บทที่ 432 จะระเบิดอารมณ์แล้ว

หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป

บทที่ 432 จะระเบิดอารมณ์แล้ว

ยังมีเวลาอีกยี่สิบวัน ถ้ายังไม่รู้แผนชัดเจน การไปสนามรบครั้งนี้ พวกเขาอาจจะไม่ได้กลับมา……

“ไม่ต้องไปคิดแล้ว เยาเยา เรื่องนี้ให้ข้าตรวจสอบ เจ้าทำตามแผนของข้าไปก็พอแล้ว”

ที่จริง การมีเย่แจ๋หยิ่งอยู่ เรื่องหลายๆเรื่องก็ไม่ต้องให้นางมาเป็นกังวล

นางแค่ต้องทำเรื่องของตัวเองให้ดีก็พอแล้ว

“ได้!” หลานเยาเยายิ้ม

หลังจากนั้นพวกเขาก็พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องสวนว่างฮัว

แม้เย่แจ๋หยิ่งจะสืบมาได้ว่า ในสวนว่างฮัวมีหนอนพิษกู่จิ้นที่ราชครูเทียนเวิงเพาะอยู่ แต่ไม่ได้สืบให้ละเอียดว่าปลูกที่ไหน สิ่งนี้ต้องการให้หลานเยาเยาหลังจากที่เข้าไปในสวนว่างฮัวได้แล้ว ก็ไปสืบหาดู

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่

เย่แจ๋หยิ่งนอนตะแคงมองหลานเยาเยาที่หลับไปแล้ว ใจก็เต้นเล็กน้อย อดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปสัมผัสริมฝีปากแดงร้อนแรง จากนั้นก็ถูเบาๆ

นุ่มๆ อุ่นๆ ทำให้อดไม่ได้ที่จะเข้าไปใกล้

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าเย่แจ๋หยิ่ง

เมื่อครู่พูดว่าจะแค่นอนกอดนาง เขาจะไม่ทำอะไรที่เกินเลยแน่ แต่ว่า การลิ้มรสริมฝีปากที่น่าดึงดูด คงไม่นับว่าเป็นการได้คืบจะเอาศอกใช่ไหม?

นึกถึงแต่ก่อนตอนที่พวกเขาอยู่ด้วยกัน หลานเยาเยามีท่าทางมีอารมณ์ต่อหน้าเขา เย่แจ๋หยิ่งก็อดกลืนน้ำลายไม่ได้ จากนั้นก็เข้าไปจูบริมฝีปากงามหยดย้อย ความรู้สึกซาบซ่านก็แผ่ไปทั่วทั้งร่างกาย หลังจากที่จูบลงไปแล้ว เย่แจ๋หยิ่งก็ไม่สามารถควบคุมได้อีก······

——

วันที่สอง

แม้นอกห้องบรรทมดวงอาทิตย์จะสาดส่องสดใส แต่ในห้องบรรทมยังมืดสลัวอยู่ หลานเยาเยาบิดขี้เกียจอย่างสบาย ลุกขึ้นนั่งอย่างสะลึมสะลือ แต่กลับรู้สึกว่าปากนั้นดูหนาๆ จึงขยับเล็กน้อยดูเหมือนจะเจ็บหน่อยๆ ดังนั้นนางจึงยื่นมือไปแตะปาก

เออ?

บวมหรอ?!

ปฏิกิริยาโต้ตอบคือมองร่างกายตนเองตามสัญชาตญาณ

“······”

เสื้อด้านในนางหายไปแล้ว เหลือเพียงแต่เสื้อชั้นในหลวมๆอยู่บนตัว ประเด็นหลักก็คือ ทั้งตัวบนล่างมีแต่รอยจูบน่าสยดสยอง

“อ๊าก······”

เสียงร้องของนางนั้นทำเอานกที่เกาะอยู่ในตำหนักเทพธิดาตกใจบินไปหมด

เย่แจ๋หยิ่ง คนโกหก ไหนบอกว่าจะไม่ทำอะไรนางไง? ดูเรื่องที่เขาทำไว้สิ น่าโมโหนัก ครั้งหน้าหากเจอเขาจะต้องเอาคืนทั้งต้นทั้งดอก

ขณะนั้นเอง

“ตึ้ง ตึ้ง ตึ้ง······”

เสียงทุบประตูแรงๆดังขึ้นมา หลานเยาเยาตกใจ โมโหไม่มีที่ระบายพอดี จึงคำรามออกไป: “ใคร?”

จู่ๆนอกห้องบรรทมก็เงียบไปสักพัก จากนั้นถึงจะมีเสียงดังขึ้นมา

“คุณหนู ที่แท้ท่านก็ไม่เป็นอะไรใช่ไหม? เมื่อครู่ตะโกนเรียกท่านไปหลายครั้งแต่ไม่มีเสียงตอบ คิดว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น นี่จื่อเฟิงกำลังทุบประตูเอง!” จื่อซีที่อยู่ด้านนอก หยุดการกระทำยกเท้าเตะประตู ปาดเหงื่อไปพร้อมๆกับรายงานเหตุที่เตะประตู

จื่อเฟิงที่เดิมทีอยู่ในมุมมืด พอได้ยินจื่อซีปรักปรำเขา ก็รีบแฉลบตัวมาอยู่ด้านหลังของจื่อซี และเตะเขาเสียงดัง “ปัง” ทำเอาจื่อซีติดอยู่กับประตู

“พวกเจ้าด้านนอกเป็นอะไร?” เสียงของหลานเยาเยาดังมาจากด้านใน

จื่อซีที่มองเห็นดาว เว้นไปครู่นึงถึงจะพูดออกมาได้: “ไม่ ไม่เป็นอะไร”

เขาไม่รู้สึกถึงการมีอยู่ของตนเอง นี่เป็นการพังทลายหรือเปล่านะ?

——

ผ่านไปอีกสองวัน เป็นวันที่ถังมู่หวั่นจัดงานเลี้ยงชมดอกไม้ที่สวนว่างฮัว คุณหนู ท่านชาย และพวกมีชื่อเสียงมีความสามารถของแต่ละตำหนัก ก็ทยอยกันมายังสวนว่างฮัว

และในมือของหลานเยาเยา ก็ได้รับจดหมายเชิญของถังมู่หวั่นสามฉบับ ทั้งหมดเพื่อเป็นการขอโทษ จดกระทั่งจดหมายเชิญฉบับที่สี่มาถึงเมื่อวาน หลานเยาเยาถึงสั่งให้จื่อซีตอบกลับ ว่าจะไปร่วมงานตรงเวลาแน่นอน

ในช่วงเวลานี้

เซียวจิ่นหยูมายังตำหนักเทพธิดาครั้งหนึ่ง ประการแรกเพื่อขอโทษ ประการที่สอง เอาของมาให้เพื่อแสดงความซาบซึ้งใจ แต่เพราะหลานเยาเยาไม่อยู่ตำหนัก ดังนั้นจึงต้องให้พ่อบ้านต้อนรับ

วันที่สอง เจ้าพระยาเซียวยังมาเยี่ยมเยียนด้วยตนเอง ก็ยังคงไม่เห็นร่องรอยของนาง แต่ได้พูดคุยกับตาแก่ที่เป็นพ่อบ้านอย่างสนุกสนาน

สำหรับเรื่องเล็กๆพวกนี้ หลานเยาเยาไม่ได้ถาม แต่จื่อเฟิงก็ยังมารายงานนางอย่างละเอียดยิบ

ในตอนที่หลานเยาเยากลับยังตำหนัก ก็เห็นตาแก่กำลังส่งเจ้าพระยาเซียวออกนอกประตูตำหนักพอดี

ทันทีที่เห็นนาง ตาแก่ก็ทำท่าทางเหมือนกับไก่แก่ที่โมโห ไม่พูดจาอะไร ถกแขนเสื้อขึ้นและพุ่งมาทางนาง

หลานเยาเยาเห็นท่าไม่ดี

ไม่สนใจภาพลักษณ์ของเทพธิดาอีก รีบวิ่งอย่างสุดฝีเท้า

“ยัยหนู หยุดเลยนะ ดูสิวันนี้เจ้าจะวิ่งไปไหน?”

“ตาแก่ ยังมีแขกอยู่นะ······”

“เฮอะ! จับเจ้าก่อนแล้วค่อยส่งแขกก็เหมือนกัน”ตาแก่ไม่สนอะไรมากมายแล้ว วันนี้จะต้องจับหลานเยาเยามาให้ได้

เจ้าพระยาเซียวที่เป็นแขกอยู่ เมื่อเห็นเทพธิดาถูกพ่อบ้านไล่จับไปทั่วตำหนัก ก็ตกตะลึง

นี่คือเทพธิดาที่ฮ่องเต้เคารพยำเกรง และยังกล้าตั้งตนเป็นศัตรูกับอ๋องเย่อย่างโจ่งแจ้งหรือนี่?

ต่อมาตาแก่นั้นโกรธจริงๆ ส่วนหลานเยาเยาก็หิวมากๆ จึงถูกเขาจับไว้ได้

ในเมื่อไม่มีทางเลี่ยงแล้ว

หลานเยาเยาจึงพูดความจริงที่นางลอบสังหารอ๋องเย่ออกมา ทำให้ตาแก่ถอนหายใจอย่างโล่งอก

หลังจากนั้นก็มาส่งเจ้าพระยาเซียวที่ปากประตู หลานเยาเยาก็กลับมาอยู่ในภาพลักษณ์ที่สูงส่งของเทพธิดา ส่วนตาแก่ก็กลับมาทำท่าทางเคารพอ่อนน้อมต่อเทพธิดาเช่นเคย

นอกจากเจ้าพระยาเซียวจะกลั้นยิ้มแล้วก็ต้องฝืนยิ้มเอาไว้ ทำให้หลานเยาเยาอารมณ์เสีย จ้องตาแก่ดุๆ

ภาพลักษณ์เทพธิดาของนางพังลงแล้ว······

——

หลังจากนั้นสองวัน

เป็นวันที่ถังมู่หวั่นจัดงานดอกไม้

หลานเยาเยาที่สวมชุดสีแดง ทั้งดูสะดุดตาดูมีอำนาจ ชุดที่นางสวมวันนี้ต่างจากชุดที่นางใส่ปกติเยอะมาก ไม่เพียงแต่ไม่ยุ่งยาก แต่ยังดูมีความสามารถเชี่ยวชาญ ท่าทางนั้นไม่ได้จะไปชมดอกไม้ แต่ไปเพื่อทะเลาะ

ทันทีที่ออกมาประตูใหญ่ ก็เห็นเย่หลีเฉินหน้าตาหล่อเหลา ยืนอยู่ข้างรถม้า ริมประตูตรงถนนด้านนอก จ้องมายังนาง หลังจากที่เห็นว่านางเดินออกมา มุมปากก็ประดับด้วยรอยยิ้มบางๆ

จากนั้นก็คำนับนาง

“ข้าบังอาจมาก่อน ขออภัยเทพธิดาในความไม่สะดวก”

“แผลของเจ้าดีแล้วหรือ?”

ไม่เจอกันสองสามวัน เย่หลีเฉินดูกระปรี้กระเปร่าขึ้นไม่เหมือนกับคนบาดเจ็บ ครั้งก่อนหลังจากที่หนีกันออกมาจากสุสานหลวง นางก็ไปส่งเขาที่บาดเจ็บหนักกลับพระตำหนักไท่จื่อ หลังจากนั้นก็ไม่กันพบอีกเลย

คิดไม่ถึงว่าวันนี้จู่ๆจะโผล่มาที่นี่

“ขอบพระคุณที่เทพธิดาเป็นห่วง ข้าดีขึ้นมากแล้ว” เย่หลีเฉินดูมีความสุขมาก

เขารู้สึกว่าตอนอยู่ที่สุสานหลวง พวกเขาฟันฝ่าความทุกข์ยากมาด้วยกัน เทพธิดาก็ไม่ได้เข้าถึงยากอย่างที่คิดไว้ กลับทำให้เขารู้สึกว่านางนั้นเป็นคนที่ให้ความรักความสำคัญกับผู้คน

เป็นห่วง?

นางไปเป็นห่วงเขาตั้งแต่เมื่อไหร่? ก็เป็นแค่การพูดตามมารยาทเท่านั้น

แต่เย่หลีเฉินในวันนี้ เห็นได้ชัดว่าไม่เหมือนวันก่อน สำหรับว่าไม่เหมือนตรงไหน นางเองก็พูดไม่ได้

“มีธุระอะไร?” นางถาม

“ได้ยินมาว่าท่านจะไปงานชมดอกไม้ที่สวนว่างฮัว ข้าเองก็จะไปที่นั่น เลยถือโอกาสผ่านเส้นทางนี้มารอที่นี่ จะได้ไปด้วยกันพอดี”

หลานเยาเยายกมุมปากขึ้นเล็กน้อย

หากจากพระตำหนักไท่จื่อไปยังสวนว่างฮัว ใช้เวลาไม่ถึงสามสิบนาที แต่จากพระตำหนักไท่จื่อมายังตำหนักเทพธิดาของนาง แล้วก็ไปสวนว่างฮัวอีก ต้องใช้เวลาเกินสามสิบนาที นี่เรียกว่าถือโอกาสผ่านจริงหรือ?

แต่ว่า

นางก็ไม่ได้แฉเย่หลีเฉิน แต่พยักหน้าน้อยๆ

“งั้นก็ไปด้วยกันเถอะ!