เล่ม-1 ตอนที่ 139-2 บิดากับบุตรสาว การต่อสู้ ณ หอหลิงจือ

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน

ตอนที่ 139-2 บิดากับบุตรสาว การต่อสู้ ณ หอหลิงจือ

ณ เรือนสี่ประสาน

จีอู๋ซวงทายาให้กับจีหมิงซิวแล้วคลุมผ้าห่มให้ จากนั้นเดินออกไปอย่างแผ่วเบา

“นี่ไม่ใช่ยาทาของข้า” เขาเอ่ยกับเยี่ยนเฟยเจวี๋ย

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกัดผิงกั๋ว “ถูกแล้ว นี่เป็นของที่เสี่ยวเฉียวหยิบมา สรรพคุณไม่เลวใช่หรือไม่”

จีอู๋ซวงฝืนใจตอบว่า “ก็ธรรมดาๆ”

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยแค่นเสียงหยัน “ดีขึ้นจนจะหายดีแล้วยังจะบอกว่าธรรมดาอีกหรือ ยอมรับเถอะเจ้าไก่เฒ่า ยาของผู้อื่นมีประโยชน์กว่าของเจ้าเสียอีก!”

จีอู๋ซวงไม่มีทางยอมรับยาของสตรีนางนั้น เขากวาดสายตามองเยี่ยนเฟยเจวี๋ยนิ่งๆ แล้วเอ่ยเหมือนคิดบางสิ่ง “ข้าเพิ่งจับชีพจรให้นายน้อย เจ้าเดาสิว่าข้าค้นพบอะไร”

“อะไร” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยถามอย่างไม่คิดอะไร

จีอู๋ซวงสีหน้าเคร่งขรึม “เขาปกติขึ้นมานิดหนึ่งแล้ว!”

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยมองมาด้วยสีหน้าจริงจัง “เขาก็ปกติดียิ่งอยู่แล้ว!”

จีอู๋ซวงถลึงตาใส่เขาอย่างขัดใจแล้วเอ่ยว่า “หมายถึงกำลังภายในสายนั้นในร่างของนายน้อยเหมือนจะอ่อนแรงลงหน่อยนึงแล้ว”

ร่างกายของเยี่ยนเฟยเจวี๋ยชะงัก “อ่อนแรงลงหน่อยนึงหมายความว่ามันหายไปหรือ”

จีอู๋ซวงตอบว่า “อาจจะหายไปหรืออาจจะถูกนายน้อยดูดซับไปก็เป็นได้”

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยรู้สึกสนใจขึ้นมาแล้ว “เจ้าทำได้อย่างไร หากเป็นเช่นนี้ตั้งแต่แรก นายน้อยก็ไม่ต้องดื่มยามากมายปานนั้นแล้วพวกเราก็ไม่ต้องอกสั่นขวัญแขวนอยู่ทุกวัน!”

จีอู๋ซวงก็หวังว่าตนเองจะเป็นคนทำ แต่หากเขามีความสามารถเช่นนั้นก็คงรักษาโรคให้นายน้อยจนหายดีไปแล้ว “เป็นเพราะเพียงพอนตัวนั้น”

“เสี่ยวไป๋หรือ” นึกถึงฉี่ลูกเพียงพอนของมันที่ตนเองดื่มไป เยี่ยนเฟยเจวี๋ยก็รู้สึกคลื่นไส้

จีอู๋ซวงครุ่นคิดแล้วเอ่ยว่า “ความจริงข้าก็ไม่ค่อยมั่นใจนัก เพียงคาดเดาเท่านั้น ดูจากสรรพคุณของฉี่เพียงพอนนั่น มันไม่เหมือนเป็นเพียงพอนหิมะธรรมดา แต่เหมือนเพียงพอนวิเศษแห่งเขาเทียนซานที่สูญพันธุ์ไปแล้วมากกว่า ทั้งร่างของเพียงพอนวิเศษล้วนเป็นของมีค่า หากมันเป็นเพียงพอนวิเศษตัวหนึ่งจริง ถ้าเช่นนั้นโรคของนายน้อยก็มีโอกาสหายดีแล้ว”

เสี่ยวไป๋ผู้ถูกมองว่าเป็นโอกาสกอบกู้สถานการณ์ยังไม่รู้ว่าตนเองถูกราชันพิษจีอู๋ซวงหมายตาเข้าแล้ว มันกำลังนั่งจ้องเขม็งอยู่บนพื้นเตียงป๋าปู้ เฝ้าอารักขาอาณาเขตของตนเองอย่างแน่วแน่

จูเอ๋อร์ก็อยากนอนบนเตียงสีแดงอันงดงาม อยากซุกในอ้อมแขนของเฉียวเวยเหมือนกัน

แต่เฉียวเวยเป็นของเสี่ยวไป๋!

เตียงป๋าปู้เป็นอาณาเขตของเสี่ยวไป๋ ผู้บุกรุกอาณาเขตของข้า แม้นอยู่ไกลก็ต้องสังหาร!

เสี่ยวไป๋จ้องจูเอ๋อร์อย่างดุร้าย จูเอ๋อร์จับกระทะก้นแบนที่ฉวยมาจากห้องครัว แล้วตบเข้าใส่เสี่ยวไป๋เสียงดัง!

เสี่ยวไป๋กระโดดหลบการโจมตีอย่างว่องไว

จูเอ๋อร์หยิบหนังสติ๊กที่หยิบมาจากห้องของจิ่งอวิ๋น แล้วคว้าหินก้อนน้อย ดีดรัวสามก้อนจนเกิดเสียงดัง ฟึบ! ฟึบ! ฟึบ!

เสี่ยวไป๋หลบซ้าย หลบขวา กระโดดขึ้นไปบนกำแพงแล้วอาศัยแรงตีลังกากลับหลัง หลบก้อนหินน้อยของจูเอ๋อร์อย่างงดงาม หลังจากนั้นเสี่ยวไป๋ก็ปีนขึ้นไปบนคานห้อง คว้างูหางกระดิ่งสองตัวจากในคลังสมบัติน้อยของตนออกมา

คนล้วนกลัวงู ลิงยิ่งกลัวมากกว่า

จูเอ๋อร์พองขนในพริบตา มันเร้อง เจี๊ยก! เจี๊ยก! แล้วยกขาน้อยๆ อันงดงามเผ่นโผนออกไปทางหน้าต่าง!

รอบที่หนึ่ง เสี่ยวไป๋ชนะ

เสี่ยวไป๋เก็บงูลูกรักของตนไปอย่างพออกพอใจ แล้วกลับมานอนหมอบในอ้อมแขนของเฉียวเวย หัวน้อยๆ หนุนอยู่บนหน้าอกนุ่มนิ่มของนาง กลายร่างกลับมาเป็นลูกเพียงพอนน้อยน่ารักแสนเชื่องตัวหนึ่ง

วันต่อมาเฉียวเวยตื่นแต่เช้าตรู่ ยาทาของเฉียวเจิงได้ผลวิเศษยิ่งนัก ตุ่มบนใบหน้าแทบจะมองไม่เห็นแล้ว บนตัวยังมีอยู่เล็กน้อยแต่ก็ไม่คันแล้ว เฉียวเวยไม่รู้สึกถึงมันสักนิด

กินข้าวเช้าเสร็จ ลูกสองคนก็ไปเรียนด้วยกันกับจงเกอร์ เฉียวเวยเปลี่ยนมาสวมกระโปรงคาดเอวสีขาวเรียบง่ายตัวหนึ่ง แล้วยกไข่เยี่ยวม้าที่หมักเสร็จใหม่ๆ โถหนึ่งเตรียมจะออกจากบ้าน

เฉียวเจิงเรียกนางไว้ “ยัยหนู เจ้าจะไปที่ใดหรือ”

“ไปเมืองหลวง” ขอโทษหมิงซิวสักคำ

เฉียวเจิงลังเลครู่หนึ่งก็คลี่ยิ้มถามว่า “ข้าไปด้วยกันกับเจ้าด้วยได้หรือไม่ ข้าเก็บสมุนไพรมาได้เล็กน้อย เอาไปขายให้ร้านยาได้”

“ข้าช่วยขายแทนท่านได้”

“ข้า…”

เฉียวเวยเห็นท่าทีอึกอักของเขาก็เข้าใจในพริบตา ขายสมุนไพรเป็นเพียงข้ออ้าง ความจริงเขาต้องการหาโอกาสอยู่กับลูกสาวให้มากสักหน่อยต่างหาก

เฉียวเจิงกลัวเฉียวเวยจะปฏิเสธ จึงเอ่ยอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ “วันพรุ่งนี้ข้าก็จะไปแล้ว”

“ทำไมเล่า” เฉียวเวยถาม

“ข้า…” เฉียวเจิงไม่รู้ว่าจะเอ่ยปากอย่างไรดี

เฉียวเวยเอ่ยขึ้นเรียบๆ “ไปกันเถิด สายอีกหน่อยรถม้าของตาเฒ่าซวนจื่อจะไม่มีที่นั่งแล้ว”

“…ได้”

บิดากับบุตรสาวนั่งอยู่บนเกวียนเทียมวัวของตาเฒ่าซวนจื่อ บนเกวียนยังมีหญิงชนบทที่จะเข้าเมืองไปขายไก่ขายเป็ดอยู่อีกสองสามคน เมื่อเห็นบุรุษรูปงามเช่นนี้ พวกนางก็เขินอายจนหน้าแดงกันหมด

เฉียวเวยไปที่ร้านเช่ารถม้าในตัวเมืองจ้างรถม้าของสารถีกวนเป็นอย่างแรก สารถีกวนมองบุรุษวัยกลางคนด้านหลังร่างเฉียวเวยอย่างตกตะลึง “คนผู้นี้คือ…”

เฉียวเจิงยิ้มตอบว่า “ข้าคือบิดาของเสี่ยวเฉียว”

“อ้อ นายท่านเฉียว เสียมารยาทแล้วๆ!” มิน่าเสี่ยวเฉียวจึงงดงามปานนั้น ดูบิดาของผู้อื่นสิ รูปงามหล่อเหลาดุจเดียวกันเชียว!

สารถีกวนจูงรถม้าออกมา “ไปที่ใดในเมืองหลวงเล่า”

เฉียวเวยอุ้มโถแล้วบอกว่า “หาร้านยาสักร้านขายสมุนไพรก่อน”

“ได้!” สารถีกวนขับรถม้าไปยังถนนใต้ของเมืองหลวง

สารถีกวนทราบว่าเฉียวเวยไม่ถูกกับหอหลิงจือจึงไม่พาทั้งสองไปหอหลิงจือ แต่ไปร้านยาอีกร้านหนึ่งที่อยู่เยื้องฝั่งตรงข้ามของหอหลิงจือ ร้านยาร้านนี้แม้โด่งดังสู้หอหลิงจือไม่ได้ แต่ก็มีชื่อเสียงมานานนับร้อยปี ชื่อเสียงดีงาม ไม่ข่มเหงรังแกผู้ใด

สารถีกวนเองก็เคยไปหาหมอที่ร้านของพวกเขาเพราะราคาถูกกว่าหอหลิงจือ

แต่เนื่องจากพวกเขาเก็บค่ารักษาน้อย ราคาที่รับซื้อของย่อมมิสูงไปถึงไหน

ผู้ดูแลร้านชั่งสมุนไพรในตะกร้าของเฉียวเจิงเสร็จก็บอกว่า “อย่างอื่นมีค่าไม่กี่อีแปะ แต่หญ้าสงบปราณต้นนี้ไม่เลว เก็บจากป่ากระมัง”

“ใช่แล้ว” เฉียวเจิงตอบ

ผู้ดูแลร้านหยิบหญ้าสงบปราณต้นหนึ่งขึ้นมาส่องกับแสงอาทิตย์ “ไม่เหมือนเก็บมาจากแถวนี้นะ”

เฉียวเจิงตอบว่า “ข้าเก็บจากเตียนตู”

หลังจากได้ยินชื่อเตียนตูบ่อยๆ เฉียวเวยก็ไปหาซิ่วไฉเฒ่าให้อธิบายให้ฟัง จึงได้รู้ว่าภูมิประเทศของเตียนตูตั้งอยู่บนตำแหน่งที่คล้ายคลึงกับอวิ๋นหนานในปัจจุบัน

หญ้าสงบปราณเป็นชื่อเรียกตามตำรา “ทำเนียบสมุนไพร” ชื่อดั้งเดิมของมันคือศรแดงหรืออีกชื่อหนึ่งคือเทียนหมา มักจะขึ้นอยู่ในเขาลึกแบบอวิ๋นหนาน มีสรรพคุณปรับสมดุลตับ สงบลมปราณ คลายความตระหนก ระงับความเจ็บปวด ช่วยให้เลือดลมไหลเวียน ลดอัตราการเต้นของชีพจร เป็นสมุนไพรชั้นยอดที่หายากอย่างยิ่ง เล่ากันว่าในสมัยจักรพรรดิเฉียนหลง มีคนนำมันมาถวายเป็นบรรณการแด่ฮ่องเต้

สิ่งที่เฉียวเวยประหลาดใจก็คือ เฉียวเจิงอุตส่าห์แบกมันมาจากสถานที่ห่างไกลถึงเพียงนั้น สองเท้าคู่นี้ของเขาเดินทางผ่านสถานที่มากี่แห่งแล้วกันแน่

ผู้ดูแลร้านกล่าวว่า “เทียนหมาพวกนี้ข้าให้เจ้าแปดร้อยอีแปะ สมุนไพรอื่นที่เหลือทั้งหมดสองร้อยอีแปะ”

ลำบากตรากตรำเก็บมานานเพียงนี้ จากเตียนตูแบกมาถึงเมืองหลวงกลับขายได้เพียงหนึ่งตำลึงเงิน เฉียวเวยจับตะกร้าสมุนไพรไว้ “พวกเราไม่ขายแล้ว”

“คุยกันเสร็จแล้วเหตุใดจะไม่ขายแล้วเล่า” ผู้ดูแลร้านถามอย่างแปลกใจ

เฉียวเวยหยิบเทียนหมาในมือเขามาใส่กลับลงไปในตะกร้าสมุนไพร “ถูกเกินไป เจ้ารู้หรือไม่ว่าเก็บสมุนไพรยากเพียงใด เดินทางหลายร้อลี้ก็ไม่แน่ว่าจะเก็บได้เต็มตะกร้าเช่นนี้ เจ้าจะให้เพียงหนึ่งตำลึง ทำเกินไปแล้ว”

ผู้ดูแลร้านเอ่ยอย่างดูแคลน “ร้านยาของพวกเราขายให้ผู้ป่วยไม่แพง ส่วนต่างกำไรที่ได้ก็เพียงพอจ่ายค่ารักษาให้ท่านหมอเล็กน้อยเท่านั้น เจ้าจะเรียกร้องราคาสูงเทียมฟ้า พวกเราก็คงซื้อไม่ไหว”

เฉียวเวยโต้เสียงเรียบเฉย “พวกเจ้าซื้อไม่ไหว พวกเราก็จะไปหาผู้อื่น เมืองหลวงคงไม่ได้มีร้านยาแค่พวกเจ้ากับหอหลิงจือสองเจ้า”

“แม่นาง ให้ราคาเพิ่มไม่ได้แล้วจริงๆ” ผู้ดูแลกล่าวจบก็หันไปมองเฉียวเจิงที่อยู่ด้านข้าง ผู้ดูแลมองออกว่าเขาต้องการจะขายอยู่พอสมควร จึงหวังว่าเขาจะพูดสักคำ แต่เหตุใดตนเองเห็นบุรุษคนนี้แล้ว รู้สึกคุ้นตาอย่างไม่รู้สาเหตุกันนะ

ไม่รอผู้ดูแลขบคิดจนกระจ่าง เฉียวเจิงก็หิ้วตะกร้าสมุนไพรสะพายหลัง “ไม่ขายแล้ว”

“โธ่ๆ! อย่าเพิ่งไปๆ!” ผู้ดูแลวิ่งตามออกมา “ข้าให้เพิ่มอีกห้าร้อยอีแปะเป็นเช่นไร”

เฉียวเวยเดินออกมาโดยไม่หันกลับไปมอง แค่ห้าร้อยอีแปะ ทำอันใดได้ สมุนไพรพวกนี้ไม่ใช่ปลูกเป็นจำนวนมากในแปลงนา อยากเก็บได้เท่าไรก็เก็บได้เท่านั้นเสียหน่อย ยากเย็นเพียงใดกว่าจะเก็บได้สักต้น แต่กลับขายได้เงินเพียงเท่านี้ มิสู้เก็บไว้ใช้ในบ้านตนเองดีกว่า

“ยัยหนู เจ้าดีจริงๆ” เฉียวเจิงยิ้มอย่างโง่เง่า ลูกสาวสงสารที่เขาเหนื่อยยากเก็บสมุนไพรมา เขาดีใจยิ่งนัก

เฉียวเวยแก้ความคิดเขา “ข้าไม่ได้สงสารท่าน ข้าเพียงรู้สึกว่าไม่คุ้ม เปลี่ยนไปร้านยาที่ใหญ่หน่อย ข้าจะขายให้ท่านได้เงินห้าถึงสิบตำลึง!”

เฉียวเจิงยิ้มอย่างโง่งม “ล้วนฟังเจ้า”

ทั้งสองคนนั่งรถม้าของสารถีกวน กำลังจะไปหาร้านยาร้านอื่น ทันใดนั้นบุรุษคนหนึ่งก็กระเด็นออกมาจากร้านแห่งหนึ่งแล้วชนเข้ากับรถม้าของสารถีกวน ม้าถูกชนจึงกรีดเสียงร้อง สารถีกวนรีบรั้งบังเหียนหยุดรถม้า

หลังจากนั้นสารถีกวนก็กระโดดลงมาที่พื้น ดึงชายหนุ่มที่เกือบถูกม้าเหยียบไปด้านข้าง “เจ้าหนุ่ม เจ้าไม่เป็นอะไรกระมัง”

ชายหนุ่มกระอักเลือดออกมาหนึ่งคำ

สารถีกวนตะลึง

เฉียวเวยเปิดม่านรถขึ้น “เกิดอะไรขึ้นสารถีกวน”

สารถีกวนเอ่ยอย่างร้อนรน “ข้าก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น คนผู้นี้จู่ๆ ก็มาชน!”

เฉียวเวยลงจากรถม้าแล้วเดินเข้าไปดู

ชายหนุ่มผ่อนลมหายใจแล้วใช้แขนเสื้อเช็ดเลือดบนริมฝีปาก ก่อนบอกกับสารถีกวนว่า “ขออภัยท่านสารถี ทำม้าของท่านตกใจ แล้วยังทำเสื้อผ้าของท่านเลอะเทอะอีก”

สารถีกวนถอนหายใจยาวเฮือกหนึ่ง พริบตาที่ชายหนุ่มมาชน เขากลัวจริงๆ ว่าอีกฝ่ายจะมาหลอกเอาเงิน โชคดีที่เป็นคนเที่ยงตรงคนหนึ่ง

“ข้าไม่เป็นอะไร เจ้าเป็นอะไรหรือไม่” สารถีกวนถาม

ชายหนุ่มลุกขึ้นอย่างยากลำบาก “ไม่เป็นอะไร ล่วงเกินแล้ว”

กล่าวจบ เขาก็พาร่างกายที่บาดเจ็บเดินไปยังสถานที่ซึ่งเขาถูกโยนออกมา ตอนที่เฉียวเวยเดินผ่านตัวเขา นางมองเขานิ่งๆ เฉียวเวยก็เหมือนสารถีกวน นางเกือบคิดว่าอีกฝ่ายเป็นพวกที่แกล้งเข้ามาชนแล้ว แต่เมื่อดูจากสภาพ อีกฝ่ายคงไม่ได้ตั้งใจจริงๆ

สายตาของเฉียวเวยมองตามชายหนุ่มไปยังร้านยาแห่งนึ่ง แล้วจับจ้องบนป้ายชื่อด้านบน…หอหลิงจือ

อ้อ ร้านยาใจดำแห่งนี้อีกแล้ว

รอบด้านเริ่มมีชาวบ้านมายืนมุงดูเต็มไปหมด

ผู้ดูแลของหอหลิงจือกับอันธพาลหลายคนยืนท่าทางดุร้ายอยู่หน้าประตู ชายหนุ่มมองพวกเขา ดวงตาไร้ความหวาดกลัว “พวกเจ้ามีความสามารถก็ตีข้าให้ตาย มิเช่นนั้นวันนี้ข้าจะต้องทวงความยุติธรรมให้พี่ใหญ่ของข้าให้จงได้!”

“ความยุติธรรมอันใด”

“หอหลิงจือเกิดเรื่องอีกแล้วหรือ”

ในหมู่ฝูงชนมีเสียงกระซิบกระซาบ

ผู้ดูแลของหอหลิงจือแค่นเสียงเหอะแล้วกล่าวว่า “พี่ใหญ่ของเจ้าถูกแบกเข้ามาในหอหลิงจือของพวกเราหลังจากสิ้นใจแล้ว แต่กลับมากล่าวโทษหอหลิงจือของพวกเราว่าไม่รักษาพี่ใหญ่ของเจ้าให้ดี!”

ชายหนุ่มคำราม “เจ้าพูดเหลวไหล! ตอนพี่ใหญ่ข้าเข้าไปยังมีลมหายใจอยู่ชัดๆ! หมอของพวกเจ้าฝังเข็มอันใดก็ไม่รู้ให้พี่ใหญ่ของข้า ฝังจนพี่ใหญ่ของข้าตาย!”

ผู้ดูแลกล่าวเสียงเหี้ยม “หอหลิงจือของพวกเราตั้งแต่เปิดรักษามา ไม่เคยรักษาผู้ใดตายมาก่อน! นายท่านของตระกูลเราวิชาแพทย์สูงส่ง รักษาองค์ชายรองแห่งเผ่าซยงหนีว์จนหายดี ยามนี้ได้รับแต่งตั้งเป็นหย่งเอินโหว พวกคนที่อิจฉาตาร้อนนั่งไม่ติดคิดจะมาทำลายชื่อเสียงนายท่านของพวกเรา จึงคิดจะใช้วิธีสกปรกเช่นนี้ใส่ร้ายหอหลิงจือ! ทุกคนอย่าถูกเขาหลอก! หอหลิงจือของพวกเราเป็นร้านยาที่วิชาแพทย์สูงส่งที่สุดในเมืองหลวง พวกเราไม่มีทางรักษาผู้ใดตายอย่างไร้สาเหตุแน่นอน!”

ชายหนุ่มผู้นั้นดวงตาแดงระเรื่อ “ศพพี่ใหญ่ของข้ายังไม่ทันเย็น เจ้าก็กล่าววาจาไร้มโนธรรมเช่นนี้ ไม่กลัวกรรมตามสนองหรือไร”

เฉียวเจิงลงจากรถม้า แล้วดันคนแปลกหน้าที่อยู่ข้างตัวบุตรสาวออก “เกิดอะไรขึ้นหรือยัยหนู”

เฉียวเวยไม่สนใจคำแก้ตัวของหอหลิงจือ ในสายตานางร้านยาใจดำเช่นหอหลิงจือทำเรื่องพรรค์นี้ออกมาได้ไม่น่าแปลกใจสักนิด นางชี้ไปยังตรอกด้านข้าง “ท่านดู”

ในตรอกมีเสื่อฟางผืนหนึ่ง บนเสื้อมีบุรุษคนหนึ่งนอนอยู่ น่าจะเป็นพี่ใหญ่ที่ชายหนุ่มบอกว่าถูกหอหลิงจือรักษาจนตาย

เฉียวเจิงคอยกันคนให้บุตรสาวแล้วเดินมาถึงตรอก เขานั่งยองๆ ลงจับชีพจรของอีกฝ่ายเป็นอย่างแรก ไม่มีชีพจรแล้วจริง จากนั้นก็คลำหน้าอกของเขา “หัวใจยังอุ่นอยู่ น่าจะยังช่วยได้”

เฉียวเจิงวางตะกร้าสมุนไพรลง แล้วหยิบเข็มทองที่ฆ่าเชื้อแล้วห่อหนึ่งออกมาจากด้านใน ฝังเข้าไปยังจุดฝังเข็มหลายแห่งของบุรุษผุ้นั้น “บนแขนของเขามีรอยถูกดาบ ต้องล้างให้สะอาดแล้วเย็บให้ทันกาล…”

เพิ่งเอ่ยจบก็เห็นเฉียวเวยหยิบถุงสุราของเขาขึ้นมาเทสุราฤทธิ์แรงราด แล้วฉีกเสื้อของบุรุษคนนั้น เช็ดทำความสะอาดบาดแผลอย่างเป็นลำดับ

“มีเข็มกับด้ายหรือไม่” เฉียวเวยถาม

“มี อยู่ในตะกร้า”

เฉียวเวยล้วงกล่องเข็มกับด้ายออกมาใช้สุราฆ่าเชื้ออย่างถี่ถ้วน จากนั้นเริ่มเย็บปากแผลให้เขา

ปากแผลยาวสามชุ่น เย็บทั้งหมดยี่สิบเข็ม

อีกด้านหนึ่งเฉียวเจิงตำหญ้าประสานกระดูกจนแหลก ทาลงบนบาดแผลที่เย็บปิดเรียบร้อยแล้ว

หญ้าประสานกระดูกรักษาอาการบาดเจ็บจากการถูกตีได้ มันมีฤทธิ์ขับความชื้น ทำให้เลือดลมไหลสะดวก แก้พิษลดการอักเสบ แม้เทียบกับยาจิงชวงไม่ได้ แต่ยามเร่งด่วนก็พอใช้แล้ว

บิดากับบุตรสาวช่วยชีวิตบุรุษผู้นั้นอย่างเข้าขายิ่งนัก จนในที่สุดหน้าอกของเขาก็พ่นลมหายใจออกมาแรงๆ เฮือกหนึ่งแล้วไอออกมา ก่อนจะขยับลุกขึ้นนั่ง

ชายหนุ่มได้ยินเสียงไอของพี่ชาย สีหน้าก็เปลี่ยนไปโดยพลัน เขาสับขาวิ่งเข้ามา “พี่ใหญ่! พี่ใหญ่!”

เฉียวเวยขวางเขาไว้ “พี่ใหญ่ของเจ้ายังอ่อนแออยู่มาก ทางที่ดีที่สุดเจ้าอย่ากระตุ้นอารมณ์เขา แล้วก็อย่าแตะเขาด้วย”

ชาวบ้านที่มาชมดูเรื่องสนุกตามชายหนุ่มมาล้อมวง

“เอ๋ ไม่ได้บอกว่าตายแล้วหรือ เหตุไฉนลุกขึ้นมาแล้ว”

“นั่นสิๆ เมื่อครู่ผู้ดูแลหอหลิงจือบอกเองกับปากว่าคนตายแล้วถึงแบกเข้ามาในหอหลิงจือของพวกเขา พวกเจ้าดูสิ ตอนนี้ผู้อื่นได้สติแล้ว”

เสียงวิพากษ์วิจารณ์ของชาวบ้านทำให้ผู้ดูแลหอหลิงจือสีหน้าย่ำแย่อย่างยิ่ง เขาแหวกฝูงคนเดินเข้ามาในตรอก

ชายหนุ่มคว้ามือของเฉียวเวยขึ้นมาเอ่ยอย่างซาบซึ้ง “พวกท่านช่วยพี่ใหญ่ของข้าหรือ”

เฉียวเวยตอบด้วยสีหน้าเรียบสนิท “คิดค่ารักษานะ”

“มี มี มี!” ชายหนุ่มรีบล้วงกระเป๋าเงินอย่างลนลาน เทเศษเงินออกมาหลายก้อน “ให้ท่านทั้งหมด! ให้ท่านทั้งหมดเลย!”

เฉียวเวยหยิบเงินขึ้นมาแล้วหันไปมองผู้ดูแลหอหลิงจือที่ตาโตอ้าปากค้างอยู่ แล้วหัวเราะเบาๆ “นี่น่ะหรือวิชาแพทย์ของหอหลิงจือของพวกเจ้า รักษาคนจนเกือบตายกลับไม่ยอมรับ แล้วยังลงมือตีผู้อื่น ใส่ร้ายผู้อื่นว่าแบกคนตายมาให้รักษา หอหลิงจือของพวกเจ้าทำให้ข้าได้เปิดหูเปิดตาแล้วจริงๆ!”

ผู้คนพากันหันไปมองผู้ดูแลหอหลิงจือด้วยสายตาดูแคลน วิชาแพทย์ของตนเองไม่ได้เรื่อง กลับมาแช่งผู้อื่นว่าตายแล้ว หน้าไม่อายจริงๆ!

ผู้ดูแลหอหลิงจืออับอายโกรธเกรี้ยว “พวกเจ้า…พวกเจ้าเป็นพวกเดียวกันตั้งแต่ต้น! พวกเจ้ารวมหัวกันใส่ร้ายหอหลิงจือ!”

เฉียวเวยหัวเราะหยัน “น่าขำ หอหลิงจือของพวกเจ้ามีสิ่งใดคู่ควรให้ข้าใส่ร้ายด้วยหรือ”

ผู้ดูแลหอหลิงจือมองเฉียวเวยตั้งแต่หัวจรดเท้ารอบหนึ่งก็เข้าใจ “อ้อ ข้าจำเจ้าได้แล้ว! เจ้าคือหญิงชาวบ้านจากบ้านนอกที่มาก่อเรื่องในหอหลิงจือเมื่อปีก่อน! เจ้าลงมือตบตีภรรยาของใต้เท้าหลู! ทุกคนเบิ่งตาดูให้ดี สตรีนางนี้คือพวกหน้าม้า! ปีกลายนางมาหาเรื่องหอหลิงจือของพวกเรา ตอนนี้ก็มาอีกแล้ว! นางกับพวกเขาเป็นพวกเดียวกัน! ทุกคนอย่าถูกพวกเขาหลอก!”

“จริงหรือโกหกกันนี่ ที่แท้เป็นสุนัขสวมหนังคน เป็นพวกต้มตุ๋นหรอกหรือ” ชาวบ้านเปลี่ยนฝั่งอีกครั้ง

เฉียวเจิงเก็บตะกร้าสมุนไพรเสร็จก็ก้าวออกมาข้างหน้า บังลูกสาวไว้ด้านหลัง แล้วมองผู้ดูแลด้วยสายตาจริงจัง “ลูกสาวข้าไม่ใช่พวกต้มตุ๋น เจ้าอย่าพูดจาส่งเดช”

ผู้ดูแลแสยะยิ้ม “ครั้งก่อนพาลูกมาสองคน ครั้งนี้ก็พาบิดามาอีก ครั้งต่อไปเจ้าจะพาผู้ใดมาเล่า จะลากมารดาที่บ้านเจ้าออกมาหลอกลวงผู้คนด้วยหรือไม่! เรียกคนมา! สั่งสอนพวกเขาให้หนัก! ให้พวกเขารู้ว่าหอหลิงจือไม่ใช่จะมาหาเรื่องได้ง่ายๆ ผู้ใดกล้ามาหาเรื่องหอหลิงจือ จุดจบก็จะเป็นเหมือนกับพวกเขา!”

สิ้นเสียงของผู้ดูแล อันธพาลโขยงหนึ่งก็ถือไม้พุ่งเข้ามา!

ฝูงชนแตกฮือ

เฉียวเวยกับเฉียวเจิงตกอยู่ในสายตาของอันธพาลอย่างไม่มีสิ่งใดบดบังทั้งสิ้น

อันธพาลกลุ่มนั้นแต่ละคนกำย่ำล่ำสัน หน้าตาดุร้าย ดูออกว่าไม่ใช่คนดี

พวกเขาไม่เพียงตีเฉียวเวยกับเฉียวเจิง แม้แต่คนป่วยบนพื้นกับชายหนุ่มก็ไม่ละเว้น

ชายหนุ่มต่อสู้กับคนหลายคนเพื่อปกป้องพี่ชาย

แต่เขาไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์ ทั้งยังบาดเจ็บอยู่ จึงแทบจะถูกซ้อมอยู่เพียงฝ่ายเดียว

เฉียวเจิงก็ไม่ได้ดีไปถึงไหน เขาเป็นคุณชายผู้เติบใหญ่มากับการร่ำเรียนหนังสือ เรื่องวิวาทอันใด ไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน!

พริบตาที่ชายฉกรรจ์กลุ่มนั้นเหวี่ยงไม้พุ่งเข้ามาหา เขาทำได้แต่มองตาค้าง

เฉียวเวยยกเท้าขึ้นถีบอันธพาลคนหนึ่ง อันธพาลล้มไปชนอันธพาลอีกสามคนด้านหลัง พากันลงไปกองกับพื้นร้องโอดโอย!

ทุกคนเห็นว่าจัดการเฉียวเวยไม่ง่าย จึงพากันแห่ไปหาเฉียวเจิง

ไม้ท่อนหนึ่งฟาดมาทางศีรษะของเฉียวเจิง แต่เฉียวเวยตาไวมือไวคว้าไว้ได้ก่อน เฉียวเวยหักข้อมือของเขา แล้วแย่งไม้ในมือเขามา จากนั้นถีบเขาทีเดียวกระเด็นลอยออกไป!

เฉียวเวยบอกเฉียวเจิงว่า “ท่านไปก่อน!”

เฉียวเจิงส่ายหน้า “ข้าไม่ไป”

เฉียวเวยตวาดเสียงเฉียบขาด “ไปสิ! ท่านอยู่แล้วทำสิ่งได้หรือ ข้ายังต้องแบ่งสมาธิมาปกป้องท่านอีก!”

พวกอันธพาลฝูงนี้ไม่ใช่อันธพาลธรรมดา แต่ละคนฝึกมัดมวยมาแล้ว แม้วรยุทธ์สูงส่งสู้องครักษ์ชิงอีเว่ยของจวนอ๋องไม่ได้ แต่โหดเหี้ยมกว่าองครักษ์ชิงอีเว่ยมากนัก

สารถีกวนซ่อนอยู่ในเข่งใบหนึ่ง คลำทางเข้ามาในตรอกอันโกลาหลอย่างเงียบเชียบ แล้วคว้ามือของเฉียวเจิงหนีออกไปจากตรอก

อันธพาลคนหนึ่งเห็นพวกเขาจึงเหวี่ยงไม้พุ่งเข้าใส่!

เฉียวเวยแววตาเย็นยะเยือก จับไม้ในมือขว้างอย่างแรง ไม้กระแทกเข้ากลางหลังของอันธพาล อันธพาลจึงล้มฟุบแทบเท้าของเฉียวเจิง

เฉียวเจิงสะดุ้งโหยง หันกลับมาก็เห็นเฉียวเวยถูกอันธพาลกลุ่มหนึ่งกลุ้มรุม

เขาสะบัดมือของสารถีกวน แล้วคว้าไม้บนพื้นขึ้นมา พุ่งเข้าใส่กลุ่มคนทั้งที่ตัวสั่นระริก!

หัวหน้าอันธพาลบนหอมองเห็นเหตุการณ์นี้ก็นึกสงสัย สตรีนางนั้นเป็นผู้ใดกัน เหตุใดจึงต่อสู้เก่งเช่นนี้ พี่น้องสิบกว่าคนของตนกลับไม่มีสักคนฉวยโอกาสเล่นงานนางได้

หัวหน้าอันธพาลคว้ากระบองเหล็กท่อนหนึ่งขึ้นมาแล้วกระโจนลงมาจากหน้าต่าง ฟาดเข้าใส่ศีรษะของเฉียวเวย!

ไม้ของเฉียวเจิงขวางกระบองเหล็กของเขาไว้ แต่น่าเสียดายกระบองไม้สู้กับกระบองเหล็กย่อมมิต่างจากเอาไข่กระแทกหิน เปรี๊ยะ! ได้ยินเพียงเสียงดังขึ้นครั้งหนึ่ง กระบองไม้ของเฉียวเจิงก็หัก กระบองเหล็กพุ่งฝ่าการขัดขวาง ฟาดลงบนกระหม่อมของเฉียวเจิงอย่างจัง

พริบตานั้น โลกทั้งใบราวกับหยุดหมุน

เฉียวเจิงไม่ได้ยินเสียงใดๆ ทั้งสิ้น รู้สึกเพียงว่าภาพตรงหน้าจู่ๆ ก็ขยับช้าลง ช้าลงจนเสมือนหยุดนิ่ง

ของเหลวอุ่นร้อนไหลเข้ามาในดวงตาของเขา จากนั้นไหลย้อยจากหางตาเข้ามาในปาก

เค็มนิดๆ

เฉียวเจิงชิมดู

เฉียวเวยคว้าไม้ท่อนหนึ่งที่ฟาดเข้าใส่นาง เท้าอีกข้างก็เตะอย่างแรงจนคนล้มไปเป็นโขยง! เมื่อนางหันกลับมาเห็นเฉียวเจิงหัวแตกเลือดไหลทะลักก็เบิกตาโตอย่างไม่อยากเชื่อ

เฉียวเจิงหัวเราะแผ่วเบาแล้วล้มลงท่ามกลางกองโลหิต