บทที่ 431 ปิดตายประตูหน้าต่าง

หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป

บทที่ 431 ปิดตายประตูหน้าต่าง

พอฟังถึงตรงนี้ นัยน์ตาของเย็นหงก็ประกายออกมาเล็กน้อย จากนั้นก็มองไปยังทิศทางที่ขาหมูบินลอยมา นั่นเป็นต้นไม้ใหญ่ มีใบไม้ถี่ยิบ มองอะไรก็ไม่ชัด

แต่หลังจากที่ขาหมูถูกโยนเข้ามาด้านใน ก็ไม่ได้มีการเคลื่อนไหวอีก คาดว่าพวกเขาจะได้รับขาหมูแล้ว

ในไม่ช้า จื่อซีและจื่อเฟิงก็บินออกมาจากความมืด หลังจากนั้นก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าหลานเยาเยา และคำนับนาง

“ขอบพระทัยคุณหนู!”

ในมือของพวกเขาสองคนถือขาหมูไว้คนละอัน

“อย่างไร ก็ไม่ใช่ให้พวกเจ้ากินฟรีๆ หลังจากกินเสร็จช่วยหากระดานไม้และตะปูมาให้ข้า หลังจากนั้นก็ปิดตายหน้าต่างและประตูใหญ่ห้องบรรทมให้ข้าด้วย”

ทันทีที่พูดออกไป

ไม่เพียงแต่เย็นหงที่ตกใจ

แม้แต่จื่อซีและจื่อเฟิงก็ยังตะลึง จื่อซีถามอย่างงงๆว่า: “คุณหนู อยู่ดีๆทำไมต้องทำอะไรห้องบรรทมด้วย?”

คุณหนูจะทำอะไร?

คงไม่ใช่เพราะได้รับการกระตุ้นอะไร แล้วก็ต้องการปิดประตูฝึกฝนใช่ไหม?

ท่ามกลางสายตาที่งวยงงของพวกเขา หลานเยาเยาก็กระแอมเบาๆ ขี้เกียจจะพูดอะไรเยอะแยะกับพวกเขา

“กินเสร็จแล้วก็ทำงาน ไม่ต้องถามว่าทำไมให้เยอะแยะ”

ชิ!

จะเพราะอะไรได้อีกหล่ะ?

ก็กันไฟ กันขโมย กันอ๋องเย่ไง!

ตกกลางคืน

ตำหนักเทพธิดาวันนี้แปลกประหลาดมาก ประตูใหญ่ของตำหนักปิดไว

สิ่งที่ทำให้คนรู้สึกยิ่งประหลาดก็คือ ห้องบรรทมของเทพธิดา หากมองจากด้านนอกก็ไม่ได้พิเศษอะไร แต่หากมองจากด้านใน ประตูและหน้าต่างของห้องนั้นถูกตอกตะปูปิดตาย แม้แต่ยุงตัวเดียวก็เข้ามาไม่ได้

จื่อซีและจื่อเฟิงก็ยืนอยู่ปากประตู มองประตูห้องที่ปิดไว้แน่น มองกันไปมองกันมา อดไม่ได้ที่จะจับหัวอย่างงงๆ จากนั้นก็แฉลบตัวอำพรางอยู่ในมุมมืด

ในห้องบรรทม

หลานเยาเยามองประตูหน้าต่างที่ถูกปิดตายอย่างสงบนิ่ง และพยักหน้าอย่างพึงพอใจ

“เย่แจ๋หยิ่ง ถึงแม้เจ้าจะมีความสามารถเหนือมนุษย์ มีปีก คืนนี้ก็อย่าคิดจะบินเข้ามา”

ในที่สุดก็ได้นอนอย่างสบายใจเสียที

กลางดึก

ในช่วงสะลึมสะลือ หลานเยาเยาก็เหมือนได้ยินเสียงของขยับ จากนั้นก็เป็นเสียงกรอบแกรบ สุดท้าย จู่ๆตำแหน่งข้างกายก็จมลง……

นางลืมตาขึ้นมาทันที จากนั้นก็ยื่นหัวออกมาอย่างระมัดระวัง เมื่อเห็นว่าประตูหน้าต่างยังถูกปิดตายอยู่ ก็แอบถอนหายใจ

น่าจะหูฝาด……

นางยกยิ้มอย่างลำพองใจ ตอนที่เอาหัวกลับเข้ามา ก็เห็นเย่แจ๋หยิ่งที่ราวกับเทวดา เอนตัวลงมาหานาง ล้อมนางไว้ระหว่างขอบเตียงและตนเอง ดวงตาที่ลึกเป็นวังวนเผยความหลงใหลออกมา

รอยยิ้มบนหน้าของหลานเยาเยาแข็งทื่อทันที……

ฝัน!

ต้องฝันแน่ๆ

ประตูหน้าต่างก็ถูกปิดตาย นอกซะจากเย่แจ๋หยิ่งจะมีวิชาทะลุกำแพง ไม่งั้นเขาก็เข้ามาไม่ได้

แต่ว่า!

ในตอนที่นางพูดโน้มน้าวตัวเองอยู่นั้น ฝ่ามือที่อบอุ่นดูดีก็มาสัมผัสใบหน้านาง ริมฝีปากที่มีกลิ่นยาสมุนไพรจางๆของเย่แจ๋หยิ่งก็เปิดออก:

“เยาเยา ข้ามาตามนัดแล้ว!”

เมื่อสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่ฝ่ามือของเย่แจ๋หยิ่ง และลมหายใจของเขา นางก็อดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลาย

เป็นเย่แจ๋หยิ่งจริงๆ!

“เจ้า เจ้าเข้ามาได้อย่างไร?” หรือเขาจะเหนือมนุษย์จริงๆ?

“ไม่อยากให้ข้ามางั้นหรือ?”

เย่แจ๋หยิ่งเขยิบเข้ามาใกล้อีก จนจมูกของทั้งสองติดกัน “เออ?”

“ตึกตึกตึก”เสียงหัวใจเต้นเร็วขึ้นเรื่อยๆ เมื่อมองใบหน้าหล่อเหลาที่อยู่ตรงหน้าใกล้ๆ หลานเยาเยาก็รู้สึกเลือดสูบฉีดทันที จากนั้นก็รีบผลักเย่แจ๋หยิ่งออกไป และจับจมูกตนเองไว้

“เจ้าตอบข้ามาก่อน เข้ามาได้อย่างไร?”

ได้ยินดังนั้น!

เย่แจ๋หยิ่งก็หรี่ตา ใช้สายตาตำหนินาง ก่อนจะพูดอย่างไม่พอใจ: “เยาเยา เจ้าใจร้ายมากที่ปิดตายประตูหน้าต่าง แต่ไม่เป็นใจ ประตูหน้าต่างถูกปิด แต่ก็ยังมีหลังคาไม่ใช่เหรอ?”

หลังคา?

ให้ตาย ทำไมนางถึงลืมหลังคาไปได้นะ?

ดังนั้นนางจึงรีบยื่นหัวออกไปมองหลังคา กระเบื้องสีแดงบนหลังคาถูกเปิดออก เหมือนกับบาดแผลที่ถูกฉีกออก สามารถจุคนได้หนึ่งคน

หลานเยาเยาถอนหายใจเงียบๆและยกนิ้วโป้งให้เย่แจ๋หยิ่ง

“เจ้าเก่งมากจริงๆ!”นางหมดคำจะพูด

ดูท่า ครั้งหน้าจะต้องปิดแม้กระทั่งหลังคา

แต่ทว่า!

ความดีนั้นสูงขึ้น1ฟุต แต่ความชั่วร้ายกลับสูง10ฟุต

“เยาเยา หากครั้งหน้าเจ้าปิดหลังคาอีก ข้าก็จะไม่เกรงใจทุบกำแพงให้เป็นรู หากเจ้าเพิ่มความแข็งแรงให้กับกำแพง ข้าก็จะยิ่งไม่เกรงใจ ทำพื้นให้เป็นรู”

“……”

อะไรนะ?

เสียสติไปแล้วหรือไง?

“วางใจเถอะ ข้าจะนอนกอดเจ้าไว้ ไม่ทำอะไร”

เมื่อได้ยินเขาพูดประโยคนี้ หลานเยาเยาไม่เชื่อเลยสักนิด ส่งสายตาให้เขา เพื่อให้ตัวนางเองได้รู้ซึ้งจากประสบการณ์ที่ได้

เคยลิ้มรสผู้ชายมาแล้ว ยังจะให้เขากินมังสวิรัติทุกวันอีกหรือ?

ช่างเถอะ!

เข้าก็เข้ามาแล้ว ยังสามารถไล่เขาออกไปได้

“นี่เจ้าพูดเองนะ อย่าได้คืบจะเอาศอกหล่ะ”

“ได้!”

เย่แจ๋หยิ่งหัวเราะขึ้นมาเบาๆ เขาถอดเสื้อคลุมอย่างชำนาญ พร้อมกับนอนลงข้างๆ และจับมือนางไว้อย่างเป็นธรรมชาติ พูดขึ้นว่า:

“เยาเยา ราชครูใหญ่เริ่มสงสัยอาการบาดเจ็บปลอมๆของข้าแล้ว เขาส่งยอดฝีมือเก่งกาจข้างกายเขาสองสามคนมาแอบจับตาดูข้า จะออกมาพบเจ้าสักครั้งก็ยาก”

“แต่ก่อนราชครูเทียนเวิงไม่ได้สงสัยเจ้าหรือ?” ตรงนี้ ตีให้ตายนางก็ไม่เชื่อ

เคยอยู่ในหุบเขาจิ้นของเผ่าหยินไห่ ราชครูใหญ่ใช้วิชาการควบคุมพิษกู่ คิดสร้างกองทัพที่แข็งแกร่ง หากไม่ใช่เย่แจ๋หยิ่งช่วยนางไว้ คาดว่าโลกทุกวันนี้ จะเป็นโลกของราชครูเทียนเวิงไปแล้ว อีกทั้งยังมีร่องรอยคนโดนมนต์ดำไปทั่ว!

เย่แจ๋หยิ่งอ่านความคิดนางออก จึงโอบเอานางไว้ในอ้อมกอด เกยคางไว้บนหัวนาง

เสียงที่น่าดึงดูดเอ่ยขึ้นเบาๆ:

“ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน”

“ไม่เหมือนกัน? ไม่เหมือนกันอย่างไร? หรือเขาอยากลงมือกับเจ้า?” หลานเยาเยาจับน้ำเสียงที่แปลกไปของเขาได้ จึงรีบถามขึ้นมา

“เกือบแล้ว”

ทุกครั้งที่ราชครูใหญ่ลงมือ เขาจะตัดกำลังภายนอกส่วนหนึ่งของเขา สาเหตุที่ไม่ทำให้เขาตาย ก็แค่เพราะว่าต้องการได้เลือดเขาเท่านั้น

แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนเดิมแล้ว

เขาตงิดใจว่าราชครูเทียนเวิงจะต้องวางแผนที่ยิ่งใหญ่ ต้องสั่งให้คนระมัดระวัง

“เขาน่าจะต้องมีการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ และเพื่อป้องกันข้าไม่ให้ไปทำลายแผนเขา ดังนั้นจึงส่งคนมาเฝ้าติดตามข้าอย่างใกล้ชิด”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ นัยน์ตาล้ำลึกดั่งวังวนของเย่แจ๋หยิ่งก็หรี่ลงเล็กน้อย

เขาใช้สถานะอื่น กำจัดอำนาจบางส่วนที่พึ่งพิงราชครูเทียนเวิงไป ด้วยเหตุนี้ราชครูเทียนเวิงจึงสงสัยในตัวเขา

จะต้องกำจัดอำนาจพวกนั้นไป เพราะพวกนั้นเป็นคนที่แอบคอยดำเนินเรื่องให้ราชครูเทียนเวิง

ดังนั้นในช่วงระยะนี้ เขาจึงเคลื่อนไหวอะไรไม่ได้นัก ทำได้เพียงอยู่แต่ในตำหนัก ตั้งใจ ‘พักผ่อนรักษาบาดแผล’

“เคลื่อนไหวครั้งใหญ่? เป็นไปได้ไหมที่จะมีความเกี่ยวข้องกับสวนว่างฮัว? อย่างไรสถานที่นั้นก็เป็นที่เพาะหนอนพิษกู่จิ้น”

เย่แจ๋หยิ่งส่ายหัว

“ในเมื่อไม่ใช่ งั้นยังมีการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่อะไรอีก?” จู่ๆก็คิดถึงเรื่องนึงขึ้นมาได้ หลานเยาเยาตาประกาย “หรือเพื่อยาฉางตาน?”

ราชครูเทียนเวิงตั้งใจจะปกครองแผ่นดินนี้ และยังต้องการสร้างกองทัพซอมบี้ ให้ทุกคนอยู่ใต้อำนาจเขา

แต่ตอนนี้เขาก็ใกล้จะตายอยู่แล้วและยังอยากครองโลก ก็ต้องมีเวลาเพียงพอ และเขาจะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ยาฉางตานยาอมตะนั่นมาอยู่ในมือให้ได้

ดังนั้น!

การเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ของราชครูเทียนเวิงจะต้องเกี่ยวข้องกับยาฉางตานแน่

แต่แผนของเขาคืออะไร?