ตอนที่ 405 ไม่เกี่ยวว่าแก่หรือเด็ก พูดถึงแค่ถูกผิด

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

ตอนที่ 405 ไม่เกี่ยวว่าแก่หรือเด็ก พูดถึงแค่ถูกผิด

หลังกินเกี๊ยวและลูกชิ้นปลาเสร็จแล้ว ผู้อาวุโสเซวียไม่ได้ให้ลูกศิษย์และศิษย์หลานไปพลิกหน้าดินต่อ แต่ให้พวกเขามานั่งฟังเจียงโม่หานถกเรื่องวิชาความรู้ สิ่งที่ทำให้บัณฑิตหยวนประหลาดใจก็คือเด็กหนุ่มรูปงามตรงหน้าคนนี้ ไม่เพียงโดดเด่นด้านรูปลักษณ์ภายนอก แต่ด้านวิชาความรู้ยังล้ำเลิศยิ่งกว่าตัวเขาที่ได้อาจารย์ผู้มีชื่อเสียงสั่งสอนมาหลายสิบปี ให้ความรู้สึกเหมือนภูผาสูงตระหง่านและยากจะหยั่งถึง

เจียงโม่หานก็ถือโอกาสนี้นำประเด็นที่ตนยังไม่กระจ่างมาปรึกษาผู้อาวุโสเซวีย

ขณะมองบัณฑิตรูปงามและท่านอาจารย์ถกเถียงกันจนมีสีหน้าแดงก่ำและลำคอก็มีเอ็นปูดออกมา แต่บัณฑิตหยวนไม่มีจังหวะให้ได้พูดแทรกเลย เขาจึงตระหนักได้ทันทีว่าคนผู้นี้จะต้องเป็นมังกรในหมู่มวลมนุษย์อย่างแน่นอน

“เจ้าเด็กแซ่เจียง ! เข้าใจสิ่งที่เรียกว่าเคารพผู้อาวุโสหรือไม่ ? ” ผู้อาวุโสเซวียถลึงตาโตและสะบัดหน้าใส่

เจียงโม่หานตอบกลับ “การถกเถียงเรื่องวิชาความรู้ไม่เกี่ยวว่าแก่หรือเด็ก พูดถึงแค่ถูกผิดขอรับ ! ”

“มั่นใจได้อย่างไรว่าความคิดของเจ้าถูกต้องแล้ว ? ” ผู้อาวุโสเซวียตบโต๊ะอย่างไม่ยอมแพ้

เจียงโม่หานอธิบายว่า “ข้อโต้แย้งของข้ายังหาเหตุผลมาตรวจสอบได้ แต่ความคิดของท่านลำเอียงไม่เที่ยงธรรม ! ”

เฮอะ ! ทั้งสองจึงเริ่มถกเถียงกันอย่างดุเดือดอีกรอบ ! ท้ายที่สุดผู้อาวุโสเซวียก็ยอมแพ้…

หลังส่งเจียงโม่หานออกไปแล้ว บัณฑิตหยวนก็มองเห็นความชื่นชมได้จากแววตาของท่านอาจารย์ เขาจึงพูดขึ้นว่า “ท่านอาจารย์ขอรับ ศิษย์กำลังจะมีศิษย์น้องเพิ่มอีกคนหรือไม่ ? ”

หยวนเจี๋ยที่ไม่พูดไม่จามาโดยตลอดพลันรู้สึกงุนงงขึ้นมา “…” หรือเขาจะต้องมีอาจารย์อาที่อายุอ่อนกว่าแค่ไม่กี่ปีเพิ่มขึ้นมาหนึ่งคน ? ขณะกำลังจะเปิดปากพูดบ้าง…

ผู้อาวุโสเซวียก็ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “อาจารย์ไม่มีสิ่งใดจะสอนเขาได้แล้ว ขอไม่ทำร้ายเขาโดยการรับเป็นศิษย์จะดีกว่า เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ สหายน้อยของอาจารย์คนนี้ หากเข้าสู่ราชสำนักแล้ว วันหน้าจะต้องประสบความสำเร็จไม่ด้อยไปกว่าเจ้าแน่นอน หากเขาตั้งใจเพียรศึกษาก็จะต้องอยู่เหนือตาแก่อย่างอาจารย์คนนี้เป็นแน่…ไม่ไหว ไม่ไหว ! คนรุ่นใหม่ย่อมมีความสามารถมากกว่า ! ”

บัณฑิตหยวนรู้สึกว่าอาจารย์พูดเกินจริงไปหน่อย…ก็แค่เด็กหนุ่มอายุ 15-16 ปีคนหนึ่ง ความเปลี่ยนแปลงในวันข้างหน้าจะมีสักเท่าไรกันเชียว กำหนดไว้ตั้งแต่ตอนนี้จะไม่ด่วนตัดสินเกินไปหน่อยหรือ ?

จู่ ๆ ก็มีแสงสว่างวาบเข้ามาในหัวใจบัณฑิตหยวน “ท่านอาจารย์ขอรับ สหายน้อยท่านนี้แซ่เจียงใช่หรือไม่ ? ไม่ทราบว่าเขามีส่วนเกี่ยวข้องอันใดกับบัณฑิตถงเซิงแซ่เจียงที่สร้างกังหันน้ำกระดูกมังกรขอรับ ? ”

“สหายเจียงก็เป็นบัณฑิตถงเซิงเหมือนกัน แต่บัณฑิตเจียงคนนี้อาจไม่ใช่บัณฑิตเจียงคนนั้นก็ได้ ! ” ผู้อาวุโสเซวียหัวเราะคิกคักอย่างมีความสุข ก่อนจะหันไปพูดกับลูกศิษย์และศิษย์หลานว่า “พักผ่อนเพียงพอแล้วใช่หรือไม่ ? เช่นนั้นก็ไปทำงานต่อ ! วันนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องพลิกหน้าดินตรงเนินเขาให้เสร็จ ! ”

หยวนเจี๋ยโอดครวญในใจและอดไม่ได้ที่จะถามว่า “อาจารย์ปู่ขอรับ หากพลิกหน้าดินตรงนั้นแล้ว ท่านจะปลูกอะไรขอรับ ? ”

“ปลูกอะไรน่ะหรือ ? ” ผู้อาวุโสเซวียครุ่นคิดอย่างจริงจัง แต่สุดท้ายก็ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “เรื่องนี้…อาจารย์ปู่ก็ยังไม่รู้ ใช้แรงงานที่ไม่ต้องจ่ายค่าจ้างอย่างพวกเจ้าเสร็จแล้วค่อยว่ากันอีกที ! ”

ฤดูใบไม้ผลิในเดือนสาม ทางใต้เต็มไปด้วยสีเขียวขจี แต่ผืนดินทางเหนือเพิ่งคลายตัวจากการเกาะกุมของน้ำแข็ง ฤดูใบไม้ผลินำพามาซึ่งความหวัง ทางหมู่บ้านฉือหลี่โกวก็เริ่มเตรียมการเพาะปลูกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

พืชผลในไร่มีความอวบอ้วนขึ้นด้วยปุ๋ยคอก ปุ๋ยคอกที่ถูกหมักไว้เป็นเวลาหนึ่งปีถูกนำออกมาตากแดดและนำเศษซากพืชมาทับถมเพื่อหมักเป็นครั้งสุดท้าย

เมื่อเอ่ยถึงปุ๋ยคอก แน่นอนว่าต้องเป็นบ้านตระกูลหลินที่เก็บสะสมไว้เยอะที่สุด ช่วงที่มีเยอะคือช่วงที่คอกกระต่ายของเจ้าหนูน้อยมีจำนวนหนึ่งถึงสองร้อยตัว แค่ทำความสะอาดคอกในแต่ละวันก็ได้มูลกระต่ายมาเป็นกองแล้ว พวกมันจะถูกโยนลงในบ่อส้วมซึม

ในเวลานี้ชาวบ้านนำมูลของทั้งคนและสัตว์ รวมถึงใบไม้กับวัชพืชที่ขนออกจากหุบเขามาผสมตามสัดส่วนแล้วเติมน้ำลงไป จากนั้นก็นำไปกองไว้บนพื้น พยายามพลิกกลับบนล่างเป็นระยะ หลังจากพลิกกลับได้ประมาณ 2-3 ครั้งแล้วกระบวนการหมักก็แทบจะเสร็จสมบูรณ์ ส่วนปุ๋ยคอกที่หมักไม่สมบูรณ์จะทำให้เกิดโรครากเน่าและพืชเหี่ยวตายได้

ขั้นตอนการทำปุ๋ยหมักจึงทำให้หลินเว่ยเว่ยรู้สึกว่าชีวิตไร้ความหมายขึ้นมาทันที นางเหม็นจะตายอยู่แล้ว ไม่ว่าดมอะไรก็ได้แต่กลิ่นอุจจาระ ท้ายที่สุดจึงได้หลิวต้าซวนสองพ่อลูกมาช่วยหมักปุ๋ยให้

เป็นธรรมดาที่หลินเว่ยเว่ยจะไม่ให้บ้านป้ากุ้ยฮวาทำงานโดยไร้ค่าตอบแทน บ้านนางมีปุ๋ยมากแต่มีที่นาแค่ 3 หมู่ ปุ๋ยที่เหลืออยู่จึงตกไปเป็นของบ้านป้ากุ้ยฮวาแล้วก็ยังมีตอนไถพรวนดินก็เป็นช่วงเวลาที่นางจะแสดงฝีมือ คนแรงเยอะอย่างนางสามารถทำงานได้ดีกว่าวัวในหมู่บ้าน แค่วันเดียวนางก็พรวนดินของทั้งสองบ้านเสร็จแล้ว !

แม้ว่าปุ๋ยคอกของบ้านจะยังหมักไม่ได้ที่ แต่ในหุบเขาไม่เคยขาดแคลนสารอินทรีย์ที่เกิดจากการทับถมของซากพืชซากสัตว์ (ฮิวมัส) หลินเว่ยเว่ยใช้กลโกงของมิติน้ำพุวิญญาณขนออกมาจำนวนมาก จากนั้นก็ผสมมันกับฟางข้าวสาลีของปีที่แล้ว หลังเผาเมล็ดหญ้าและไข่หนอนแมลงวันไปพอประมาณ นางก็กระจายมันบนพื้นดินแล้วพรวนดินทับอีกที ต่อจากนั้นที่ดินซึ่งเคยแห้งแล้งของตระกูลหลินก็กลายเป็นแปลงนาแสนอุดมสมบูรณ์จนคนอิจฉา

พอคนอื่นผ่านมาเห็นก็ทำตามบ้าง ทว่าพากันไปถึงถิ่นของจ่าฝูงหมาป่าเจ้าเทา…ป่าสนแดงถูกขุดดินเป็นหลุมไปเสียทุกที่ ก็ใครใช้ให้คิดว่าที่นี่เป็นสถานที่ปลอดภัยมากกันเล่า ?

จ่าฝูงเจ้าเทาโมโหจนแทบอยากจะกัดมนุษย์…ช่วงฤดูใบไม้ร่วงเข้ามากวนพวกมันก็ช่างเถิด แต่ช่วงฤดูใบไม้ผลิที่แสงแดดสว่างสดใสก็ยังจะมากวนพวกมันอีก เห็นฝูงหมาป่าของมันรังแกง่ายนักหรือ ?

มันจึงจงใจทิ้งร่องรอยให้พวกชาวบ้านเห็น หรือแม้แต่ทำเสียงอันดุร้ายให้มนุษย์เหล่านี้ตกใจ แต่ใครจะรู้ว่าชาวบ้านไม่กลัวเลย ตรงกันข้ามยังพยักหน้ามาทางพวกมันด้วยความตื่นเต้นยินดี…ชาวบ้านฉือหลี่โกวล้วนเห็นพวกมันเป็นสัตว์มงคลในหุบเขาที่ไม่กินคนและยังเป็นเทพเจ้าคอยปกปักรักษาหมู่บ้านอีกด้วย

จ่าฝูงเจ้าเทากัดฟันกรอด…ลองกัดมนุษย์ให้บาดเจ็บสักสองสามคนเพื่อแสดงบารมีของพวกมันดีหรือไม่ ? แต่ผลที่ตามมาคือต้องโดนงดน้ำแร่วิญญาณแน่นอน ช่างเถิด ไม่ว่าอย่างไรตอนกลางวันพวกมันก็ออกล่าเหยื่อ เมื่อตาไม่เห็นก็ใจสงบ !

ส่วนเจ้าดำมีอายุได้ 5 เดือนกว่าแล้ว อาจเพราะร่างกายไม่สมบูรณ์ตั้งแต่กำเนิด ร่างกายของมันจึงดูเล็กกว่าหมาป่ารุ่นเดียวกันเล็กน้อย แต่พละกำลังไม่น้อย ทุกครั้งที่มันตามเจ้านายขึ้นเขาก็จะวิ่งไปหาฝูงหมาป่าอย่างมีความสุข แล้วรังแกลูกหมาป่าที่อายุไล่เลี่ยกับมันเรื่อยไป

แม้แต่หมาป่าที่กำลังจะโตเต็มวัยก็ใช้ความคล่องแคล่วและสติปัญญาเข้าต่อสู้กับอีกฝ่าย พี่น้องหมาป่าครอกเดียวกับมันต้องทรมานอย่างหนัก เพราะแต่ละครั้งจะโดนบีบบังคับให้สู้กับมันและก็จะโดนเจ้าดำทรมานร่ำไป ความรู้สึกนี้ช่าง…หากไม่ใช่น้ำแร่วิญญาณสักถ้วยก็ชดเชยไม่ได้ !

“เจ้าดำไปทะเลาะมาอีกแล้ว เจ้าดำไปทะเลาะกลับมาอีกแล้ว ! ” ตอนที่เจ้าดำกลับมาพร้อมชัยชนะ หงส์แดงนกแก้วที่มีขนสวยงามแล้วก็เริ่มทำตัวขี้ฟ้อง “ตัวเปื้อนไปหมด ต้องกักบริเวณ ! ”

เจ้าดำปรายตามองมันอย่างรำคาญและในแววตายังแฝงไปด้วยเล่ห์เหลี่ยม เจ้านกน้อยจึงตกใจกระพือปีกบินขึ้นสูงทันที “เจ้านาย ช่วยด้วย ! เจ้าดำจะฆ่านกแล้ว ! ”

ทันใดนั้นมันก็ต้องตกใจเพราะนักล่าขนทองอีกตัว มันรีบบินเข้าไปซุกอกหลินเว่ยเว่ยทันที ขณะขยับก้นขึ้นไปที่ปกคอเสื้อของนางมันก็ตะโกนออกมาว่า “ช่วยด้วย ยังจะเหลือที่ให้นกรอดอีกหรือไม่ ! ”

ตั้งแต่หลินเว่ยเว่ยพาอินทรีทองกลับมา เจ้าหงส์แดงที่อยู่ล่างสุดของห่วงโซ่อาหารก็รู้สึกว่าชีวิตไร้ความหมายขึ้นมาทันที มันมักรู้สึกว่าต้องมีสักวันที่วิญญาณจะต้องดับสลายในปากของลูกหมาป่าสีดำหรือไม่ก็เปลี่ยนเป็นอาหารเลิศรสของอินทรีทอง…โลกช่างน่ากลัว มันจะกลับดาวบ้านเกิดแล้ว…

ครึ่งเดือนผ่านไป บาดแผลตรงปีกของอินทรีทองก็ฟื้นตัวได้พอสมควร มันจึงกลายเป็นเจ้าแห่งขุนเขา ฝูงนกบนน่านฟ้าหมู่บ้านฉือหลี่โกวแทบหายไปทั้งสิ้น…เพราะโดนทำให้ตกใจจนบินหนีไปแล้ว