ตอนที่ 413

My Disciples Are All Villains

สีวู่หยายังคงนิ่งเงียบ ตัวเขาไม่ได้รู้สึกโกรธ มันดูเหมือนกับว่าสีวู่หยาคุ้นเคยกับเหตุการณ์แบบนี้ดี ตัวเขาไม่ได้แปลกใจอะไรเลย อันที่จริงตัวเขาคิดซะด้วยซ้ำว่าการลงโทษของอาจารย์ในตอนนี้มันดูเบาไปกว่าเดิม แม้จะเป็นแบบนั้นคำพูดของอาจารย์คนนี้กลับดูเป็นเหตุเป็นผลมากขึ้น ในขณะที่สีวู่หยายังคงคุกเข่าอยู่กับพื้น ตัวเขาก็นึกถึงคำพูดของหมิงซี่หยินและซู่ฮ่องกงขึ้นมาได้ มันเป็นคำพูดที่บอกว่าอาจารย์ของพวกเขาได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมแล้ว สีวู่หยายิ่งคิดยิ่งสับสน ไม่ว่าจะเป็นแบบไหนแต่ในตอนนี้มันก็ไม่ได้สำคัญอะไรอีกต่อไปแล้ว

เสียงอันโกลาหลได้ทำให้ต้วนมู่เฉิง, หมิงซี่หยิน, จ้าวยู่, หยวนเอ๋อ, ฮั๊วยู่จิงและคนอื่นๆ รีบเดินทางไปยังศาลาตะวันออก

ยังมีผู้ฝึกยุทธหญิงอีกหลายคนที่เดินตามกันมา ทุกๆ คนต่างก็อยากรู้เรื่องเกี่ยวกับสีวู่หยา ในตอนนี้ทุกคนได้จับจ้องสีวู่หยาอยู่อย่างห่างๆ

ก่อนที่ทุกคนจะได้พูดอะไร เสียงของลู่โจวก็ได้ดังออกมา

“ผู้ใดกล้าวิงวอนแทนเจ้าศิษย์ไม่รักดี คนคนนั้นก็จะได้รับโทษสถานเดียวกัน”

ลู่โจวจะไม่ยอมให้ใครเข้ามายุ่งวุ่นวายกับการสั่งสอนศิษย์ไม่รักดี

หมิงซี่หยินที่เห็นประตูถูกพังได้พูดออกมาพร้อมรอยยิ้ม “ท่านอาจารย์ศิษย์ไม่มีวันที่จะวิงวอนแทนเจ้านั่นแน่…ศิษย์คิดว่าสมควรแล้วที่เจ้านั่นจะถูกลงโทษสถานหนัก!”

“…”

คนอื่นๆ ไม่กล้าที่จะพูดอะไร

“เจ้าน่ะพูดมากซะจริง” ลู่โจวได้พูดในขณะที่เดินลงบันได

หมิงซี่หยินที่ได้ฟังแบบนั้นก็ได้แต่ปิดปากเงียบในทันที

จนถึงตอนนี้แสงอาทิตย์ก็เริ่มที่จะจางหายไป เวลาแห่งยามค่ำคืนกำลังคืบคลานไปทางศาลาตะวันออก

สีวู่หยาไม่ได้รู้สึกอับอายต่อหน้าฝูงชนเลย แม้ว่าจะคุกเข่าอยู่แต่หลังของเขากลับยืดตรง ตัวเขาจ้องมองไปที่อาจารย์ของตัวเองที่กำลังเดินลงบันไดมา ชายที่กำลังเดินตรงมาเป็นชายชราผู้ที่ใกล้จะถึงขีดจำกัดเต็มที

ลู่โจวยืนอยู่ต่อหน้าของสีวู่หยาในขณะที่เอามือไขว้หลัง ในตอนนั้นเองสีวู่หยาก็รู้สึกราวกับว่าตัวเองกำลังถูกย้อนเวลากลับไป ย้อนกลับไปในสมัยก่อน ในตอนที่ตัวเขายังเด็ก ในตอนที่คุกเข่ายอมรับสิ่งที่ได้ทำผิดพลาดไปแต่โดยดี เมื่อคิดถึงตอนนั้นมันก็ผ่านมาอย่างเนิ่นนานแล้ว ในตอนนี้สีวู่หยากำลังกลับมายืนอยู่ที่จุดเดิมอีกครั้ง มันเป็นเหมือนกับช่วงเวลาในวันวาน

“เจ้าวางแผนที่จะทำให้ทั่วทั้งโลกตกอยู่ในความวุ่นวาย หลังจากทำเช่นนั้นได้เจ้าคิดที่จะทำอะไรต่อ?” น้ำเสียงของลู่โจวกลับมาฟังดูเยือกเย็นอีกครั้ง

ตั้งแต่วันที่สีวู่หยาออกจากศาลาปีศาจลอยฟ้าไป ทุกสิ่งทุกอย่างที่ตัวเขาจะได้รู้เกี่ยวกับอาจารย์เป็นสิ่งที่ได้ฟังผ่านจากการรายงานของเหล่าสาวกเท่านั้น สาวกของสำนักแห่งความมืดไม่สามารถที่จะเข้าถึงศาลาปีศาจลอยฟ้าได้เลย ไม่ว่าสีวู่หยาจะเชื่อข่าวที่เคยได้ยินมาไหมแต่ในตอนนี้มันก็ไม่สำคัญอีกต่อไป อาจารย์ของเขาได้เปลี่ยนไปอย่างสมบูรณ์แบบ ในท้ายที่สุดสีวู่หยาก็ได้ตอบกลับมา “ศิษย์พี่ใหญ่ต้องการที่จะครองโลก ข้าก็แค่คิดที่จะช่วยเขา”

“เจ้าทำทั้งหมดเพียงเพื่อยู่เฉิงไห่คนเดียวอย่างงั้นเหรอ?” ลู่โจวมองไปที่สีวู่หยาอย่างสงสัย น้ำเสียงของเขาฟังดูเฉียบคมมากขึ้นเมื่อได้พูดถึงยู่เฉิงไห่

สีวู่หยาได้ตอบกลับมา “เมื่อใดที่ศิษย์พี่ใหญ่ได้ครองโลกเมื่อนั้นการแก้แค้นก็จะมาถึง…เหลือเพียงแค่การบดขยี้เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์เพียงเท่านั้นพวกเราก็จะ…” สีวู่หยาหยุดพูดไปอย่างกะทันหัน

ลู่โจวลูบเคราของตัวเองก่อนที่จะพูดออกมา “ที่ยู่เฉิงไห่ออกจากศาลาปีศาจลอยฟ้าไปเพียงเพื่อต้องการแก้แค้นอย่างงั้นหรอ?”

“ถูกต้องแล้ว”

“เจ้าคิดว่าข้าจะถูกหลอกง่ายๆ หรอไงกัน?” น้ำเสียงของลู่โจวยังคงเยือกเย็นเช่นเดิม

สีวู่หยาที่ได้ฟังแบบนั้นรู้สึกถึงแรงกดดันอันมหาศาลอีกครั้ง

ถ้าหากทำทุกอย่างเพียงเพื่อต้องการที่จะแก้แค้นจริงทำไมถึงจะต้องทำลายเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์กันด้วย? ด้วยพลังความแข็งแกร่งที่สำนักอเวจีมีในตอนนี้ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำให้ลั่วหลานราบเรียบเป็นหน้ากลองได้ ลั่วหลานเป็นประเทศที่ปกครองกันเองด้วยเวทมนตร์คาถา มันเป็นสิ่งที่ผู้คนจากดินแดนหยานอันยิ่งใหญ่ยังไม่เข้าใจ

“ข้าไม่กล้า ข้าไม่ได้พูดโกหกแต่อย่างใด” สีวู่หยาตอบกลับมา

ลู่โจวจ้องไปที่สีวู่หยา การที่ตัวเขาได้ช่วยเหลือสีวู่หยาในระหว่างการต่อสู้ที่เมืองแห่งหนึ่งในมณฑลเหลียงเป็นสาเหตุที่ทำให้สีวู่หยายอมกลับมาที่ศาลาปีศาจลอยฟ้าเท่านั้น มันไม่ได้ทำให้ค่าความจงรักภักดีของสีว่าหยาเพิ่มขึ้นเลย

ชื่อ: สีวู่หยา

ตัวตน: มนุษย์จากดินแดนหยานอันยิ่งใหญ่

วรยุทธ: ขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์

สีวู่หยาเป็นศิษย์ไม่รักดีที่ลู่โจวเลี้ยงมา ศิษย์แต่ละคนต่างก็ดื้อรั้นและเปลี่ยนไปมากเมื่อออกจากศาลาปีศาจลอยฟ้าไป

“ยู่ฉางตงเองก็ไม่คิดจะบอกข้า และในตอนนี้เจ้าก็ไม่คิดที่จะบอกข้า เจ้าคิดว่าทั้งยู่ฉางตงและยู่เฉิงไห่ใครกันแน่ที่เป็นฝ่ายถูกกัน?” ลู่โจวได้ถามออกมา

“ไม่มีใครเป็นฝ่ายถูกทั้งนั้น!” สีวู่หยาตอบกลับ “ศิษย์พี่ใหญ่มักจะใช้วิธีสุดโต่งในการแก้ปัญหา เขาจะไม่หยุดสิ่งที่ทำเพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายให้ได้ ส่วนศิษย์พี่รองมีอารมณ์ที่อ่อนไหวจนเกินไป ตัวเขาไม่สนใจแม้กระทั่งเกฏเหล็กของศาลาปีศาจลอยฟ้าซะด้วยซ้ำ แม้ว่าทั้งสองจะแตกต่างกันอย่างสิ่นเชิง แต่ก็มีสิ่งหนึ่งที่ศิษย์พี่ทั้งสองเหมือนกัน ศิษย์พี่จะไม่ยอมปล่อยให้ผู้ที่กล้าดูหมิ่นศาลาปีศาจลอยฟ้าหนีรอดไปได้แน่…”

ลู่โจวได้หันไปหาหมิงซี่หยิน “หมิงซี่หยิน”

“ครับ ท่านอาจารย์”

“ตบปากเจ้านี่แทนข้าซะ”

“เอ่อ…” หมิงซี่หยินประหลาดใจเล็กน้อย ตัวเขารู้สึกลังเล หมิงซี่หยินไม่รู้เลยว่าทำไมผู้เป็นอาจารย์ถึงขอให้ตัวเขาตบปากสีวู่หยา อารมณ์ของผู้เป็นอาจารย์เปลี่ยนแปลงเร็วจนเกินไป สาวกคนอื่นๆ ต่างก็สับสนเช่นกัน

สีวู่หยาได้ชิงพูดออกมาซะก่อน “ข้าจะลงโทษตัวข้าเอง!” เสียงตบหน้าตัวเองได้ดังกังวานอยู่ในอากาศ

“เจ้ารู้สึกผิดรึเปล่า?” ลู่โจวถาม

“…”

“พวกเจ้าจะไม่ยอมปล่อยให้ผู้ที่กล้าดูหมิ่นศาลาปีศาจลอยฟ้าหนีรอดไปได้…?” ลู่โจวส่ายหัวก่อนที่จะพูดออกมาอย่างไร้อารมณ์ “ในตอนที่ยอดฝีมือแห่งสำนักใหญ่ทั้งสิบบุกโจมตีข้าถึงสองครั้ง…พวกเจ้าไปอยู่ที่ไหนกันล่ะ?

สีวู่หยาถึงกับพูดไม่ออก

เสียงของลู่โจวได้ดังขึ้นมาอีกครั้ง “ถ้าหากข้ายังอยู่เจ้าก็ไม่มีวันที่จะอยู่ได้อย่างสุขสบายอย่างงั้นสินะ?”

“ข้าไม่กล้าคิดเช่นนั้น” สีวู่หยาก้มหน้าลงก่อนที่จะพูดออกมาอย่างชัดเจน “การโจมตีของเหล่ายอดฝีมือจากสำนักใหญ่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันจนเกินไป หลังจากเหตุการณ์นั้นศิษย์พี่ใหญ่ก็คิดโจมตีสำนักที่เกี่ยวข้องกับเรื่องในครั้งนั้น…ในตอนที่ศิษย์พี่จ้าวยู่ถูกจับไปเป็นตัวประกันอยู่ที่แท่นบูชาศักดิ์สิทธิ์ของเมืองรูหนาน ในตอนนั้นศิษย์พี่รองก็เป็นผู้ที่สังหารยอดฝีมือมากมายที่มีส่วนเกี่ยวข้อง”

“ถ้าหากเจ้ายังจงรักภักดีกับศาลาปีศาจลอยฟ้าจริงๆ เจ้าจงบอกความจริงเกี่ยวกับคริสตัลแห่งความทรงจำและเรื่องของเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ของข้ามาซะ” ลู่โจวพูดต่อ

สีวู่หยาที่ได้ฟังแบบนั้นนิ่งเงียบ

ลู่โจวคาดเอาไว้อยู่แล้วว่าคนอย่างสีวู่หยาจะต้องปากแข็ง “ไม่มีใครสามารถประสบความสำเร็จได้โดยลำพัง…ข้าไม่อาจที่จะปล่อยวางใจอย่างสงบได้เลยเพราะมีศิษย์สาวกเป็นคนไม่รักดีอย่างพวกเจ้าแบบนี้”

ในตอนนั้นเองหมิงซี่หยินก็ได้เดินเข้ามา ตัวเขาไม่สามารถทนดูการสนทนาได้อีกต่อไป “ศิษย์น้องเจ็ด เจ้าน่ะเข้าใจอะไรบ้างไหม?”

ต้วนมู่เฉิงพูดขึ้น “ศิษย์น้องเจ็ด ในเมื่อมาถึงจุดนี้แล้ว เจ้ายังจะฝืนเก็บความลับเอาไว้อย่างดื้อด้านอีกอย่างงั้นหรอ? ศิษย์ที่ดีควรจะตอบแทนดูแลอาจารย์ของตนเป็นอย่างดีไม่ใช่หรอกหรอไงกัน?”

ทุกๆ คนต่างก็นิ่งเงียบ

“ข้าไม่รู้ว่าศิษย์พี่รองได้พูดอะไรเอาไว้…แต่ข้าเชื่อในการตัดสินใจที่ข้าได้เลือกไว้ ถ้าหากการตัดสินใจของข้าผิดพลาดขึ้นมาจริงๆ ข้าก็ยินดีที่จะใช้ชีวิตของตัวเองไถ่โทษกับสิ่งที่เกิด”

หมิงซี่หยินกลอกตา ตัวเขาได้เดินไปหาสีวู่หยาก่อนที่จะพูดออกมาด้วยความอดทนสุดท้าย “ศิษย์น้องเจ็ด มองมาที่ดวงตาของข้า เจ้ากล้าที่จะยอมรับทุกสิ่งทุกอย่างจากการตัดสินใจทั้งหมดของเจ้าจริงๆ อย่างงั้นเหรอ? คิดให้ดีก่อนที่จะตอบข้า!”

สีวู่หยาตกตะลึง แม้แต่นักปราชญ์ผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกก็ยังไม่กล้าพอที่จะแบกรับผลทั้งหมดที่จะเกิดขึ้น สีวู่หยาเข้าใจสิ่งนี้ดี แม้ว่าสีวู่หยามั่นใจในสิ่งที่ตัวเขาได้ตัดสินใจไปก็ตาม แต่มันก็ยังเป็นสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น ทันใดนั้นเองสีวู่หยาก็นึกถึงภาพในตอนที่อยู่บนแท่นประลองดอกบัวและภาพของหมู่บ้านฤดูร้อน ในตอนนั้นเองสีวู่หยาก็เริ่มรู้สึกผิด บางทีตัวเขาอาจจะตัดสินใจผิดตั้งแต่เริ่มแรก สีวู่หยาสงบสติอารมณ์ของตัวเองก่อนที่จะถามคำถามที่ยู่ฉางตงเคยถามมาก่อน “ท่านอาจารย์ ท่าน…ท่านพบวิธีที่จะฝึกฝนพลังไปถึงขั้นที่เก้าแล้วสินะครับ?”

เมื่อได้ยินแบบนั้นทุกคนก็หันไปมองลู่โจว ทุกๆ คนรอคำตอบของตัวเขาอย่างใจจดใจจ่อ คำตอบสำคัญเกินกว่าที่จะปล่อยไป คำตอบนี้เองจะพลิกโฉมโลกของยุทธภพไปทั้งใบ

ในบรรดาทุกคนที่รวมตัวกัน หมิงซี่หยินเป็นเพียงคนเดียวที่ได้ยินสิ่งที่ผู้อาวุโสทั้งหมดของศาลาปีศาจลอยฟ้าพูดถึงกัน ดังนั้นตัวเขาจึงดูสงบนิ่งยิ่งกว่าคนอื่น

ในตอนนี้ศาลาทางตะวันออกเงียบราวกับสุสานร้าง

สีหน้าของลู่โจวยังคงไม่เปลี่ยนแปลงไป ตัวเขาได้ใช้มือข้างหนึ่งลูบเคราก่อนที่จะเอามืออีกข้างไขว้ไว้ที่หลัง