ตอนที่ 436 เอาทวนมา!

ไม่มีผู้ใดตอบรับ แล้วก็ไม่มีทางตอบรับ มีเพียงการโจมตีเข้าใส่อย่างเงียบงันไร้วาจา

ในตอนที่วางแผนเรื่องนี้ ผู้บัญชาการได้กำชับลูกน้องเอาไว้แล้วว่าพยายามอย่าให้เกิดเสียงดังอึกทึกครึกโครมขึ้น ดังนั้นจึงไม่มีเสียงตะโกนโห่ร้องยามบุกเข้าสังหาร

จริงอยู่ที่ตัวรถเข็นสามารถสกัดลูกธนูไว้ได้ไม่น้อย แต่ก็ยังมีธนูดอกหนึ่งปักเข้าที่ขา หลัวอันขาอ่อนลงไปอีกครั้ง ล้มลงไปบนพื้นพร้อมกับรถเข็น ล้มคว่ำลงไปบนรถเข็นอีกครั้ง

แต่เขากลับไม่ยอมแพ้ อาศัยพนักเก้าอี้สกัดต้าน ตัวฟุบพาดอยู่บนเบาะเก้าอี้ ถีบขาที่ได้รับบาดเจ็บ ดันรถเข็นพุ่งเข้าหาศัตรูอย่างบ้าคลั่ง จากนั้นชักดาบที่พกอยู่ตรงเอวมาถือไว้ โลหิตทะลักออกมาจากปากไม่หยุด

เกิดเสียงดังปึกๆ รัวใส่พนักเก้าอี้ ลูกศรที่พุ่งเข้ามาอย่างรุนแรงทะลุพนักเก้าอี้ หัวศรแหลมคมเรียงรายดั่งคมเขี้ยวปรากฏขึ้นเบื้องหน้าเขา เขายังคงดันรอเข็นพุ่งเข้าใส่อย่างไร้ความกริ่งเกรง เกิดรอยเลือดลากตามเป็นทาง

การโจมตีถูกสกัด หลัวอันโยนรถเข็นทิ้ง จากนั้นหมุนตัวกลับมา ถือดาบเข้าปะทะกับกลุ่มทหาร

คมดาบตวัดวาด บ้างก็ฟาดฟัน บ้างก็แทงออกไป เกิดเสียงโหยหวนแว่วระงม แล้วก็ยังมีเสียงธนูถูกฟันทำลายด้วย พลธนูที่เรียงแถวอยู่ด้านหน้าถูกโจมตีใส่จนเกิดความวุ่นวายขึ้นทันที

ประกายกระบี่สายหนึ่งพุ่งเข้ามา แทงเข้าที่หน้าท้องของหลัวอันที่ตอบสนองได้ไม่คล่องแคล่วนัก

หลัวอันกุมกระบี่เอาไว้ ไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายชักกลับไป ฉวยโอกาสยกแขนเหวี่ยงดาบออกไป ตัดคอของอีกฝ่ายจนขาด

แม้จะบาดเจ็บสาหัส แต่หลัวอันที่ใช้ลมหายใจเฮือกสุดท้ายทุ่มชีวิตต่อสู้อย่างบ้าดีเดือดกลับทำให้ศัตรูที่ปิดล้อมอยู่รอบข้างจนปัญญาจะทำอันใดเขาได้

ผู้ที่สามารถรับตำแหน่งองครักษ์ประจำตัวเหมิงซานหมิงได้ ย่อมเปี่ยมด้วยความกล้าหาญ!

คิดไม่ถึงว่าจะมีคนบ้าดีเดือดไม่กลัวตายเช่นนี้อยู่ ทหารที่ปิดล้อมโจมตีต่างขวัญผวา ใครบ้างไม่รักชีวิตตัวเอง? ทุกคนถอยหลังไปโดยไม่รู้ตัว!

ดวงตาของเฟิ่งรั่วอี้ที่อยู่ด้านหลังกลุ่มคนฉาวแววดุดัน เขายื่นมือไปทางด้านหลัง คว้าทวนยาวที่ทหารคนสนิทช่วยถือไว้ให้

เมื่อรับหวนยาวมาแล้ว เฟิ่งรั่วอี้ที่อยู่ในชุดเกราะเดินฝ่ากลุ่มทหารออกมาเหมือนดั่งนาวาแล่นผ่านเกลียวคลื่น คล้ายว่าจะสบโอกาสที่จะลงมือ ทวนพุ่งฉิวข้ามเงาร่างทหารที่ขวางหน้าไปเกิดเสียงดังฟุ่บ

สวบ! ด้วยไร้ที่หลบเลี่ยงกำบัง หลัวอันที่ถูกทวนแทงทะลุหน้าอกคล้ายสูญเสียลมหายใจเฮือกสุดท้ายที่ประคองร่างไว้ไป ร่างกายทรุดลงไปกับพื้น

เฟิ่งรั่วอี้เดินแหวกกลุ่มทหารที่ขวางอยู่ออกมา ยื่นแขนออกไปจับด้ามทวน ยกตัวหลัวอันจนลอยขึ้นมาด้วยมือเดียว

แขนที่ยกทวนเอาไว้ไม่สั่นไหวแม้แต่น้อย พละกำลังเหนือคนธรรมดา

ทักษะการใช้ทวนและกำลังแขนของเฟิ่งรั่วหนานไม่ด้อยไปกว่าบุรุษเลย ในสนามรบนับว่าแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก แต่พี่ชายสองคนของนางร้ายกาจยิ่งกว่านาง

ในแง่หนึ่งแล้ว บุตรธิดาทั้งสามของตระกูลเฟิ่งล้วนสืบทอดพันธุกรรมอันโดดเด่นในบางด้านมาจากเผิงอวี้หลาน ต่างเป็นพวกร่างกายสูงใหญ่ทรงพลังแต่กำเนิด เกิดมาเพื่อเป็นยอดแม่ทัพในสนามรบ

เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง!

หลัวอันที่ร่างกายคาอยู่บนคมทวนเหวี่ยงดาบฟันออกไปอย่างอ่อนแรง ฟันเข้าที่ด้ามทวนอย่างไม่ยอมแพ้ ตวัดฟันทีหนึ่งก็เกิดเสียงดัง ‘เคร้ง’ ทีหนึ่ง แต่เขาหมดเรี่ยวแรงแล้วจริงๆ นิ้วมือทั้งห้ากุมดาบไว้ไม่อยู่อีกต่อไป สุดท้ายดาบก็ร่วงตกลงพื้น

หลัวอันที่ศีรษะห้อยพับไปด้านข้างดวงตาเบิกโพลง ยังคงถลึงตาจ้องมองเฟิ่งรั่วอี้ที่อยู่ด้านล่างจากมุมสูง

โลหิตไหลย้อยมาตามด้ามทวน ไหลเปื้อนมือเฟิ่งรั่วอี้ที่จับด้ามทวนเอาไว้ เฟิ่งรั่วอี้มีสีหน้าเย็นชาไม่แยแส ดวงตาจ้องมองซานเฉาจงที่อยู่หลังประตูห้องโถง มีเจตนาข่มขวัญ

เรื่องราวดำเนินมาถึงขั้นนี้แล้ว เขาเองก็ไม่เหลือทางเลือกอีกต่อไป ต้องทำให้สำเร็จเท่านั้น ไม่อาจล้มเหลวได้!

“เฟิ่งรั่วอี้ ข้าสาบานว่าจะฆ่าเจ้าให้ได้!”

เมื่อเห็นหลัวอันสิ้นใจห้อยคาคมทวนเช่นนี้ ซางเฉาจงที่อยู่หลังประตูก็ดวงตาแดงฉานขึ้นมาเช่นกัน โกรธแค้นจนคล้ายจะมีเปลวไฟพวยพุ่งออกมาอย่างไรอย่างนั้น เขายื่นมือข้างหนึ่งออกไปชี้หน้าเฟิ่งรั่วอี้พลางตวาดกร้าว

การพบหน้ากันระหว่างน้องเขยและพี่ภรรยาในครานี้ นับว่าแตกหักกันอย่างสมบูรณ์แล้ว

มาถึงขั้นนี้แล้ว หากซางเฉาจงที่ถูกปิดกั้นข่าวสารยังไม่รู้อีกว่าเป็นผู้ใดที่ต้องการสังหารเขา เช่นนั้นเขาก็โง่เต็มทนแล้ว เวลานี้เขาอยู่ภายใต้การควบคุมของสำนักหยกสวรรค์แล้ว หากสำนักหยกสวรรค์ต้องการสังหารเขา อีกฝ่ายก็ไม่จำเป็นต้องทำให้เรื่องราวใหญ่โตขนาดนี้เลย เลือกผู้บำเพ็ญเพียรสักคนมาก็เพียงพอจะสังหารเขาได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องก่อเรื่องเช่นนี้เลย เป็นฝั่งพ่อตาของตนต่างหากที่อยากจะกำจัดตนทิ้ง!

เขาแค้นใจนัก แค้นใจที่ตอนนั้นตนใจอ่อนเกินไป ไม่ได้ฉวยโอกาสที่ตระกูลเฟิ่งสูญเสียอำนาจชิงตัดไฟเสียแต่ต้นลม ต่อให้จัดการตระกูลเฟิ่งจนสิ้นซากเสียตั้งแต่ตอนนั้น สำนักหยกสวรรค์จะว่าอะไรเขาได้? ต่อให้เผิงโย่วไจ้จะโกรธเกรี้ยวแค่ไหน แต่เพื่อผลประโยชน์ของสำนักหยกสวรรค์แล้ว อีกฝ่ายก็ไม่มีทางจะลงมือกับเขาง่ายๆ ต้องโทษตัวเขาที่ใจอ่อนเหลาะแหละเกินไป ถึงต้องมาเสียใจภายหลังเช่นนี้!

เมื่อเห็นหลัวอันที่คาอยู่บนคมทวนแน่นิ่งไป เหมิงซานหมิงที่ยันตัวลุกขึ้นนั่งบนพื้นก็ตาแดงฉานขึ้นมาเช่นกัน

แม่ทัพเหมิงที่สุขุมเยือกเย็นเสมอมา ยามนี้โกรธเกรี้ยวสุดขีด ดวงตาแทบจะเบิกถลนออกมาแล้ว เขาตวัดมือไปด้านหลังตวาดกร้าว “ทวนละ! เอาทวนมา!”

เขาหลงลืมความชราไปในทันใด นึกว่าตนยังอยู่ในสนามรบ นึกว่าตนยังเป็นยอดขุนพลที่ควงทวนพุ่งเข้าโรมรันเช่นในสมัยก่อน

ฉากความฝันในช่วงหลายปีมานี้ยังคงเป็นภาพสมัยที่ใช้ชีวิตอยู่ท่ามเสียงลั่นกลองเป่าแตรสัญญาณ ยามตื่นขึ้นมา เขาก็มักจะตื่นขึ้นมาจากฝันที่มีค่ายทหารที่เต็มไปด้วยทหารนับหมื่นนับพัน ไม่เคยเลือนรางจางหายไป

ทว่าความเป็นจริงช่างแสนโหดร้าย ตอนนี้ไม่ได้อยู่ในความฝันแล้ว เบื้องหลังไม่มีกองทัพห้อมล้อมหนุนหลัง แล้วก็ไม่มีผู้ใดนำทวนมาส่งให้

ภายในห้องโถงเหลือเพียงตัวเขา ซางเฉาจงและหลานรั่วถิง แม้ว่าในห้องโถงจะมีชั้นอาวุธตั้งอยู่สองฟากฝั่ง บนชั้นเองก็มีอาวุธจัดวางไว้ครบครัน แต่ไม่ว่าจะเป็นซางเฉาจงหรือหลานรั่วถิงก็ไม่สามารถปล่อยให้ชายชราที่อยู่ในสภาพนี้ถือทวนเสี่ยงชีวิตเข้าต่อสู้ได้

ไม่มีใครตอบรับ เหมิงซานหมิงที่มีแววตาโกรธขึงเหลียวมองไปด้านหลังทันที กำลังจะเอ่ยตำหนิ แต่เมื่อเห็นสถานการณ์ภายในห้องชัดเจนขึ้นมาก็คล้ายถูกสาดน้ำเย็นใส่หน้า ได้สติกลับมาจากภวังค์ความคิดในชั่วพริบตา

ทันใดนั้นเอง ความเศร้าหมองพลันฉายชัดขึ้นบนใบหน้าอันเหี่ยวชราของเขา ความรู้สึกที่ไร้ซึ่งพละกำลังนั้นยากจะบรรยายออกมาได้ ทำศึกต่อสู้มาค่อนชีวิต ต้องมาตกอยู่ในสภาพน่าสังเวชเช่นนี้หรือ ชีวิตจะต้องปิดฉากลงแบบนี้อย่างนั้นหรือ?

ต่อให้ในใจจะรู้สึกเจ็บแค้นแค่ไหน แต่เขากลับทราบดีเช่นกันว่าด้วยกำลังของพวกเขาไม่กี่คนไม่มีทางเปลี่ยนแปลงอะไรได้

เฟิ่งรั่วอี้ไม่มีทางชักช้ารีรอ อันที่จริงนับตั้งแต่บุกเข้ามาในเรือนจนถึงตอนนี้นั้นใช้เวลาไปเพียงไม่นาน

เขาสะบัดทวนในมือ พลั่ก! หลัวอันที่ห้อยคาอยู่บนคมทวนกระแทกลงไปบนพื้น โลหิตนองเต็มพื้น

โลหิตสาดที่กระเซ็นดูราวกับบุปผาเบ่งบาน ศพของหลัวอันแน่นิ่งอยู่บนพื้นไม่ไหวติง

มือที่เปื้อนเลือดยกทวนชี้ไปด้านหน้า ตวาดเสียงเข้ม “ฆ่า!”

เสียงยิงธนูแว่วดังขึ้นอีกครั้ง ห่าธนูพุ่งฉิวออกไป ปกคลุมเข้าใส่เหมิงซานหมิงที่นั่งอยู่บนพื้น

“แม่ทัพเหมิง!” หลานรั่วถิงอุทานตกใจ

เงาร่างของซางเฉาจงกระโจนออกมาจากหลังบานประตู โผเข้าหาเหมิงซานหมิง

เงาดำหลายร่างโผล่เข้ามาขวางตรงปากประตู องครักษ์หลายนายพุ่งออกมาจากใต้ชายคาทั้งสองด้าน ถือข้าวของจำพวกโต๊ะตู้ต่างๆ กำบังกายไว้แล้ววิ่งเข้ามา มาขวางอยู่ตรงหน้าประตู สกัดกั้นห่าธนูที่กระหน่ำยิงเข้ามาเอาไว้ด้านนอกประตู

ในเวลาเดียวกับที่องครักษ์สี่นายถอยกลับเข้าไปในห้องโถงอย่างรวดเร็ว พวกเขายื่นมือออกไปสองฝั่งซ้ายขวา ดึงบานประตูที่อยู่ทั้งสองฝั่งเข้ามาปิดเข้าหากันโดยเร็ว

องครักษ์สองนายลงดาลประตูพลางใช้ร่างค้ำยันประตูไว้ ส่วนองครักษ์อีกสองนายขนย้ายข้าวของมาวางดันประตูไว้อย่างรวดเร็ว

เสียงธนูด้านนอกประตูหยุดไปแล้ว เสียงที่ดังขึ้นมาแทนที่คือเสียงฝีเท้าจำนวนมากที่มุ่งหน้าเข้ามา

….

ในสวนด้านหลัง ซางซูชิงยื่นอยู่ริมสระด้วยสีหน้าเศร้าหมอง กำลังคิดอะไรอย่างเงียบๆ

เมื่อได้ยินคำว่า “ศัตรูบุก” นางก็ได้สติกลับมาพลางเหลียวมองรอบข้างทันที พลันมองเห็นคนกลุ่มหนึ่งโผล่หัวออกมาจากกำแพงสวนแล้วปีนข้ามมา นางอดไม่ได้ที่จะตกใจ

ในขณะที่ผู้บุกรุกกลุ่มแรกกระโดดลงมาจากกำแพง องครักษ์สองนายก็วิ่งเข้ามาจากด้านข้าง เข้าคุ้มกันนางไว้ “ท่านหญิง รีบหนีพ่ะย่ะค่ะ!”

ซางซูชิงยกชายกระโปรงขึ้น ทั้งสามรีบล่าถอยโดยเร็ว

ทหารที่กระโดดลงมาจากกำแพงไล่ตามไป ขณะเดียวกันก็น้าวสายธนูยิงออกไปอย่างว่องไว ห่าธนูโถมเข้าใส่

เมื่อได้ยินเสียงธนูแว่วมาจากทางด้านหลัง องครักษ์นายหนึ่งที่วิ่งไปถึงหน้าประตูวงเดือนแล้วหันกลับไปมองจากนั้นกางสองแขนออกทันที ใช้ตัวขวางบังด้านหลังซางซูชิงไว้

ซางซูชิงเลี่ยงเคราะห์ไปได้ เลี้ยวผ่านประตูวงเดือนไป แต่องครักษ์นายนั้นล้มลงจมกองเลือด

“พี่หยาง!” ซางซูชิงร้องตะโกนเสียงเศร้า หันหลังวิ่งออกมา ต้องการจะไปลากองครักษ์ที่ชักกระตุกบนพื้นเข้ามา

เฟิ่งรั่วเจี๋ยที่ยืนอยู่บนกำแพงสวนลงมือทันที คว้าคันธนูมาจากมือลูกน้องข้างกาย น้าวสายขึ้นศรอย่างรวดเร็ว ยิงธนูดอกหนึ่งออกไปด้วยความเร็วสูงก่อนที่คลื่นธนูระลอกต่อไปจะยิงโจมตีออกไป

เล็งเป้าตรงไปยังซางซูชิงที่ปรากฏตัวขึ้นมา ลูกธนูแหลมคมส่งเสียงหวีด พุ่งเข้าใส่ซางซูชิง

จำต้องยอมรับเลยว่าทักษะธนูของแม่ทัพที่เติบโตขึ้นมาจากสนามรบผู้นี้ค่อนข้างดุดันและแม่นยำนัก!

ครั้งนี้ตระกูลเฟิ่งไม่ได้ต้องการสังหารเพียงซางเฉาจงเท่านั้น ในเมื่อลงมือทั้งมี ก็ไม่มีความจำเป็นต้องปล่อยให้เหลือผู้รอดชีวิตอีก เพื่อจะได้ไม่ให้เกิดปัญหาตามมาในภายหลัง ทุกคนที่อยู่ฝั่งซางเฉาจงต้องตาย นับประสาอะไรกับซางซูชิง อีกฝ่ายคือน้องสาวแท้ๆ ของซางเฉาจง หรือต้องปล่อยให้สตรีนางนี้รอดชีวิตเพื่อกลับมาล้างแค้นเล่า?

“ท่านหญิง ไปพ่ะย่ะค่ะ!” องครักษ์อีกนายหนึ่งตะโกนเรียก พลันดึงแขนซางซูชิงเอาไว้ บังคับลากตัวกลับมา

ในเสี้ยวพริบตาที่ร่างซูชิงถูกลากให้หมุนกลับไป ลูกธนูก็ปักเข้าที่สะบักด้านหลังของนางดังฉึก ทิ่มทะลุไปถึงกระดูก ใบหน้านางบิดเบี้ยวด้วยเจ็บปวด ฝีเท้าซวนเซ

ความโชคดีในความโชคร้ายคือองครักษ์ตอบสนองรวดเร็ว ลงมือได้ทันเวลา ทำให้ชีวิตของซางซูชิงรอดพ้นจากการโจมตีของธนูดอกนี้ได้

องครักษ์ลากแขนซางซูชิงออกวิ่งอย่างสุดชีวิต เขาเองก็มองเห็นธนูที่ปักอยู่ด้านหลังซางซูชิงดอกนั้น แต่ตอนนี้เขาไม่มีเวลามานั่งสนใจอะไรขนาดนั้น แล้วก็ไม่มีเวลาพอจะมารักษาบาดแผลให้ท่านหญิงได้

เฟิ่งรั่วเจี๋ยกระโดดลงมาจากกำแพงพลางโบกมือ ทหารคนสนิทสี่นายที่อยู่ด้านหลังแยกตัวออกมาจากขบวนทัพไล่ตามไปอย่างบ้าคลั่ง

ทหารทั้งสี่นายวิ่งผ่านประตูวงเดือนเข้าไป พอเห็นเงาร่างเป้าหมายก็น้าวธนูยิงทันที

องครักษ์ที่พาซางซูชิงหนีคนนั้นรีบดึงซางซูชิงให้หมอบหลบทันที อาศัยแปลงดอกไม้แปลงหนึ่งเป็นที่กำบังจากนั้นพุ่งตัวออกไป พุ่งกระแทกประตูบานเล็กบานหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ ให้เปิดออก แล้วพาซางซูชิงหนีเข้าไป

องครักษ์เพิ่งจะหันไปปิดประตูลงดาล พลางเลื่อนตู้ใบหนึ่งมาขวางประตูไว้ จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงดัง ‘แคว่ก’ แว่วมาจากด้านหลัง เมื่อหันกลับมา เขาเห็นสตรีอย่างซางซูชิงกำลังฉีกกระโปรงของตนอยู่ เผยให้เห็นกางเกงขายาวที่อยู่ด้านใน

เขายังไม่ทันเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ซางซูชิงก็ย่อตัวกระโดดขึ้นไปบนโต๊ะตัวหนึ่งแล้ว จากนั้นเอ่ยเรียกก่อนจะหลบหนีต่อว่า “รีบไปเถอะ ออกจากที่นี่ ไปรวมตัวกับท่านอ๋อง”

ครืด! ซางซูชิงที่ใช้โต๊ะเป็นฐานรองเท้าใช้ร่างกายกระแทกตระแกรงไม้ระบายอากาศด้านบนออก ใช้ร่างกายอันสูงส่งล้ำค่านี้กระแทกออกไปอย่างไม่ลังเล

องครักษ์ถึงได้เข้าใจขึ้นมา ท่านหญิงรังเกียจความรุ่มร่ามของกระโปรง ทำให้วิ่งหลบหนีไม่สะดวก จึงฉีกชายกระโปรงออกเพื่อให้สะดวกต่อการเคลื่อนไหว!

ตึงตึงตึง! มีเสียงกระแทกประตูอย่างรุนแรงแว่วมาจากด้านหลัง โชคดีที่มีตู้ดันอยู่ จึงกระแทกให้เปิดออกไม่ได้ง่ายๆ

องครักษ์ย่อตัวกระโจนขึ้นไป ใช้วิธีเดียวกับซางซูชิง มุดผ่านออกไป

พอลงพื้นอีกครั้ง พวกเขาก็มาถึงลานเรือนอีกหลังที่อยู่อีกฝั่งของกำแพงแล้ว มีเสียงฝีเท้าจำนวนมากดังผ่านกำแพงมา

“ไป!” ซางซูชิงที่รอเขาอยู่ใต้กำแพงร้องเรียก ทั้งสองรีบวิ่งไปทางประตูหลังของโถงหลักที่อยู่ด้านหน้า

ทันทีที่ผ่านเข้าไป องครักษ์นายนั้นก็ปิดประตูหลังทันที ทำการย้ายของมากั้นไว้

พอได้ยินเสียงของพวกหลานรั่วถิงจากทางโถงด้านหน้า ซางซูชิงที่ยังคงมีธนูปักอยู่ตรงสะบักหลังกัดริมผีปาก สีหน้าเจ็บปวดอย่างเห็นได้ชัด โลหิตสดๆ อาบย้อมแผ่นหลังเป็นวงกว้างแล้ว

นางยกมือกุมไหล่ข้างนั้นไว้ เร่งเดินไปที่โถงด้านหน้า เห็นภาพที่เหมิงซานหมิงผลักซางเฉาจงที่โผเข้าหาเขาออกไปพอดี

…………………………………………………………….