ตอนที่ 435 เหตุด่วน

ก่อนหน้านี้ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใดคนของสำนักหยกสวรรค์ถึงแยกตัวจากไปอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้เขาเข้าใจแล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าเฟิ่งหลิงปอใช้วิธีไหนถึงล่อคนของสำนักหยกสวรรค์ออกไปเพื่อสร้างโอกาสลงมือได้

ตอนนี้เขาไม่มีเวลามานั่งคิดเรื่องนี้แล้วเช่นกัน เขารู้ดีว่าอันตรายคืบคลานเข้าไปหาพวกซางเฉาจงเหมือนไฟลนก้นแล้ว หากยังไม่คิดหาทางอีก ทุกอย่างจะสายเกินแก้ ไม่ใช่แค่ชีวิตของพวกซางเฉาจงเท่านั้น แต่ความทุ่มเทและแผนการที่เต้าเหยี่ยวางไว้ก็จะเสียเปล่าด้วย

“ส่งสัญญาณ เรียกระดมกำลัง!” หยวนกังออกคำสั่งอย่างเฉียบขาด

“ขอรับ!” หนิวหลินวิ่งออกไปทันที ปีนขึ้นไปบนหลังคา จากนั้นก็แขวนผ้าแดงผืนหนึ่งเอาไว้บนยอดหลังคา

หยวนกังที่อยู่ในเรือนจ้องมองแผนที่บนโต๊ะ กวาดสายตามองกลับไปกลับมาบนแผนที่

หยวนเฟิงที่อยู่ด้านข้างเอ่ยเตือนอีกครั้ง “ลูกพี่ หากท่านต้องการลงมือช่วยเหลือคน โปรดใคร่ครวญให้ถ้วนถี่ด้วย ในเมืองมีกองทหารจำนวนมากของเฟิ่งหลิงปออยู่ หากบุกเข้าไป ไม่เพียงแต่จะช่วยท่านอ๋องไม่ได้ แม้แต่พวกเราก็ไม่เหลือโอกาสรอดใดๆ ด้วย”

หยวนกังไม่เอ่ยตอบ แท่งถ่านในมือยังคงวาดสัญลักษณ์ลงบนแผนที่อย่างต่อเนื่อง กำลังคำนวณหาเส้นทางที่ดีที่สุดเพื่อไปถึงตำแหน่งของเป้าหมาย

หยวนหั่วเอ่ยว่า “ลูกพี่ หากจะลงมือจริงๆ มิสู้เข้าโจมตีศาลาว่าการของเฟิ่งหลิงปอเลยดีกว่า ลองดูว่าจะลักพาตัวเฟิ่งหลิงปอได้หรือไม่”

หนิวซานออกความเห็นคัดค้านทันที “ไม่ได้ ทางศาลาว่าการมีทหารเฝ้าป้องกันอยู่มากกว่า พวกเรายังไม่ทันเข้าไปโจมตีก็ตกอยู่ในวงล้อมแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นคือศาลาว่าการใหญ่โตถึงเพียงนั้น พวกเราไม่รู้ว่าโครงสร้างภายในเป็นอย่างไรกันแน่ คิดจะเข้าถึงตัวเฟิ่งหลิงปอให้ได้ในทันทีเป็นเรื่องยากนัก ไหนเลยจะมีเวลาพอให้พวกเราค่อยๆ ตามหาจนพบ หากไม่เตรียมตัวให้พร้อมก่อน แผนลักพาตัวไม่มีทางเป็นไปได้”

หยวนหั่วเอ่ยว่า “เช่นนั้นก่อจลาจลได้หรือไม่? ล่อให้คนของสำนักหยกสวรรค์เข้ามา หรือไม่พวกเราก็รีบไปหาคนของสำนักหยกสวรรค์ที่ประตูเมือง ขอให้คนของสำนักหยกสวรรค์ออกหน้า”

สายตาของทั้งสี่มองไปที่หยวนกัง

หยวนกังจ้องมองแผนที่ “ตอนนี้ตามเขตต่างๆ ภายในเมืองล้วนมีกำลังทหารประจำอยู่ ไม่สามารถก่อจลาจลได้ หากเกิดความวุ่นวายขึ้นแม้เพียงน้อยจะถูกกองทหารที่อยู่ในละแวกนั้นเข้ายับยั้งและปราบปรามทันที ส่วนเรื่องเชิญคนจากสำนักหยกสวรรค์ แทบทุกจุดในเมืองล้วนมีกองทหารของเฟิ่งหลิงปออยู่ เจ้ามั่นใจได้หรือว่าคนของเฟิ่งหลิงปอจะไม่เข้ามาขัดขวาง? เฟิ่งหลิงปอวางแผนมาล่วงหน้าแล้ว น่าจะไม่ปล่อยให้ใครไปติดต่อกับคนของสำนักหยกสวรรค์ได้ง่ายๆ มีความเป็นไปได้สูงที่จะวางกำลังไว้อย่างรัดกุม หากปะทะกันมีโอกาสที่จะถูกจับหรือไม่ก็ถูกกำจัดทิ้ง พวกเราจะสามารถติดต่อกับคนของสำนักหยกสวรรค์ได้หรือไม่ก็ยังไม่รู้ ตอนนี้ไม่สามารถลองเสี่ยงดวงได้”

ตัวเขาเองก็ค่อนข้างเสียดายที่ไม่มีดินปืนอยู่ในมือเลย แต่ก็ช่วยไม่ได้ เพราะเงื่อนไขมีจำกัด

เหตุผลแรกคือเพิ่งมาอยู่ในเมืองซั่งผิงได้ไม่นาน เหตุผลต่อมาคือหลังจบศึก กองทหารได้เข้าควบคุมร้านขายยาภายในเมืองเพื่อดำเนินการควบคุมยารักษาอาการบาดเจ็บทั้งหมดภายในเมืองเอาไว้ ทำให้เขายากจะเข้าถึงวัตถุดิบในการผลิตดินปืน

หยวนเฟิงเอ่ยว่า “อย่างนั้นพวกเราระดมกำลังแล้วเข้าปะทะตรงๆ กับกองทหารรักษาการณ์บริเวณประตูเมืองให้เกิดเหตุวิวาทขึ้นเถอะ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าจะดึงดูดความสนใจคนจากสำนักหยกสวรรค์ไม่ได้”

หยวนกังเงยหน้ามอง “พวกเราจะต้องวิ่งไปวิ่งมาอีกนานแค่ไหนเล่า? ต่อให้เกิดเหตุวิวาทกับทหารรักษาการณ์ จากนั้นฝ่าแนวป้องกันจนติดต่อกับคนของสำนักหยกสวรรค์ได้ เจ้าเคยคำนวณเรื่องเวลาไว้หรือเปล่า? สิ่งสำคัญที่สุดในยามนี้คือท่านอ๋อง เฟิ่งหลิงปอลงมือแล้ว ทางฝั่งท่านอ๋องมีกันกี่คนเอง? ท่านอ๋องต้านไว้ไม่ได้นานแน่!”

หยวนเฟิงเกาหัวอย่างร้อนใจ “เช่นนั้นจะทำอย่างไรดีขอรับ?”

หยวนกังกล่าวว่า “ต้องก่อเหตุจลาจล แต่ก็ต้องปกป้องท่านอ๋องไว้ให้ได้ก่อน ช่วยท่านอ๋องต้านรับไว้ก่อน!”

หยวนหั่วถาม “ทำอย่างไรขอรับ?”

“ตรงนี้! ให้คนไปรวมกันที่จุดนี้ทันที” หยวนกังชี้ไปยังตำแหน่งหนึ่ง จากนั้นก็วาดเส้นทางตัดตรงสายหนึ่งขึ้น “เส้นทางสายนี้มีพื้นที่เล็กแคบบีบตัวมากมาย ไม่สามารถระดมกำลังทหารจำนวนมากได้ การป้องกันน่าจะค่อนข้างอ่อนแอ ทั้งยังอยู่ใกล้ด้วย พวกเราสามารถปีนข้ามสิ่งกีดขวาง ตัดตรงผ่านไปได้! พอถึงตำแหน่งเป้าหมายก็ช่วยท่านอ๋องต้านรับพร้อมกับจุดไฟสร้างควันไปด้วย ขอเพียงคนของสำนักหยกสวรรค์มองเห็นว่าเกิดเรื่องขึ้นในสถานที่กักบริเวณของท่านอ๋อง พวกเขาก็น่าจะรีบมุ่งหน้ามาแน่นอน!”

หยวนเฟิงถาม “ถ้าตอนที่พวกเราไปถึง เกิดพวกเขาทำสำเร็จไปแล้วจะทำอย่างไรขอรับ?”

หยวนกังไม่ถือสาที่อีกฝ่ายถามซอกแซก เขากลับสนับสนุนให้พวกพ้องคาดการณ์ถึงสถานการณ์ต่างๆ ไว้ล่วงหน้า เขาเอ่ยเสียงขรึมว่า “ในการต่อสู้กลางเมือง กองทัพไม่สามารถกระจายกำลังออกไปได้ นี่คือข้อได้เปรียบของพวกเรา หากพบว่าสถานการณ์เกินจะแก้ไขได้แล้ว ให้อาศัยอาคารบ้านเรือนเป็นเกราะกำบังถอนกำลังออกมาทันที ถอนกำลังออกมาได้เท่าไรก็เท่านั้น”

พอเอ่ยประโยคนี้ออกไป ทั้งสี่คนที่อยู่ในห้องล้วนตระหนักได้แล้วว่าครั้งนี้ต้องมีการสูญเสียเกิดขึ้นแน่นอน

หยวนเฟิงเอ่ยขึ้นอีกว่า “หากคนของสำนักหยกสวรรค์ตามมาไม่ทันเวลาล่ะ?”

ภายในห้องตกอยู่ในความเงียบทันที ล้วนเข้าใจถึงผลลัพธ์ข้อนี้ดี ภายใต้การปิดล้อมโจมตีของกองทัพขนาดใหญ่ ขนาดผู้บำเพ็ญเพียรทั่วไปก็ยังกริ่งเกรงอยู่หลายส่วน พวกเขาไม่มีทางยื้อไว้ได้นาน

หยวนกังไม่ได้เงียบอยู่นานนัก เอ่ยขึ้นว่า “ความปลอดภัยของท่านอ๋องเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของคนจำนวนมาก เป็นเรื่องสำคัญมาก พวกเราจะต้องทุ่มเทสุดความสามารถ หากพวกเราทำแต่งานง่ายๆ ราบรื่นปลอดภัย พวกเราก็จะสูญเสียความหมายในดำรงอยู่ไป ครั้งนี้พวกเราอยู่ใกล้ท่านอ๋องที่สุด หากปกป้องท่านอ๋องไว้ไม่ได้ ก็เท่ากับว่าเราผิดต่อทรัพยากรทั้งหมดที่พวกเราเคยได้รับมา สมควรยุบหน่วยทิ้ง แต่หากปกป้องท่านอ๋องไว้ได้ วันหน้าพวกเราถึงจะหยัดยืนอยู่ในมณฑลหนานโจวได้อย่างแท้จริง มิใช่อยู่ได้เพียงเพราะท่านอ๋องเห็นแก่หน้าเต้าเหยี่ยเท่านั้น ถ่ายทอดวาจานี้ไปยังเหล่าพวกพ้อง!”

พวกหยวนหั่วพยักหน้ารับเงียบๆดฮณ๊ฯดฯฌซ,

“ส่งคนสี่คนไปประจำตามประตูเมืองสี่ทิศ ดูว่าพอจะออกจากเมืองได้หรือไม่ ถ้าออกจากเมืองได้ให้ติดต่อไปหาอู๋เหล่าเอ้อร์แล้วแจ้งสถานการณ์ต่อพวกเขา” หยวนกังสั่งการไปอีกประโยค

ไม่นานนัก ทั้งสี่ออกจากเรือนหลังนี้ไปพร้อมกัน จากไปอย่างเร่งรีบ ส่วนหยวนกังแบกไม้ท่อนใหญ่ขึ้นบ่า

…..

“อาฝู เหตุใดวันนี้เก็บแผงเร็วขนาดนี้ละ?”

บนท้องถนน จู่ๆ เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่นั่งยองๆ อยู่ข้างรถเข็นรอคอยให้ลูกค้ามาจ้างวานก็เข็นรถจากไป ชายชราประจำแผงข้างๆ ที่รู้จักมักคุ้นกันดีในช่วงหลายวันมานี้ตะโกนถาม

“ที่บ้านมีเรื่องนิดหน่อยน่ะ” เด็กหนุ่มเอ่ยตอบ ก่อนจะเข็นรถวิ่งเหยาะๆ จากไป

เหตุการณ์ที่คล้ายคลึงกันนี้เกิดขึ้นในหลายสถานที่ภายในเมือง ลูกน้องของหยวนกังที่ได้รับสัญญาณทยอยมารวมตัวกัน

….

ตรงทางแยกของตรอกแห่งหนึ่ง เฟิ่งรั่วอี้นำกองทหารหลายร้อยคนวิ่งเหยาะๆ เข้ามาเจอกับเถาเหยี่ยนที่นำกำลังทหารหลายร้อยคนวิ่งเหยาะๆ มุ่งตรงมาทางนี้

กองกำลังทั้งสองกลุ่มรวมตัวกันแล้วมุ่งหน้าต่อไปไม่หยุด วิ่งมาจนมาถึงทางแยกของตรอกอีกเส้นหนึ่ง ทั้งสองสบตาแล้วพยักหน้าให้กัน จากนั้นก็พากองกำลังของตนแยกทางกันไป แยกกันไปปิดล้อมเรือนที่กักบริเวณซางเฉาจงจากสองทิศทาง

เฟิ่งรั่วอี้พากำลังทหารมุ่งตรงไปยังประตูใหญ่

นายกองที่เฝ้าประตูใหญ่อยู่ประสานมือคำนับทันที “แม่ทัพอี้”

เฟิ่งรั่วอี้เอ่ยเสียงเข้ม “เปลี่ยนเวร!”

นายกองแปลกใจ “แม่ทัพอี้ ยังไม่ถึงเวลาเปลี่ยนเวรนะขอรับ ก่อนอาจารย์ไป๋ออกไปได้กำชับไว้ว่าหากไม่ได้รับอนุญาตจากเขา ก็ห้ามเคลื่อนย้ายไปไหน มิเช่นนั้นหากเกิดเหตุไม่คาดฝันอันใดขึ้น เขาจะมาลงโทษข้าน้อยขอรับ!”

เฟิ่งรั่วอี้ที่สวมชุดเกราะหยิบตราคำสั่งออกมาจากหว่างเอว เอ่ยเสียงเข้ม “เจ้ากล้าขัดคำสั่งหรือ?”

ชิ้ง! กองทหารในชุดเกราะที่ตามประกบเขาอยู่พลันชักกระบี่ออกมาครึ่งเล่ม

นายกองเฝ้าประตูสะดุ้งโหยง เอ่ยไปว่า “ข้าน้อยมิบังอาจ ข้าน้อยรับบัญชา!” จากนั้นโบกมือคราหนึ่ง พาคนของตนจากไปอย่างรวดเร็ว

เฟิ่งรั่วอี้เอียงศีรษะส่งสัญญาณเล็กน้อย ลูกน้องในบัญชาเข้าควบคุมประตูใหญ่ไว้ทันที

ในเวลาเดียวกันนี้เอง หนงฉางกว่างก็พากองกำลังมาถึงแล้วเช่นกัน เข้าไปในตรอกที่อยู่ทางขวามือของที่พักเป้าหมาย

ตอนนี้ ทางประตูหลักของเรือนหลังนี้ถูกเฟิ่งรั่วอี้ดักสกัดไว้ ส่วนประตูหลังเป็นเฟิ่งรั่วเจี๋ย ทางซ้ายเป็นเถาเหยี่ยนและทางขวาเป็นหนงฉางกว่าง

เถาเหยี่ยนและหนงฉางกว่างโผล่ออกมาจากตรอกสองฝั่งซ้ายขวาพร้อมกัน ต่างส่งสัญญาณมือให้เฟิ่งรั่วอี้ สื่อว่าเตรียมการทุกอย่างพร้อมแล้ว

เฟิ่งรั่วอี้พยักหน้า เดินตรงไปที่หน้าประตูใหญ่ จับดาบที่หว่างเอว เงยหน้ามองป้ายเหนือประตู ส่งสัญญาณมือเล็กน้อย

มีทหารสองนายวิ่งขึ้นบันไดไปทันที เคาะให้เปิดประตู

“มีเรื่องใด?” องครักษ์ของซางเฉาจงมาเปิดประตูพลางเอ่ยถาม

ทหารนายหนึ่งขยับเข้าไปใกล้คล้ายจะให้คำตอบ แต่จู่ๆ กลับยื่นมือออกไปคว้าคอขององครักษ์ไว้พร้อมกับอุดปากของอีกฝ่าย

องครักษ์ตอบสนองอย่างรวดเร็ว เงื้อหมัดชกเข้าที่ชายโครงของทหารคนนั้นทันที ใบหน้าของทหารคนนั้นบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด ทว่านี่คือช่วงเวลาปฏิบัติหน้าที่ ถึงเจ็บยังไงก็ไม่ยอมคลายมือ

ด้านหลังมีเสียงชิ้งๆ ดังขึ้นมา ดาบคมกริบทอประกายเยียบเย็นสองเล่มแทงเข้าใส่ร่างขององครักษ์ที่ดิ้นรนขัดขืนอย่างโหดเหี้ยม ทหารคนนั้นฉวยโอกาสดันร่างองครักษ์ไปตรึงไว้กับกำแพงหลังประตู จากนั้นก็มีดาบพุ่งเข้ามาจากทางด้านหลังสองฝั่งซ้ายขวา กระหน่ำแทงเข้าไปซ้ำๆ จนร่างที่แนบติดกับกำแพงชุ่มโชกไปด้วยเลือดสดๆ

ดาบคมกริบวาววับฟันเข้าที่ลำคอขององครักษ์ องครักษ์ล้มลงกับพื้น ประตูถูกเปิดออก!

กลุ่มคนพุ่งผ่านประตูเข้าไป องครักษ์ที่อยู่ด้านในได้ยินเสียงต่อสู้จึงโผล่หน้าออกมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น ทันใดนั้นพลันถูกห่าธนูยิงเข้าใส่จนล้มหงายไปกับพื้น

เมื่อเปิดทางเรียบร้อยแล้ว เฟิ่งรั่วอี้กุมกระบี่ตรงหว่างเอว ก้าวขึ้นบันไดไปด้วยสีหน้าตึงเครียด กำลังทหารด้านหลังก็หลั่งไหลตามเข้าไป แยกตัวออกเป็นสองแถวมุ่งเข้าสู่ด้านใน

พอเห็นเฟิ่งรั่วอี้บุกเข้าไป เถาเหยี่ยนและหนงฉางกว่างที่อยู่ในตรอกสองฝั่งซ้ายขวาก็รู้ว่าเริ่มลงมือแล้ว ต่างหันไปสั่งการให้กองทหารของตนเตรียมลงมือ คนของทั้งสองฝั่งเริ่มปีนข้ามกำแพงตามเข้าไปลงมือ

ภายในโถงหลัก ซางเฉาจงกำลังหารือบางอย่างกับหลานรั่วถิงอยู่

ในลานเรือนใต้บันไดนอกโถงหลัก หลัวอันกำลังเข็นเหมิงซานหมิงเดินเล่นอยู่

ทันใดนั้นเอง หลัวอันหยุดฝีเท้า มือกุมรถเข็นเอาไว้ เหมิงซานหมิงที่อยู่บนรถเข็นก็ดูเหมือนกำลังเงี่ยหูฟังอยู่เช่นกัน

เสียงธนู! ทั้งคู่ต่างเป็นคนที่ผ่านสนามรบมาอย่างโชกโชน ทันทีที่ได้ยินก็ฟังออก

“ศัตรูบุก!” องครักษ์สองนายที่เฝ้าระวังอยู่บนหอคอยพลันตะโกนรายงานในทันใด จากนั้นมีเสียงยิงธนูแว่วตามมาติดๆ ยิงใส่ทั้งสองคนที่อยู่บนหอคอย

การตอบสนองของทั้งคู่ก็ว่องไวเช่นเดียวกัน ต่างผลักกันออกไป กลิ้งตัวหลบออกไปสองทางซ้ายขวา หมอบอยู่บนพื้น ลูกศรพุ่งข้ามร่างของทั้งสองที่นอนหมอบไป ลูกศรจำนวนมากปักลงบนราวกั้นและเสาค้ำหอคอยดึง ‘ปึกๆ’ หางศรสั่นไหวรุนแรง เห็นได้ชัดว่าถูกยิงออกมาอย่างเต็มแรง

“ศัตรูบุก!” ทั้งสองคนที่หมอบอยู่บนพื้นยังคงตะโกนรายงานต่อ ขณะเดียวกันก็คลานไปที่ริมราวกั้น อาศัยสิ่งกำบังสอดส่องสถานการณ์ด้านล่าง กระบี่ที่พกอยู่ตรงเอวถูกชักออกมา

มีเสียงร้องโหยหวนแว่วดังออกมาจากด้านนอกหลายครั้ง

ซางเฉาจงและหลานรั่วถิงที่อยู่ในโถงหลักวิ่งออกไปดูสถานการณ์ด้วยความตกใจ

พอร่างหยุดนิ่งอยู่ด้านล่างบันได เขาพลันลุกขึ้นยืนแล้วหมุนตัวกลับไป เหวี่ยงรถเข็นไปมาเพื่อนสกัดต้านลูกธนู เดินโซเซพุ่งเข้าหาทหารที่ดาหน้าเข้ามา ดวงตาแดงฉานถลึงกว้าง ตวาดอย่างโกรธเกรี้ยวว่า “ไอ้ชาติชั่ว! ผู้เฒ่าอยู่นี่แล้ว เข้ามาเลย!

รอบข้างไร้ที่กำบัง หลัวอันเข็นรถเข็นวิ่งกลับเข้าไปทันที มุ่งหน้าไปยังโถงหลัก ต้องการเข้าไปหลบซ่อน

องครักษ์หลายนายถืออาวุธวิ่งออกมาจากสองฝั่ง คอยคุ้มกันอยู่ทางด้านหลังหลัวอัน ปกป้องเหมิงซานหมิงหลบหนี

ทันใดนั้นมีพลธนูจำนวนมากโผล่ออกมาจากหลังกำแพงสวนทั้งสองฝั่ง เสียงยิงธนูดังขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียง

ห่าธนูพุ่งเข้ามา ซางเฉาจงที่วิ่งออกมาดูสถานการณ์ตรงหน้าประตูตกใจ พลันยกเท้าถีบหลานรั่วถิงให้เซล้มไปหลังบานประตูด้านข้าง ส่วนตัวเขาก็อาศัยแรงถีบล้มตัวไปด้านหลังเช่นกัน ทั้งสองหลบลูกศรที่พุ่งเข้าได้อย่างหวุดหวิด

ซางเฉาจงกลิ้งตัวไปหลบอยู่หลังบานประตูทันที

ห่าลูกศรพุ่งเข้ามาในห้องโถง ปักลงในห้องโถงจนเกิดเสียงดังสนั่น หลานรั่วถิงตกใจจนหลังเหงื่อเยียบเย็นออกมา หากไม่ได้ลูกถีบของท่านอ๋องช่วยไว้ ชีวิตน้อยๆ ของตนคงจบลงตรงนี้แล้ว

องครักษ์ทั้งสี่นายที่คุ้มกันอยู่ด้านหลังหลัวอันถูกศรปักจนดูคล้ายเม่น ทรุดฮวบลงไปกับพื้น

หลัวอันที่ใช้ตัวบังเหมิงซางหมิงพลางยกรถเข็นวิ่งขึ้นบันไดไปปรากฏเด่นชัดขึ้นมาทันที ลูกศรหลายดอกปักเข้าที่แผ่นหลังดังฉึกๆ

ร่างที่อยู่บนรถเข็นกระเด็นออกไป ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานนี้ หลัวอันคว้าร่างผอมแห้งของเหมิงซานหมิงไว้ ออกแรงโยนเหมิงซานหมิงออกไป โยนเข้าไปในโถงหลัก

“หลัวอัน!” เหมิงซานหมิงตะโกนเสียงเศร้า ตัวเขาที่ลอยละลิ่วออกไปหันกลับไปเห็นฉากที่ไม่อยากจะเห็นมากที่สุด

ร่างของหลัวอันที่มีโลหิตไหลหยดออกมาจากมุมปากทรุดฮวบ ล้มทับลงไปบนรถเข็น สองเท้าอ่อนแรง ไหลตามรถเข็นลงบันไดไป ตะโกนเสียงกร้าวว่า “ไม่ต้องสนใจข้า ปิดประตู!”

พอร่างหยุดนิ่งอยู่ด้านล่างบันได เขาพลันลุกขึ้นยืนแล้วหมุนตัวกลับไป เหวี่ยงรถเข็นไปมาเพื่อนสกัดต้านลูกธนู เดินโซเซพุ่งเข้าหาทหารที่ดาหน้าเข้ามา ดวงตาแดงฉานถลึงกว้าง ตวาดอย่างโกรธเกรี้ยวว่า “ไอ้ชาติชั่ว! ผู้เฒ่าอยู่นี่แล้ว เข้ามาเลย!”

……………………………………………………….