ตอนที่ 412

My Disciples Are All Villains

ไม่นานหลังจากนั้นสีวู่หยาก็ได้ออกจากถ้ำแห่งเงาสะท้อนมาพร้อมๆ กับสาวหญิง ตัวเขาได้เดินมาที่ศาลาตะวันออก ระหว่างทางสีวู่หยาได้ถามไปที่ผู้ฝึกยุทธหญิงคนนั้น “ตอนนี้เจ้าแห่งวังจันทราอยู่ไหนกัน?”

ผู้ฝึกยุทธหญิงโค้งคำนับให้อย่างเร่งรีบก่อนที่จะพูดออกมา “ท่านศิษย์คนที่เจ็ด…ไม่มีเจ้าแห่งวังจันทราที่ศาลาปีศาจลอยฟ้าอีกต่อไป ท่านศิษย์คนที่หกถูกท่านปรมาจารย์เนรเทศออกจากศาลาปีศาจลอยฟ้าเมื่อนานมาแล้ว จนถึงตอนนี้ก็ไม่ได้ข่าวนางอีกเลย ครั้งสุดท้ายที่พวกเราได้ยินข่าวนางก็ตอนที่นางได้สังหารหนูขโมยทั้งห้าและส่งชุดคลุมวิถีเซนกลับคืนมายังศาลาปีศาจลอยฟ้า หลังจากเรื่องราวครั้งนั้นพวกเราก็ไม่เคยได้ยินข่าวจากนางอีกเลย”

“ไม่เคยได้ยินข่าวนับตั้งแต่นั้นอย่างงั้นหรอ?” สีว่าหยาหยุดเดินกลาง ตัวเขากำลังนึกถึงข้อมูลที่ได้รับมาก่อนหน้านี้ ท้ายที่สุดแล้วตัวเขาก็เดินมาถึงศาลาทางทิศตะวันออก สีวู่หยาต้องการที่จะถามถึงสถานการณ์ศาลาปีศาจลอยฟ้า แต่เมื่อเดินทางมาถึงแล้วตัวเขาก็ได้แต่ผลักความคิดนั้นไป

ผู้ฝึกยุทธหญิงที่ทำธุระเสร็จรีบพูดลา “ข้าขอตัวก่อน”

สีวู่หยาเดินสำรวจรอบๆ ศาลาทางตะวันออก เวลาได้ผ่านพ้นไปนานแล้ว ดูเหมือนจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลย สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปมีเพียงตัวเขาเท่านั้น สีวู่หยาไม่ใช่เด็กอีกต่อไป และอาจารย์ของเขาก็ไม่ใช่อาจารย์ที่ตัวสีวู่หยาเองเคยรู้จักเช่นกัน

สีวู่หยาเข้ามาที่ศาลาทางตะวันออก ตัวเขาได้เอ่ยปากพูดเมื่ออยู่ที่ด้านนอกห้องของลู่โจว “ท่านอาจารย์ ข้ามาแล้ว”

ไม่มีเสียงตอบรับจากภายในห้อง

พรึ๊บ!

ประตูห้องถูกเปิดออกด้วยคลื่นพลัง

สีวู่หยาเข้าใจดีว่ามันคืออะไร ตัวเขารีบเข้าไปที่ด้านใน เมื่อเข้าไปที่ด้านในสีวู่หยาก็พบกับห้องโถงที่กว้างขวาง มันดูสะดวกสบายและเต็มไปด้วยวิวทิวทัศน์ของหุบเขาอันสวยงาม ที่ใจกลางห้องมีโต๊ะตัวหนึ่งตั้งอยู่ มันไม่มีแม้แต่กระถางธูปที่จะมีเครื่องหอมวางเอาไว้ รอบห้องยังมีหนังสือต่างๆ และงานเขียนอักษรประดับตกแต่ง

“แม้จะออกทะเล แต่ดวงจันทร์ก็ยังคงงดงาม แม้ว่าจะห่างกันไกลกว่าหลายไมล์ แต่ก็ยังแบ่งปันช่วงเวลาเดียวกันได้” ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่างที่ไม่อาจทราบสาเหตุสีวู่หยารู้สึกหัวใจเต้นแรงเมื่อได้อ่านบทกวีบทนี้ คนฉลาดอย่างสีวู่หยารู้ดีว่ามันหมายถึงอะไร ตัวเขาตกใจเกินกว่าที่จะพูดอะไรออกมา สีวู่หยากลืนน้ำลายในขณะที่จ้องมองลู่โจวกำลังนั่งทำสมาธิ ดวงตาของลู่โจวปิด หลังจากที่ตั้งสติได้สีวู่หยาก็เป็นฝ่ายเริ่มพูดออกมา “ท่านอาจารย์”

ลู่โจวลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ สายตาของเขาจับจ้องไปที่สีวู่หยา “เจ้าไม่ละอายแก่ใจที่จะเรียกข้าว่าอาจารย์อย่างงั้นเหรอ?”

“…” สีวู่หยารู้สึกกระวนกระวาย ตัวเขาเริ่มรู้สึกประหม่าในแบบที่ไม่เคยเป็นมานาน หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งตัวเขาก็เลือกที่จะคุกเข่าลงอย่างเชื่อฟัง

ลู่โจวได้ถามออกมาด้วยสีหน้าที่ไร้อารมณ์ “บอกข้ามา…เหตุใดเจ้าถึงเลือกที่จะออกจากศาลาปีศาจลอยฟ้า?

สีวู่หยาได้ตอบกลับไปอย่างจริงจัง “ข้าจะรู้ถึงความสามารถที่แท้จริงของข้าได้ ก็มีแต่จะต้องออกจากศาลาปีศาจลอยฟ้าเท่านั้น”

“ด้วยความเฉลียวฉลาดของเจ้านั่นเหรอ?” ลู่โจวยังคงถามต่อ

“…” สีวู่หยาหยุดคิดไปอีกชั่วครู่ “ข้าคิดว่าข้าสามารถทำได้?”

“เจ้าคิดว่าอะไรกัน?”

สีวู่หยาพูดตอบ “ตอนนี้มณฑลทั้งเก้าของดินแดนหยานอันยิ่งใหญ่ตกอยู่ในความวุ่นวาย…ในตอนนี้สิ่งที่ต้องการมีเพียงเวลาเท่านั้น เมื่อเวลาผ่านพ้นไปทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องล่มสลายแน่ ราชวงศ์แห่งดินแดนหยานจะต้องถูกโค่น ถ้าหากถูกมณฑลทั้งเก้าล้อมรอบเอาไว้ แม้แต่เขตแดนพลังทั้งสิบที่เป็นพลังปกป้องเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ก็จะไม่มีประโยชน์อะไรอีกต่อไป เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์จะถูกปล่อยให้โดดเดี่ยวและไร้ซึ่งความช่วยเหลืออีกต่อไป ในตอนนี้ผลแพ้ชนะมันก็ขึ้นอยู่กับเวลาแล้ว! หนึ่งปี…ใช่แล้ว อีกแค่หนึ่งปีเท่านั้น!”

พรึ๊บ!

ลู่โจวได้ใช้พลังฝ่ามืออย่างกะทันหัน!

ผั๊วะ!

พลังฝ่ามือได้กระแทกไปทั่วใบหน้าของสีวู่หยา

“ติ้ง! ลงโทษสีวู่หยา ได้รับรางวัลแต้มบุญ: 200”

แม้ว่าจะเป็นวายร้าย แต่ถ้าหากได้รับการสั่งสอนที่ถูกที่ควร สีวู่หยาจะต้องเปลี่ยนไปได้แน่

สีวู่หยาที่ถูกตบหยุดพูดไปในทันที

ลู่โจวได้ถอนหายใจก่อนที่จะพูดออกมา “เจ้าน่ะประเมินพลังตัวเองสูงเกินไป ในตอนที่ข้าได้รู้จักกับจักรพรรดิหย่งโชว ในตอนนั้นเจ้ายังไม่เกิดด้วยซ้ำไป! เจ้าคิดว่าเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์คือทุกสิ่งทุกอย่างที่หย่งชิงมีอย่างงั้นหรอไงกัน?”

สีวู่หยาเงยหน้าขึ้นก่อนที่จะสบตาลู่โจว “ข้าที่ร่วมมือกับศิษย์พี่ใหญ่ย่อมรู้ถึงจุดอ่อนทุกอย่างเกี่ยวกับผู้ฝึกยุทธผู้ที่มีพลังดอกบัวแปดกลีบ…ไม่ว่าจะเป็นแม่ทัพทั้งหลายรวมไปถึงทหารองครักษ์ทั้งแปดของจักรพรรดิ พวกเขาก็ไม่มีทางที่จะออกจากเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ได้”

“แล้วเจ้ารู้ทุกอย่างเกี่ยวกับเรื่องราวของราชวงศ์อย่างงั้นเหรอ?” ลู่โจวถามต่อ

เสียงของสีวู่หยาที่ตอบกลับมาฟังดูนุ่มนวล “หลังจากที่ข้าได้ออกจากศาลาปีศาจลอยฟ้าไป ข้าก็ได้เข้าไปที่พระราชวัง และด้วยความโชคดีข้าจึงได้กลายเป็นราชครูใหญ่อยู่ภายในนั้น”

ลู่โจวที่ได้ฟังแบบนั้นได้พูดออกมาอย่างไร้ปรานี “นั่นไม่ใช่ทั้งหมดที่เจ้ารู้หรอก เจ้าก็แค่สร้างความประทับใจอันดิให้กับหย่งหนิงก็เพื่อที่จะหลอกใช้นางให้หาข่าวจากพระราชสำนักให้”

“ข้าไม่ได้ใช้นาง!” สีวู่หยาตอบกลับมาอย่างมีอารมณ์

ลู่โจวมองไปที่สีวู่หยาอย่างเงียบๆ ‘ไม่ได้ใช้นางอย่างงั้นหรอ? เจ้าน่ะน่าจะรู้คำตอบดีสุดแล้ว’

เป็นธรรมชาติของมนุษย์ ยิ่งมีคนว่าร้ายตนมากเท่าไหร่ ก็เป็นธรรมดาที่คนคนนั้นจะปฏิเสธ และยิ่งมีคนว่าร้ายเท่าไหร่ คนที่ถูกว่าร้ายก็มักจะหาเหตุผลมาหักล้างให้มากขึ้นเท่านั้น มันคงจะเป็นเรื่องที่ดีกว่าที่จะยุติการโต้เถียงที่ไร้ความหมายแบบนี้

สีวู่าหยาเองก็เงียบไป

หลังจากนั้นครู่หนึ่งลู่โจวก็ได้ลูบเคราของตัวเองก่อนที่จะพูดออกมา “เจ้าก็รู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้นกับยู่ฉางตง ข้าจะไม่เล่าให้เจ้าได้ฟังอีก”

เมื่อได้ยินชื่อนั้นหัวใจของสีวู่หยาก็เต้นไม่เป็นจังหวะ

“ตอนนี้คริสตัลความทรงจำของข้าอยู่ที่ไหนกัน?” ลู่โจวยังคงถามคำถามต่อ

สีวู่หยาคิดเอาไว้แล้วว่าตัวเขาจะต้องถูกถาม ดวงตาของสีวู่หยาเบิกกว้างขึ้นก่อนที่จะรีบส่ายหัวปฏิเสธ “ข้าไม่รู้”

“เจ้าจะบอกว่ายู่ฉางตงกำลังโกหกข้าอย่างงั้นเหรอ?”

“เอ่อ…”

“เจ้าจะไม่บอกข้าอย่างงั้นสินะ?” ลู่โจวลุกขึ้นยืน ตัวเขาเอามือไขว้หลังก่อนที่จะเหลือบมองไปที่สีวู่หยาด้วยความกดดัน

ความกดดันของลู่โจวใช้ได้ผลกับสีวู่หยาเป็นอย่างดี ในตอนนี้ตัวเขารู้สึกหายใจติดๆ ขัดๆ “ท่านอาจารย์…ได้โปรดเชื่อข้าเถอะ ท่านเป็นผู้ปิดผนึกคริสตัลนั่นไว้ด้วยตัวเอง ท่านไม่ต้องการที่จะให้ใครคนอื่นได้รู้เรื่องนี้ ท่านไม่อยากที่จะให้ใครรู้เรื่องเกี่ยวกับตัวท่านเอง ทำไมท่านอาจารย์ถึงอยากที่จะตามหามันอีกครั้งหลังจากที่ต้องผ่านปัญหามากมายกว่าที่จะผนึกความทรงจำไว้ได้?”

“ข้าเปลี่ยนใจแล้ว” ลู่โจวตอบออกไปตรงๆ

“ที่ท่านเปลี่ยนใจก็เพราะว่าท่านไม่มีความทรงจำเดิม ถ้าหากท่านฟื้นฟูความทรงจำได้…ท่านจะต้องเสียใจอย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น…” สีวู่หยาหยุดพูดชั่วครู่ก่อนที่จะกัดฟันพูดต่อ “ยิ่งไปกว่านั้นท่านอาจารย์ควรจะใช้ชีวิตในบั้นปลายอยู่อย่างสงบสุขจะดีกว่า ข้าสัญญาว่าข้าจะดูแลท่านเป็นอย่างดี…” สีวู่หยาที่พูดแบบนั้นได้โค้งคำนับให้ลู่โจว

“เจ้ากำลังคิดว่าข้าตัดสินใจผิดพลาดและยังจะบอกว่าข้าจะตายในเร็วๆ นี้ด้วยสินะ เจ้าบอกว่าข้าควรที่จะปล่อยวาง…ปล่อยให้พวกเจ้าทุกคนทำตามที่ใจปรารถนาอย่างงั้นสินะ?” ลู่โจวได้ถามออกมา

สีวู่หยาผงะ แต่ถึงแบบนั้นตัวเขาก็ตอบโต้ไปอย่างรวดเร็ว “ถ้าหากท่านตีความคำพูดของข้าว่าเป็นเช่นนั้น ก็แล้วแต่ท่านอาจารย์เถอะ!”

“สามหาว!” ลู่โจวสะบัดแขนเสื้อของตัวเองอย่างเกรี้ยวกราด

พลังฝ่ามือได้กระแทกไปที่ตัวของสีวู่หยาก่อนที่ตัวเขาจะกระเด็นไปกระแทกกับประตู

ตู๊ม!

สีวู่หยาล้มตัวลงนอนอยู่ที่ห้องโถงศาลาทางตะวันออก

ลู่โจวสะบัดแขนเสื้ออีกครั้ง พลังฝ่ามืออีกพลังได้ล่องลอยไปในอากาศ

ตู๊ม!

สีวู่หยากระเด็นจนไปถึงบันได

ลู่โจวในตอนนี้ไม่มีอารมณ์ที่จะเฝ้ามองการแจ้งเตือนจากระบบอีกต่อไป ตัวเขารู้สึกว่าอารมณ์ของตัวเองกำลังพลุ่งพล่าน มันเป็นอารมณ์ที่ใกล้เคียงกับความโกรธมาก หลังจากที่ลงโทษสีวู่หยาหลายครั้งติดต่อกันในที่สุดลู่โจวก็หยุดเคลื่อนไหว

จู่ๆ ตัวเขาก็คิดสงสัยขึ้นมา…ถ้าหากตัวเขาหลอมรวมเข้ากับความทรงจำทั้งหมดของจีเทียนเด๋าจริง ความทรงจำนั้นจะส่งผลอะไรกับตัวเขาไหม? ลู่โจวจะยังเป็นลู่โจวอยู่ หรือตัวเขาจะกลับกลายไปเป็นจีเทียนเด๋าเหมือนกับในอดีตกัน?

ลู่โจวไม่มีทางเลือกอื่นเหลืออยู่ ตัวเขาได้มายืนอยู่ในจุดที่ถอยกลับไม่ได้แล้ว ลู่โจวมีแต่จะต้องเลือกเดินต่อไปเท่านั้น

หลังจากที่ใช้ความคิดนิดหน่อยลู่โจวก็เดินไปยังขอบบันไดพร้อมกับเอามือไขว้หลัง ตัวเขาเหลือบมองมาที่สีวู่หยาจากทางด้านบน “เจ้าศิษย์ดื้อด้านไม่รู้จักเชื่อฟัง!”

สีวู่หยากระอักเลือดออกมาจากปาก ตัวเขาไม่ได้ปกป้องตัวเองและไม่คิดที่จะเถียงกลับไป สีวู่หยาได้แต่พยุงตัวเองขึ้นมาก่อนที่จะคุกเข่าลงบนพื้น ยังไงซะลู่โจวก็ยังเป็นอาจารย์ของตัวเขา แม้ว่าจะมีเหตุผลหรือไม่มีเหตุผลตัวเขาก็ไม่อาจที่จะโต้แย้งอะไรกับผู้เป็นอาจารย์คนนี้ได้