บทที่ 441 ช่วยชีวิตคน

วันนี้ค่ำมากแล้ว จะไปรบกวนฝางเหมี่ยวคงไม่ได้ ต้องรอจนกว่าจะถึงพรุ่งนี้

คืนนั้นกู้หวนเนี่ยนพลิกตัวไปมาทั้งคืน เขานอนหลับไม่สนิทคิดกลับไปมาในใจว่าจะพูดกับฝางเหมี่ยวอย่างไรดี?

เขาไม่เคยประหม่าขนาดนี้ไม่ว่าคดีน้อยใหญ่แค่ไหน จะโดนกดดันเพียงใด เขาไม่หวั่นเลยแม้แต่น้อย

คืนนี้ถังหลี่ค้างคืนกับมารดาที่จวนสกุลกู้ ยามตื่นขึ้นมากินอาหารเช้าเสร็จเรีบร้อยดีแล้วนางวิ่งไปหาพี่ใหญ่ทันที

กู้หวนเนี่ยนแต่งกายเสร็จเรียบร้อยดีแล้ว แววตาเขาสับสนเมื่อเห็นถังหลี่ เขาดีใจราวกับเห็นผู้ช่วยชีวิต

“เสี่ยวถังหลี่..”

“พี่ชาย วันนี้ท่านหล่อเหลามาก” นางพูดพร้อมกับยกนิ้วโป้งให้เขา

พี่ชายของนางช่างหล่อเหลาจริงๆ เขาเป็นคนรูปร่างสูง หล่อเหลา เพียงแต่มีใบหน้าที่เย็นชาเกินไปจึงดูไม่รับแขกเอาเสียเลย

“พี่ใหญ่ หากท่านเจอฝางเหมี่ยวเข้าละก็ ท่านอย่าได้ทำหน้าเคร่งใส่นางเชียวล่ะ”

กู้หวนเนี่ยนยิ้มฝืด

“พี่ใหญ่ รอยยิ้มเช่นนี้ดูเสแสร้ง ท่านยิ้มอย่างอ่อนโยนหน่อยเถิด” ถังหลี่ทัก

“พี่คิดสิว่า ที่ยืนอยู่ตรงนี้เป็นสตรีที่ท่านชื่นชอบ” ดวงตาและรอยยิ้มของเขานุ่มนวลขึ้น

ถังหลี่พยักหน้า “ใช่ แบบนั้นแหละ”

กู้หวนเนี่ยนถอนหายใจอย่างโล่งอก ในเมื่อน้องสาวว่าดี เช่นนั้นก็น่าจะดีตามที่นางว่าไว้ เขาลุกขึ้นเพื่อจะออกไปข้างนอก ถังหลี่ไปส่งพี่ชายที่หน้าประตู

“พี่ชาย โชคดีเจ้าค่ะ” ถังหลี่อวยพรเขา

กู้หวนเนี่ยนหันหน้าไปมองพยักหน้าให้ รับบังเหียนจากบ่าวก้าวขึ้นม้าตัวใหญ่จากไป

ถังหลี่มองพี่ชายที่ขี่ม้าออกไปแล้วจึงได้หันหลังกลับเข้าจวน นางไปหามารดาที่เรือนหลัก

“เจ้าไปไหนมา?” ฮูหยินกู้ถาม

เมื่อคืนมารดาและบุตรสาวนอนคุยกันจนดึก ฮูหยินกู้จึงรับรู้เรื่องนี้ตามที่ถังหลี่เล่าให้นางฟัง

“ข้าไปหาพี่ชายมาเจ้าค่ะ”

ฮูหยินกู้ไม่รู้ว่าจะร้องไห้หรือหัวเราะดี นางส่ายหน้าอย่างช่วยไม่ได้

“เด็กคนนี้นี่ ! พี่ชายของเจ้าโตขนาดนั้นแล้วยังต้องให้น้องสาวสอนวิธีเกี้ยวสาวอีกหรือ?”

“พี่ชายไม่รู้วิธีจะเกี้ยวสาว เขาไม่มีประสบการณ์เจ้าค่ะ”

“เจ้ามีประสบการณ์สินะ” ฮุหยินกู้บีบจมูกบุตรสาว นางเชิดคางขึ้นตอบอย่างมั่นใจ

“เจ้าคะ ข้ามีประสบการณ์”

“อาฉิง ทำให้เจ้าตกหลุมรักได้ยังไงกันนะ?” มารดาด้วยรอยยิ้ม นางมีทีท่าเคอะเขินเมื่อเอ่ยถึงสามี ถังหลี่่หน้าแดงระเรื่่อ

“เขาหน้าหนา พูดอะไรไม่ได้อายปากเลย”

เมื่อฮูหยินกู้คิดถึงลูกเขยของนางเขาเป็นคนที่เย็นชาไม่แตกต่างจากกู้หวนเนี่ยน แต่หากอยู่กับบุตรสาวแล้วท่าทีเขาเปลี่ยนไปราวหน้ามือหลังมือเลยทีเดียว

กลายเป็นคนไร้ยางอายตามที่บุตรสาวของนางพูดเอาไว้

ไม่น่าแปลกใจที่เขายังมีภรรยาได้ ไม่เหมือนกับบุตรชายของนาง

“แล้วมีอะไรอีก?” นางกู้ยังอดถามต่อไม่ได้

“เขาโง่เขลาและไร้เดียงสามาก เขาเอาใจใส่และดีกับลูกมากเหลือเกินเจ้าค่ะ” เมื่อก่อนยามที่ยากจนข้นแค้น เขาเห็นอะไรดีๆ ก็คิดถึงนาง ซื้อหามาฝาก พอเก็บเงินได้บ้างก็ซื้อเครื่องประดับเล็กๆ น้อยๆ ให้ แม้วันคืนจะทุกข์ยากแต่ก็ผ่านมาได้อย่างมีความสุข ถังหลี่คิดถึงคืนวันเหล่านั้นที่หมู่บ้านลี่เจี่ย ฮูหยินกู้ได้ฟังอดสงสัยไม่ได้ว่าอาฉิงที่บุตรสาวพูดถึงใช่คนเดียวกันกับลูกเขยนางหรือไม่? เหตุใดจึงดูแตกต่างราวกับเป็นคนละคนกันเช่นนั้น

ถังหลี่คุยกับมารดาอยู่ครู่ใหญ่ แต่กู้หวนเนี่ยนยังไม่กลับมา นางรู้สึกประหม่าแทนพี่ชายไม่น้อย ถังหลี่ตั้งความหวังไว้ว่าคู่รักทั้งสองคนจะลงเอยได้ด้วยดี

ในนิยายเรื่องนั้น พี่ชายของนางและฝางเหมี่ยวต่างมีชีวิตที่น่าสงสาร คนรักกันเหตุใดจึงอยู่ด้วยกันไม่ได้ มีแต่ในชาตินี้เท่านั้นที่พวกเขาจะได้มีโอกาสอีกครั้งหากพลาดไปแล้วย่อมไม่มีครั้งที่สองถังหลี่ทนรอต่อไปไม่ไหว นางเอ่ยว่า

“ท่านแม่ข้าอยากไปดูพี่ชายเจ้าค่ะ”

“ไปเถอะ”

ฮูหยินกู้ก็รอคอยผลอย่างกระวนกระวายเช่นกัน ถังหลี่จึงนั่งรถม้าออกไป

นางให้พี่ชายเชิญฟางเหมี่ยวมาร้านอาหาร ทานข้าวแล้วสารภาพรักกัน ถังหลี่เดินไปรอบๆ เห็นด้านหลังของหญิงสาวดูคล้ายฟางเหมี่ยวกำลังยืนซื้อของอยู่ที่แผงลอยริมถนน นางแปลกใจไม่น้อย

เกิดอะไรขึ้น ?

นางเดินไปหาตบไหล่ทักทายฝางเหมี่ยว

“เหมี่ยวเหมี่ยว” ฝางเหมี่ยวหันหน้ามาเมื่อเห็นถังหลี่นางมีสีหน้าประหลาดใจ

“ถังหลี่”

น่าแปลกจริง พี่ชายไม่ได้ไปหาฝางเหมี่ยวหรอกหรือ?

นางมาอยู่ที่นี่คนเดียวได้อย่างไร? หรือว่าเขากินอาหารเสร็จแล้วแต่ทิ้งฝางเหมี่ยวเอาไว้?

“เจ้าเห็นพี่ชายของข้าหรือไม่?” ฝางเหมี่ยวส่ายหน้า

“ข้าไม่เห็น”

ถังหลี่ยิ่งงุนงงมากขึ้น พี่ชายนางไม่ได้เจอฝางเหมี่ยวหรือ? เป็นไปได้หรือไม่ ว่าเขาเกิดกระดากอายขึ้นมาในเวลาสำคัญเช่นนี้…เขาหายไปไหน?

“ถังหลี่ ใต้เท้ากู้เป็นอะไรไปหรือเปล่า?” ฝางเหมี่ยวถามอย่างกังวล

“ไม่ๆ ไม่มีอะไร” ถังหลี่สังหรณ์ใจ นางรู้สึกว่ามีบางอย่างเปลี่ยนไป หญิงสาวพูดคุยกับฝางเหมี่ยวอย่างใจลอยจากนั้นจึงได้ขอตัวกลับจวนสกุลกู้

กู้หวนเนี่ยนไม่กลับมาจนกระทั่งบ่าย เสื้อผ้าเขาเปียก ผมเผ้าดูยุ่งเหยิง

ถังหลี่เดินเข้าไปหา

“พี่ชาย ท่านเป็นอะไรหรือเปล่า?”

กู้หวนเนี่ยนมองน้องสาว เขาส่ายหน้า

“ไม่มีอะไร”

“ทำไมเสื้อผ้าพี่เปียกเล่า?”

“เกิดอุบัติเหตุขึ้นที่ท้องถนน” เขาเล่าให้ถังหลี่ฟัง ในระหว่างที่กำลังจะไปหาฝางเหมี่ยวนั้น กู้หวนเนี่ยนพบหญิงสาวผู้หนึ่งกำลังจะกระโดดลงไปในแม่น้ำ เขาจึงได้กระโดดน้ำไปช่วยนางขึ้นมา กู้หวนเนี่ยนพานางไปหาหมอ ในที่สุดจึงช่วยชีวิตนางเอาไว้ได้ จึงได้ล่าช้าไปจนถึงบ่ายเช่นนี้

นั่นคือชีวิตคน …ช่วยชีวิตคนได้บุญมากกว่าสร้างเจดีย์เจ็ดชั้น

“พี่ชาย พี่เป็นอะไรหรือเปล่า? มีอะไรผิดปกติหรือไม่?” นางถามอย่างเป็นห่วง

กู้หวนเนี่ยนตอบนางอย่างอ่อนโยน “ไม่เป็นไร พี่ว่ายน้ำเก่งมาก เจ้าไม่ต้องห่วง พี่จะไปเปลี่ยนเสื้อผ้า”

“เจ้าค่ะ” หลังจากที่เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วจึงได้ออกมา

“พี่ชาย พี่กินอาหารเที่ยงมาหรือยัง?” ถังหลี่ถาม

“ยังเลย” พอได้ยินว่าเขายังไม่กินอาหาร ถังหลี่จึงรีบให้บ่าวตั้งโต๊ะทันที

“พี่ชาย หญิงสาวที่พี่ช่วยเหลือเอาไว้ นางเป็นใครหรือ? ทำไมนางจึงไปกระโดดน้ำเจ้าคะ”

“จ้าวชิงเฉิง เป็นบุตรบุญธรรมคนที่สิบสามขององค์หญิงใหญ่ ไม่รู้สาเหตุที่นางกระโดดลงไปในแม่น้ำ” กู้หวนเนี่ยนตอบคำถามของน้องสาว

องค์หญิงใหญ่มีบุตรบุญธรรมมากกว่ายี่สิบคนด้วยกัน เป็นเพราะนางสกุลจ้าว นางจึงให้บุตรสาวผู้นี้ใช้สกุลเดียวกับนางด้วย นางย่อมรักใคร่ในตัวบุตรสาวบุญธรรมคนนี้เป็นอย่างมาก จ้าวชิงเฉิง ถังหลี่รู้สึกว่าชื่อค่อนข้างคุ้นหู

จ้าวชิงเฉิง! ในนิยายเดิมนั้นภรรยาของกู้หวนเนี่ยนคือจ้าวชิงเฉิง แม้ว่าทั้งคู่จะเข้ากันได้เป็นอย่างดี หากทว่าพวกเขามีนิสัยที่แตกต่างกัน หลังจากแต่งงานกันแล้วชีวิตคู่ก็ไม่ค่อยดีนัก มักจะทะเลาะวิวาทในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ จนทำให้ทั้งคู่เหินห่างกันดูราวกับเป็นคนแปลกหน้าไป ต่อมาเมื่อพี่ชายได้ถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งขุนนาง จ้าวชิงเฉิงพลอยตกที่นั่งลำบากไปด้วย นางเอาหลักฐานมาแสดงมากมายจนในที่สุดจึงผลักพี่ชายของนางลงก้นเหวไป

ถังหลี่รู้สึกเหมือนมีมือที่มองไม่เห็นพยายามที่จะผลักดันสิ่งต่างๆ ไปสู่เรื่องราวเหมือนในนิยายเล่มนั้น พี่ชายนางไปช่วยจ้าวชิงเฉิงเช่นนี้ไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องราวอะไรต่อมาอีก นางไม่สบายใจเอาเสียเลย

………………….