รอยยิ้มของฉีอ๋องค้าง
พระชายาเอกชอบ เลยซื้อไว้?
นี่มันร้านค้าร้านหนึ่ง ไม่ใช่เครื่องประทินโฉมไม่กี่กล่อง เจ้าเจ็ดมีเงินเหลือจนเผาทิ้งเลยรึไง
ฉีอ๋องรู้สึกอิจฉาอยู่ภายในใจ
หลายปีที่เจ้าเจ็ดอยู่แถบทิศใต้ ไม่รู้ว่าเก็บเงินทองมาได้ตั้งเท่าไหร่ ถ้าใช้มันมาสนับสนุนเขา…
เมื่อนึกได้เช่นนี้ การแสดงออกฉีอ๋องที่มองไปยังอวี้จิ่นค่อยดูอ่อนโยนมากขึ้น
พระชายาฉีอ๋องที่อยู่ด้านข้าง รู้สึกอิจฉากว่าฉีอ๋องอีก นางมองเจียงซื่อหนึ่งทีอย่างอดไม่ได้
ช่างเป็นข้าวใหม่ปลามันโดยแท้ สนิมสนมกันเสียจริง เพียงชอบคำเดียว เยี่ยนอ๋องก็ซื้อร้านค้าให้ทันที
พระชายาฉีอ๋องคิดอยู่อย่างนั้น พลันนึกถึงตัวเอง
นางกับท่านอ๋องเคยเป็นข้าวใหม่มันปลามันเหมือนกัน แต่พอนึกกลับไปอย่างจริงจัง หลายปีที่ผ่านมานี้ ดูเหมือนแทบจะไม่ได้รับของขวัญจากท่านอ๋องเลย…
ฉีอ๋องหุบยิ้มอย่างไม่รู้ตัว
“ท่านลุง” อวี้จิ่นเอ่ยทักทายอันกั๋วกง
อันกั๋วกงพยักหน้า “ในเมื่อท่านอ๋องกับพระชายาเอกมาถึงแล้ว ถ้าเช่นนั้นก็เข้าไปด้านในกันเถอะ ข้างนอกนี้ร้อนมาก”
งานเลี้ยงถูกจัดไว้ที่ห้องบุปผา แยกไว้เป็นโต๊ะชายและโต๊ะหญิงสองโต๊ะ
ถึงเหล่าฮูหยินมีอายุมาก แต่ยังดูมีชีวิตชีวา นางนั่งบนที่นั่งแล้วแอบมองเจียงซื่อ พลางเห็นอิริยาบถที่งดงามสวยสง่า เป็นธรรมชาติ จึงเผยสายตาไม่พอใจให้กับฮูหยินเว่ยซื่อของอันกั๋วกงหนึ่งทีอย่างอดไม่ได้
ถ้าเว่ยซื่อเลี้ยงดูลูกได้ดี อาอี้ก็จะไม่มีชะตากรรมชั่วร้ายกับหญิงชาวบ้านธรรมดาคนหนึ่ง
เสียสิ่งที่ใหญ่กว่าไป แล้วไปเลือกสิ่งที่ด้อยกว่าจริงๆ
เว่ยซื่อกับเหล่าฮูหยินมีความสัมพันธ์เป็นลูกสะใภ้กับแม่สามีมายาวนาน จะเดาความคิดของเหล่าฮูหยินไม่ออกได้อย่างไร นางรู้สึกจุกอกทันที
บุตรชายคนเล็กตัดสินใจทำเองทั้งนั้น เขาทำได้ถึงกระทั่งจบชีวิตด้วยการกระโดดน้ำเพื่อความรัก แล้วนางจะทำสิ่งใดได้อีก
ไม่ยกเลิกงานหมั้นหมายกับจวนตงผิงปั๋ว จะให้มองบุตรชายเขาฆ่าตัวตายรึไง
สุดท้าย กลับกลายเป็นว่าเป็นความผิดของนาง
เพราะนังผู้หญิงจิ้งจอกโปรยเส่นห์จนลูกชายนางเคลิบเคลิ้มหลงใหลทั้งนั้น ไม่เช่นนั้นจะมีเรื่องไม่ได้ดั่งใจเหล่านี้ในครอบครัวได้อย่างไร
คนบนโต๊ะอาหารต่างคนก็ต่างความคิด มีเพียงรอยยิ้มของจี้ฟังหวาที่มีความจริงใจ “พี่สะใภ้เพคะ ท่านอ๋องซื้อร้านค้าขายเครื่องประทินโฉมร้านไหนให้กับพี่หรือเพคะ”
“ร้านลู่เซิงเซียง”
จี้ฟังหวาตาลุกวาว “ซื้อร้านลู่เซิงเซียงเลยหรือ ข้าชอบเซียงลู่ของร้านลู่เซิงเซียงมากเพคะ”
เจียงซื่อยิ้มอ่อน “หากน้องชอบ ไว้ข้าจะส่งมาให้เจ้าทุกเดือนนะ”
จี้ฟังหวากล่าวขอบคุณอย่างจริงใจ “ดีจังเลยเพคะ ต่อไปนี้ไม่ต้องกังวลว่าสาวรับใช้จะหาซื้อไม่ได้แล้ว”
เจียงซื่อชอบคนที่มีนิสัยอย่างจี้ฟังหวา
เซียงลู่ไม่กี่ขวด ไม่ว่าจะสำหรับนางหรือจวนอันกั๋วกงแล้ว มันไม่เท่าไร แต่ถ้าเกรงใจปฏิเสธไปมา กลับจะทำให้ดูใจแคบ
เมื่อเห็นจี้ฟังหวากับเจียงซื่อดูสนิทสนมกัน เว่ยซื่อยิ่งรู้สึกไม่สบอารมณ์
ปกติฟังหวาปฏิบัติกับเฉี่ยวเหนียงตามมารยาทเพียงเท่านั้น พูดคุยก็เพียงไม่กี่คำ
“พี่สะใภ้ ดูเหมือนว่าท่านอ๋องดีกับพี่มากๆ พี่แต่งงานไม่ผิดคนจริงๆ” จี้ฟังหวายิ้มหวานเอ่ยแซว
อวี้จิ่นที่นั่งอีกโต๊ะหูตั้ง ความรู้สึกที่มีจี้ฟังหวาพลันเปลี่ยนเป็นดีในทันใด
อืม ในจวนอันกั๋วกง มีคนตาถึงกับเขาสักที
จี้ฉงอี้ที่ได้ยินประโยคนี้ มือที่ถือแก้วสุราชะงักพร้อมกับเกิดความรู้สึกขมขื่น
น้องสาวหมายความว่าคุณหนูเจียงโชคดีที่ไม่ได้แต่งงานกับเขา?
เขาอยากมองโต๊ะข้างๆ มาก อยากเห็นปฏิกิริยาของเจียงซื่อ แต่สติได้ยับยั้งความใจร้อนเอาไว้
น้องสาวไม่ได้พูดผิด จะว่าไปแล้ว เขาไม่ได้รู้สึกอะไรกับคุณหนูเจียง เพียงแค่ว่า…จี้ฉงอี้จ้องมองอวี้จิ่น
เพียงแค่ว่าเวลาเห็นคนอื่นรักใคร่ปรองดองมีความสุข แต่ชีวิตหลังแต่งงานของเขานั้นวุ่นวาย ไม่มีเวลาไหนที่รู้สึกถึงความสบายใจ ช่างระทมขมขื่นนัก
จี้ฉงอี้หัวเราะเยาะตัวเองด้วยการยกแก้วสุราขึ้นดื่มจนหมด
อวี้จิ่นเห็นทุกปฏิกิริยาของจี้ฉงอี้จากหางตา พลางหัวเราะเย็นชาขึ้นในใจ
ฮึ กับคนงั่งไม่เอาไหนเช่นนี้ เขาไม่มีทางมองหน้าตรงแน่ๆ
หลังจากนี้ เขาจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกับอาซื่อ เจ้างั่งนี่จะอิจฉาก็อิจฉาไปเถอะ
อวี้จิ่นยกแก้วสุราขึ้นดื่มจนหมดแก้วเช่นกัน สุรานี้ช่างหอมหวาน สบายใจอย่างหาที่เปรียบมิได้
ด้านโต๊ะของหญิงที่ออกเรือนแล้ว คำพูดของจี้ฟังหวาพลันทำให้บรรยายกาศอึดอัดไปชั่วขณะ
เอ้อร์ไท่ไท่จ้าวซื่อเขม่นตาให้จี้ฟังหวาหนึ่งที “เจ้าเด็กคนนี้นี่ หยุดเสียมารยาทกับพระชายาเอกได้แล้ว”
ยัยเด็กโง่คนนี้ พูดจาเช่นนี้ก็แทงใจดำพี่สะใภ้ใหญ่มิใช่รึไง
“ท่านแม่ ข้ามิได้เสียมารยาทนะเจ้าคะ” จี้ฟังหวางอแง
เอ้อร์ไท่ไท่ไม่รู้จะจัดการกับลูกสาวอย่างไร
เจียงซื่อยิ้มและกล่าว “น้องพูดไม่ผิด คงเป็นเพราะข้าโชคดี”
สีหน้าของฮูหยินอันกั๋วกงไม่ดีเท่าไรนัก
ชาติที่แล้ว พวกเขาเคยมีความสัมพันธ์เป็นลูกสะใภ้กับแม่สามีเกือบหนึ่งปี นางรู้เป็นอย่างดีว่าฮูหยินของอันกั๋วกงที่วางตัวสวยสง่า มีจิตใจโอบอ้อมอารีผู้นี้เป็นคนที่จู้จี้จุกจิกแค่ไหน
เวลานี้ เจียงซื่อพลันเกิดความเห็นใจเฉี่ยวเหนียงที่ไม่ได้มาร่วมโต๊ะด้วย
พระชายาฉีอ๋องจับตะเกียบเอาไว้ แม้ไม่มีสีหน้าใดๆ แต่ภายในใจทั้งอายและมึนงง
เหตุใดทุกครั้งที่นั่งกับพระชายาเยี่ยนอ๋อง นางถึงเป็นฝ่ายที่ถูกละเลย
ทั้งๆ ที่หากเรียงตามลำดับศักดิ์แล้วนางโตกว่า เรียงตามสถานะครอบครัวฝั่งแม่แล้วนางก็ดีกว่า…
พระชายาฉีอ๋องเก็บความรู้สึกเข้าไป แล้วพยายามพูดตอบคำของเจียงซื่อ แต่นางกลับถูกฝ่ายตรงข้ามโต้ตอบอย่างเย็นชากลับมา
ทุกคนบนโต๊ะอาหารต่างก็มองออก
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ ท่านอ๋องสองคนพร้อมกับภรรยาก็เอ่ยกล่าวคำลา เหล่าฮูหยินให้อันกั๋วกงอยู่ต่อเพื่อขอพูดด้วย
“ท่านแม่มีเรื่องอะไรหรือขอรับ”
“การกินข้าวในวันนี้ ข้ารู้สึกว่าพระชายาเอกทั้งสองคนไม่ถูกกันเท่าไหร่”
อันกั๋วกงไม่คิดเช่นนั้นจึงหัวเราะออกมา “เรื่องของเด็กๆ ท่านแม่ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกขอรับ”
“ไม่ต้องเป็นห่วง? น้องสาวของเจ้าคาดหวังในตัวฉีอ๋องเป็นอย่างมาก เจ้าก็ใช่ว่าจะไม่รู้ เดิมทีข้าก็คิดว่าเยี่ยนอ๋องได้รับความสนใจจากฮ่องเต้แล้ว ต่อไปคงจะกลายเป็นกำลังเสริมให้กับฉีอ๋องได้ แต่ดูจากวันนี้เกรงว่าไม่ได้ง่ายเช่นนั้น”
ความสัมพันธ์ระหว่างภรรยาของน้องชายกับของตัวเองไม่สนิทสนมกลมเกลียวกันถึงเช่นนี้ เยี่ยนอ๋องยังจะช่วยเหลือฉีอ๋องอย่างสุดกำลัง?
อันกั๋วกงขมวดคิ้วทันใด “ท่านแม่อย่าพูดเช่นนั้น คาดหวังสูงไม่สูงอะไรกัน ข้ารู้สึกว่าน้องสาวชอบคิดเรื่อยเปื่อย”
มีความสุขบนความร่ำรวยไปตลอดชีวิตไม่ดีหรืออย่างไร น้องสาวก็ทะเยอะทะยานมากเกินไปแล้ว…
“เจ้านี่มัน…” เมื่อเห็นสีหน้าบุตรชายนิ่งเรียบ เหล่าฮูยินจึงไม่พูดต่อ นางยกมือขึ้นปัดอันหมายความว่าให้อันกั๋วกงออกไปได้ แล้วตัวเองก็นั่งคิดใหม่
จี้ฉงอี้ดื่มหนักไปเล็กน้อย เขาเดินโซเซกลับมาถึงห้องนอน
เฉี่ยวเหนียงกำลังนั่งร้องไห้เงียบๆ เมื่อเห็นจี้ฉงอี้เดินเข้ามา นางเบะริมฝีปากรอให้เขามาปลอบใจ แต่รออย่างไรก็ไม่มีวี่แวว
แล้วกลิ่นสุราจางๆ ก็ลอยมา
“ดื่มหนักอีกแล้วหรือเจ้าคะ” เฉี่ยวเหนียงลุกเดินไปหาอย่างน้อยใจ และรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย
หลายเดือนมานี้ อาอี้เสียคนหนักขึ้นเรื่อยๆ
จี้ฉงอี้ขมวดคิ้วปัดมือเฉี่ยวเหนียงออก “ดื่มไม่กี่แก้วเอง เจ้าก็จะบ่นแล้วหรือ”
“ข้าเพียงคิดถึงสุขภาพของท่าน…”
อาจเป็นเพราะฤทธิ์ของสุรา ยามเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ จี้ฉงอี้พลันพลั้งปากโพล่งออกไป “ตอนนั้น พวกท่านแม่ห้ามข้าแต่งงานกับเจ้า ก็บอกว่าทำเพื่อข้า…”
สิ่งที่เขารำคาญมากที่สุดก็คือการพูดเสมอว่าทำเพื่อเขา ทำเพื่อเขา!
คำๆ นี้เป็นเหมือนดาบสองคมที่ทิ่มลงกลางหัวใจของเฉี่ยวเหนียง!
สีหน้าของเฉี่ยวเหนียงพลันซีดเผือด นางเอ่ยถามเสียงสั่น “แล้วอย่างไรเล่า ท่านรู้สึกว่าคิดผิดรึไง”
ความมึนเมาในแววตาพลันหายไปจากตาของจี้ฉงอี้ จนเริ่มได้สติกลับคืนมา
ดูเหมือนว่าเมื่อครู่นี้เขาใช้คำพูดผิด
“อาอี้ เจ้าพูดสิ เจ้ารู้สึกว่าคิดผิดใช่หรือไม่”
จี้ฉงอี้ไม่ยอมลดศักดิ์ศรีเอ่ยคำขอโทษ จึงกล่าวออกไปด้วยสีหน้าเย็นชา “รู้สึกผิดไม่รู้สึกผิดอะไร เจ้าอย่าพูดจาไร้สาระ”
น้ำตาที่เอ่อล้นในดวงตาของเฉี่ยวเหนียงพลันไหลร่วงลงมา “อาอี้ เจ้ากำลังคิดว่าเจ้าคิดผิดที่เลือกข้า!”
“ไร้เหตุผลสิ้นดี!” จี้ฉงอี้สะบัดแขนเสื้อและจากไป