดูซัวถัวนั่นสิ เขาก็ไปช่วยพรวนดินให้บ้านหยาเอ๋อร์ เฮ้อ เจ้าอย่าเอะอะมากเรื่อง รีบผสมปุ๋ยต่อสิ เดี๋ยวยังต้องพลิกหน้าดินอีกรอบ ถ้าเจ้าว่างมากก็ไปถอดรากหญ้า ไป๊ ! ” ป้ากุ้ยฮวาปล่อยมือจากใบหูของบุตรสาวแล้วเคาะที่ศีรษะนางแรง ๆ

หลิวต้าหยาหันไปถลึงตาใส่เสี่ยวถู่โต้วที่กำลังมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น ขณะเดียวกันปากก็บ่นพึมพำว่า “เจ้าว่าเหตุใดบัณฑิตเจียงจึงชอบนางเด็กโง่จอมเผด็จการนั่น ? รอให้เขาสอบซิ่วไฉได้เมื่อใด คุณหนูในเขตและในอำเภอเหล่านั้นจะไม่มาให้เขาเลือกจนไม่หวาดไม่ไหวหรอกหรือ…”

ป้ากุ้ยฮวารีบหันไปถลึงตาใส่นาง “พูดจาเหลวไหลอะไร ? เจ้าจะสนว่าบัณฑิตเจียงเลือกใครทำไม ? เพราะอย่างไรเขาก็ไม่เลือกเจ้าอยู่แล้ว ! ”

หลิวต้าหยาที่เป็น ‘แฟนคลับ’ ตัวยงของบัณฑิตเจียงก็รีบพูดเสียงอ่อนทันที “ข้าแล้วทำไมเจ้าคะ ? แม้ข้าจะไม่เก่งเหมือนเสี่ยวเว่ย ไม่ได้งดงามเหมือนนาง แต่อย่างน้อยตอนเด็กก็ไม่เคยโง่…”

“ต้าหยา เจ้าไม่โง่แล้วเหตุใดไม่มีปัญญาทำเนื้อแผ่น ? เหตุใดไม่มีสูตรทำเมล็ดสนปากอ้า ? เหตุใดทำอาหารไม่อร่อย ? ” พี่คนรองของหลิวต้าหยาอดไม่ได้ที่จะบ่นนาง

เสี่ยวถู่โต้วน้องชายคนเล็กก็ทำหน้าทะเล้นใส่ “ท่านพี่ อย่าว่าแต่บัณฑิตเจียงเลือกพี่รองหลินเลย หากข้ามีโอกาสเลือกได้บ้างก็จะแลกพี่สาวกับเอ้อร์ฮว๋าเหมือนกัน…”

หลิวต้าหยาโมโหจนหน้าบูดบึ้ง “ท่านแม่เจ้าคะ ! ท่านดูพี่รองกับน้องห้าสิ หันศอกไปหาคนนอกหมดแล้ว ! ”

ป้ากุ้ยฮวานำดินก้อนมาทุบด้วยจอบ ก่อนจะขานตอบโดยที่ไม่เงยหน้าขึ้นมอง “อย่าว่าแต่เสี่ยวถู่โต้วเลย แม้แต่ข้าก็อยากแลกลูกสาวที่เอาแต่คิดเพ้อเจ้อทั้งวันแบบเจ้า ! ”

“ท่านแม่ ! ” หลิวต้าหยาโมโหจนโยนพลั่วในมือทิ้งแล้วปิดหน้าร้องไห้วิ่งลงจากเขาทันที

เสี่ยวถู่โต้วยังตะโกนไล่หลัง “ท่านพี่ ท่านตั้งใจใช่หรือไม่ ? ใช้โอกาสนี้แอบอู้งาน ! ”

หลิวต้าซวนกำลังพลิกกองปุ๋ยและใส่วัตถุเร่งการหมักปุ๋ยลงไป เมื่อเห็นเหตุการณ์แบบนี้แล้ว เขาก็อดเห็นใจบุตรสาวไม่ได้ “พวกเจ้าก็รังแกต้าหยาให้น้อยหน่อย เจ้าดูอย่างต้าฮว๋ากับเอ้อร์ฮว๋าของตระกูลหลินสิ พวกเขาดีต่อพี่สาวจะตายไป เชื่อฟังทุกอย่าง ! ”

บุตรชายคนรองของหลิวต้าซวนหัวเราะดังลั่น “หากต้าหยาเก่งเหมือนเสี่ยวเว่ย ข้าก็จะเชื่อฟังนางทุกอย่างขอรับ…”

หลังเก็บตัวหนอนออกจากดินที่ขุดแล้ว เสี่ยวถู่โต้วก็รีบวิ่งมาหาเจ้าหนูน้อยแล้วรีบยัดมันลงในโถ “เอาไปเลี้ยงไก่ ! ”

เพราะบนเขามีพังพอนเยอะมาก คนในหมู่บ้านที่เลี้ยงไก่จึงมีอยู่แค่ไม่กี่หลัง ตั้งแต่บ้านสกุลหลินเลี้ยงเจ้าดำก็ไม่เคยเห็นร่องรอยของพังพอนอีกเลย พวกหวงต้าเซียนตัวน้อย (วงศ์เพียงพอน) ที่ชอบให้เจ้าหนูน้อยเอาเนื้อกบมาวางให้ก็หายไปเช่นกัน

มู่เกินเอ๋อร์ก็วิ่งเข้ามาพร้อมหนอนตัวไม่อวบอ้วนสองสามตัว เขาพูดกับเจ้าหนูน้อยด้วยความตื่นเต้น “ข้าเห็นหญ้าที่เชิงเขาเริ่มมีสีเขียวแล้ว สามารถใช้เลี้ยงกระต่ายได้แล้วหรือยัง ? ”

คนที่ช่วยเกี่ยวหญ้าให้เจ้าหนูน้อยจะได้กินเนื้อเป็นของรางวัล ! หลังได้ลิ้มรสชาติไปสองสามครั้งแล้ว มู่เกินเอ๋อร์ก็เปลี่ยนมาเป็นคนขยันกว่าใครในกลุ่มทันทีและคนที่แลกเนื้อได้เยอะที่สุดของแต่ละเดือนก็คือเขาเอง !

[i]
1 ระบายสระน้ำเพื่อหาปลา หมายถึง ไม่สนใจผลประโยชน์ในระยะยาวเพียงเพื่อหวังผลประโยชน์ระยะสั้น