เล่ม-1 ตอนที่ 140-1 เล่นงานหญิงชั่ว ตีชิงตามไฟ

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน

ตอนที่ 140-1 เล่นงานหญิงชั่ว ตีชิงตามไฟ

เฉียวเวยโมโหแล้ว ก่อนหน้านี้นางรู้สึกว่าคนของหอหลิงจือหน้าไม่อาย แต่วันนี้เพิ่งค้นพบว่าแค่หน้าไม่อายเสียที่ไหน สารเลวต่างหาก!

พวกเขาเพียงช่วยชีวิตคนป่วยที่หอหลิงจือรักษาไม่ได้คนหนึ่ง แต่กลับถูกหอหลิงจือเห็นเป็นเสี้ยนหนามตำตา จิตใจคับแคบเช่นนี้ เปิดร้านยาใหญ่โตในเมืองหลวงได้อย่างไรกัน

เดรัจฉาน!

ฝูงเดรัจฉาน!

บนร่างเฉียวเวยฉับพลันมีไอสังหารอันแข็งแกร่งทะลักออกมา ดวงตาดั่งดาบน้ำแข็งที่จับต้องได้ กวาดผ่านร่างผู้ใด ผู้นั้นพลันขนหัวลุก หัวใจกระตุกวูบ

หัวหน้าอันธพาลผู้นั้นเห็นว่าท่าไม้ตายหมายเอาชีวิตของตนถูกบุรุษยุ่งมิเข้าเรื่องคนหนึ่งมาขวางไว้ อย่าให้พูดว่าเขาโกรธมากเพียงใด เขาเงื้อกระบองเหล็กคิดจะฟาดเข้าใส่เฉียวเวยแรงๆ อีกหน!

แขนของเฉียวเวยขยับอ้อม กอดรัดกระบองเหล็กอย่างว่องไวประหนึ่งอสรพิษ

คนผู้นั้นคิดจะดึงกลับ แต่พบว่ากระบองเหล็กเหมือนถูกตอกยึดไว้ ไม่ขยับแม้แต่น้อย

เขายกขาขึ้นกวาดเตะจากด้านข้าง ตั้งใจจะเตะขมับของเฉียวเวย เฉียวยกมือข้างหนึ่งขึ้นขวาง ขาข้างนั้นของเขาชาในพริบตา

เขาออกหมัด แล้วใช้มือที่ว่างอีกข้างหนึ่งฟาดเข้าใส่เฉียวเวยอย่างโหดเหี้ยม เฉียวเวยจับข้อมือของเขาไว้โดยไม่แม้แต่จะกะพริบตา เขาคิดจะทิ้งกระบองแล้วออกหมัดมาอีกหมัด แต่เฉียวเวยไม่ให้โอกาสเขาอีกแล้ว นางยกฝ่ามือตบกระบองเหล็ก กระบองเหล็กถูกงัดลอยขึ้นกลางอากาศ เฉียวเวยเอื้อมมือออกไปคว้า แล้วฟาดเข้าที่กะโหลกของเขาอย่างไม่ยั้งมือสักนิด!

เหมือนที่เขาฟาดเฉียวเจิงทุกประการ

กะโหลกของเขาถูกฟาดแตกเป็นรูเลือดในพริบตา สองตาเหลือกลอยล้มลงกับพื้น

คนที่เหลือเห็นสภาพเช่นนี้ก็ตกใจกลัวไม่กล้าเข้ามาแล้ว

แต่ไหนแต่ไรมีเพียงพวกเขาสั่งสอนผู้อื่น มิเคยถูกผู้อื่นสั่งสอนเช่นนี้มาก่อน นางเป็นผู้หญิงจริงหรือ เหตุใดลงมือโหดเหี้ยมเช่นนี้

เฉียวเวยนับว่ายั้งมือไว้ไมตรีแล้ว มิฉะนั้นนางคงจะสังหารคนกลุ่มนี้ให้หมด เอาให้ไม่ต่างอันใดกับเชือดไก่ฝูงหนึ่ง นางไม่อยากก่อคดีฆ่าคนตายจึงยั้งมือไว้ แต่ผลของการยั้งมือคืออะไร คือพวกเขาเกือบจะสังหารพวกนางสองพ่อลูก!

“ผู้ใดยังสู้ไม่พอก็เข้ามา!”

ทุกคนตัวสั่นระริกก้าวถอยหลัง!

น่าเสียดายเฉียวเวยไม่คิดจะปล่อยพวกเขาแล้ว เฉียวเวยพุ่งเข้าไป ฟาดหนหนึ่งจัดการหนึ่งคน บางคนถูกฟาดไปชนกำแพง บางคนถูกฟาดร่วงลงไปกองกับพื้น ทุกคนรู้สึกว่ากระดูกทั่วร่างเหมือนจะแหลกลาญ เจ็บจนกลิ้งกับพื้น

ผู้ดูแลหอหลิงจือหน้าถอดสีในพริบตา เขาตัวสั่นระริกสั่งบ่าวคนหนึ่ง “เร็ว! รีบไปแจ้งฮูหยิน!”

บ่าวคนนั้นวิ่งจากไป

เฉียวเวยนั่งยองๆ ลงมาจัดร่างของเฉียวเจิงให้นอนราบ เปิดถุงสุราทำความสะอาดแผลให้เฉียวเจิง แต่จนปัญญาเพราะสุราฤทธิ์แรงเพิ่งถูกใช้หมดเมื่อครู่ เฉียวเวยเขย่าถุงก็มีไหลลงมาเพียงไม่กี่หยด

“รับ!” ชายหนุ่มปล้นสุราฤทธิ์แรงไหหนึ่งมาจากเหลาสุราด้านข้าง ปล้นจริงๆ เพราะเงินบนตัวเขามอบให้เฉียวเวยไปหมดแล้วจึงมิมีเงินจ่าย เถ้าแก่โมโหจัด วิ่งไล่ตามมาตลอดทางมิยอมปล่อย ทว่าเมื่อเถ้าแก่เห็นสภาพเละเทะที่นี่ ก็ยอมรับความโชคร้ายแล้วผละจากไป

“ขอบคุณมาก” เฉียวเวยรับไหสุรามา รินลงบนผ้าสะอาด จากนั้นทำความสะอาดบาดแผลให้เฉียวเจิง กระบองเหล็กนั่นฟาดถูกหน้าผากของเขาพอดี หน้าผากบวมเป่ง มีแผลขนาดห้าเซนติเมตรอยู่หนึ่งจุด เฉียวเวยใช้เข็มกับด้ายสะอาดเย็บปากแผล

ผู้คนที่มุงดูฉากนี้อยู่ กระซิบกระซาบกันอีกหน

“นางรักษาคนได้จริงๆ พวกเจ้าดูสิ”

“ใจกล้าจริงเชียว นางไม่…” เห็นเลือดแล้วอยากจะเป็นลมบ้างหรือ ภาพตรงนั้นแม้แต่บุรุษเช่นเขาคนนี้เห็นแล้วยังใจผวา

ระหว่างที่เฉียวเวยเย็บแผล ชายหนุ่มก็เห็นถ้วยยาที่วางไว้บนเสื่อฟาง ยาในถ้วยเหมือนกับยาที่อยู่บนแผลของพี่ชายเขา เขาหยิบถ้วยยาขึ้นมาถามว่า “อันนี้ใช่หรือไม่”

เฉียวเวยพยักหน้า ชายหนุ่มส่งถ้วยยามาให้

เฉียวเวยตักขึ้นมาช้อนหนึ่งแล้วทาบนปากแผลที่เย็บแล้วให้เสมอกัน

จู่ๆ มือของชายหนุ่มก็ขยับเข้ามาใกล้ใบหน้าของเฉียวเวย เฉียวเวยตวัดสายตามองเขาอย่างระแวดระวัง!

เขาชะงักด้วยความตกตะลึง มือที่จับแขนเสื้อแข็งทื่ออยู่กลางอากาศ “ข้า ข้าเพียงจะเช็ดเหงื่อให้ท่าน”

“ไม่ต้อง” เฉียวเวยตอบอย่างเรียบเฉย

ชายหนุ่มรั้งมือกลับอย่างผิดหวัง เขามองคนเจ็บสองคนที่อยู่บนพื้นแล้วถามว่า “พวกเขาจะไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่”

เฉียวเวยฉีกผ้าแถบหนึ่งออกมาจากกระโปรง แล้วพันบนศีรษะของเฉียวเจิง “พี่ใหญ่ของเจ้าไม่เป็นอะไรแล้ว ระวังมิให้แผลติดเชื้อก็พอ ร้านยามีขายยาอยู่ เจ้าไปหาซื้อเอง”

“ได้” ชายหนุ่มขานรับ แล้วถามต่อ “ถ้าเช่นนั้นบิดาของท่านเล่า”

เฉียวเวยมองเขาด้วยใบหน้าเรียบเฉย “บิดาข้าเกี่ยวอะไรกับเจ้า”

“เอ่อ ข้า…ข้าก็แค่…” ถามด้วยความหวังดี ชายหนุ่มสะอึกแล้วหน้าแดง

สารถีกวนวิ่งเข้ามาช่วยเฉียวเวยอุ้มเฉียวเจิงขึ้นรถม้า ตอนนี้เองที่สวีซื่อรีบร้อนมาถึง

เดิมทีสวีซื่อก็อยู่ระหว่างทางมาหอหลิงจืออยู่แล้ว นางทำป้ายสีทองใหม่เอี่ยมมาแผ่นหนึ่ง ไม่ใช้ชื่อหอหลิงจืออีกต่อไป แต่เปลี่ยนมาเป็นชื่อหออวี้ชุน นับจากนี้ชีวิตนางจะไม่มีเงาของเสิ่นซื่ออีก ทุกสิ่งจะเป็นของนางสวีเมิ่งชิงแต่เพียงผู้เดียว!

คิดไม่ถึงว่าเพิ่งเดินทางมาได้ครึ่งทางก็ถูกบ่าวรับใช้ของหอหลิงจือ ‘ขวางทาง’ บ่าวรับใช้บอกนางว่ามีคนมาก่อเรื่องที่หอหลิงจือและทำร้ายเลี่ยวเกอร์

เลี่ยวเกอร์เป็นคนรู้จักฝั่งบ้านแม่ของสวีซื่อ จะบอกว่าเป็นญาติก็ไม่ใช่ญาติ แต่ข้อดีคือมีใจภักดี แล้วยังมีฝีมือ เคยเข้าพรรคเข้าสำนัก ลูกน้องที่ฝึกฝนออกมาก็ฝีมือดี ก่อนหน้านี้ช่วยจัดการพวกที่มาหาเรื่องหอหลิงจือมิรู้เท่าไรแล้ว

หนนี้นายท่านได้รับแต่งตั้งเป็นโหว ผู้ที่อิจฉาย่อมมีมากกว่าเดิม นางสั่งเลี่ยวเกอร์ไว้ก่อนแล้วว่าต้องคุมหอหลิงจือให้ดี หากพบพวกที่มิรู้จักดูสถานการณ์ก็ตีเสียให้หมด นางจะจัดการเรื่องที่ตามมาเอง

แต่เด็กรับใช้คนนี้พูดว่าอะไร มีคนเล่นงานเลี่ยวเกอร์หรือ

นี่เป็นเรื่องหายากจริงๆ!

สวีซื่อนั่งรถม้าเดินทางมายังหอหลิงจืออย่างเร่งรีบ แล้วสั่งให้คนนำป้ายใหม่ขึ้นไปแขวนก่อนเป็นอย่างแรก จากนั้นจึงพาหลินมามาไปยังตรอกที่เกิดเรื่อง

ผู้ดูแลหอหลิงจือตกใจกลัวจนขวัญไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เวลานี้เมื่อเห็นฮูหยินของตนจึงเหมือนกับคนจมน้ำที่เห็นขอนไม้ท่อนหนึ่งลอยมา เขาถลาเข้ามาหา “ฮูหยิน! ในที่สุดท่านก็มาแล้ว! มีคนก่อเรื่องที่หอหลิงจือของพวกเรา! ทำร้ายคนคุ้มกันจนหมด!”

อันธพาลของหอหลิงจือนอนระเกะระกะอยู่บนพื้น เลี่ยวเกอร์อาการสาหัสที่สุด บนศีรษะมีแต่เลือด หมอของหอหลิงจือคนหนึ่งกำลังรักษาเขาอยู่

“เป็นอย่างไรบ้าง” สวีซื่อถาม

หมอส่ายหน้า “ตอบฮูหยิน สิ้นลมแล้วขอรับ”

ทุกคนสูดลมหายใจอย่างตกตะลึง!

บุรุษฝีมือร้ายกาจเช่นนี้ถูกกระบองฟาดทีเดียวตายจริงหรือ!

“ผู้ใดทำ” สวีซื่อตวาดกร้าว

เฉียวเวยวางเฉียวเจิงเรียบร้อยก็ลุกขึ้นยืนอย่างมิสะทกสะท้าน “ข้าเอง”

แววตาของสวีซื่อสั่นไหววูบหนึ่ง “เจ้าเองหรือ”

ทุกคนตกตะลึง สตรีนางนี้รู้จักกับเถ้าแก่หอหลิงจือหรือ

สวีซื่อมองคราบเลือดทั่วพื้น ความหวาดกลัวทะลักขึ้นมาในใจ แต่ยามนี้นางเป็นโหวฮูหยินแล้ว หากยังกลัวหญิงชาวบ้านตัวเล็กๆ คนหนึ่งก็ออกจะน่าขายหน้าเกินไป!

สวีซื่อตั้งสติ วางหน้าเคร่งขรึมกล่าวว่า “เหตุใดเจ้าจึงมาก่อเรื่องอีกแล้ว”

หลินมามาต่อว่าตาม “ใช่แล้ว เหตุใดเจ้าจึงมาอีกแล้ว แล้วยังทำร้ายคนจนตายอีก!”

ดวงตาทั้งคู่ของเฉียวเวยวาวโรจน์ดุจคบเพลิง “เจ้าไม่ลองถามทุกคนดูเล่าว่าเขาสมควรตายหรือไม่”

ชาวบ้านทั้งหลายจิ๊ปาก ส่ายหัว

“สารเลวเกินไป ผู้อื่นยังมิทันทำอะไร พวกเจ้าก็จะฆ่ากันให้ตาย!”

“สารเลวเช่นนี้สมควรถูกตีตายแล้ว!”

“ใช่แล้ว ชั่วร้ายเกินไปแล้ว!”

ไม่ว่าแม่นางผู้นี้จะเป็นพวกต้มตุ๋นหรือไม่ หอหลิงจือก็ลงมือโหดเหี้ยมเกินไป บิดาของผู้อื่นพุ่งเข้ามาแต่ยังไม่ได้ลงมือเลยสักนิดก็ถูกกระบองฟาดฟุบไปกับพื้น ตายหรือไม่ก็ยังไม่รู้ ยังจะโทษว่าลูกสาวของผู้อื่นลงมือโหดเหี้ยมเกินไปอีกหรือ ผู้ใดกันแน่ที่หาเรื่องก่อน

สวีซื่อสีหน้าเปลี่ยนไปทันควัน “เจ้า…เจ้าไม่กลัวข้าฟ้องทางการหรือ”

เฉียวเวยตอบอย่างไม่หวาดกลัวสักนิด “ข้าเป็นฝ่ายป้องกันตัว เจ้าฟ้องทางการแล้วจะทำอะไรได้ เขาเอาชีวิตพวกเราได้ แต่ข้าห้ามสวนกลับหรือไร”

สวีซื่อยืนไม่ติดแล้ว เลี่ยวเกอร์ลงมือโหดร้าย อยู่ที่บ้านก็ตีคนตายไปหลายคน ทางการยังมีประวัติคดีอยู่เลย นางไหนเลยจะกล้าไปฟ้องจริงๆ

แต่จะปล่อยสาวน้อยคนนี้ไปเช่นนี้ นางก็รู้สึกไม่ยินยอม!

“เจ้าทำคนของหอหลิงจือตาย เรื่องนี้จะจบเช่นนี้ไม่ได้!”

เฉียวเวยตอบอย่างไม่เกรงใจสักนิด “แน่นอนว่าจะจบเท่านี้ไม่ได้ พวกเจ้าหอหลิงจือรังแกคนมากเกินไปแล้ว บัญชีแค้นหนนี้ช้าเร็วข้าต้องมาทวงคืน!”

สวีซื่อโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง “เจ้ายังมีหน้ามาทวงแค้นกับหอหลิงจืออีกหรือ ดูสิว่าเจ้าทำร้ายคนของหอหลิงจือจนเป็นอย่างไรแล้ว เจ้าช่างไม่รู้จักละอายต่อบาปจริงๆ!”

“นั่นน่ะสิ” หลินมามาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเสียดสี “หน้าตาก็ขาวเกลี้ยงเกลา คิดว่าเป็นแม่นางผู้บริสุทธิ์สะอาดคนหนึ่ง ผู้ใดจะคิดว่าเคยทำเรื่องน่าอับอายเต็มไปหมด! ทุกคนอย่าถูกนางหลอกเอา ตั้งแต่ปีกลายนางก็เริ่มหาเรื่องหอหลิงจือของพวกเราแล้ว!”

คำพูดนี้ ผู้ดูแลของหอหลิงจือเคยพูดมาก่อนแล้ว แต่น่าเสียดายหลังจากได้เห็นการลงมืออันโหดร้ายของหอหลิงจือก็ไม่มีชาวบ้านยินดีจะเชื่อคำพูดเหลวไหลเช่นนี้อีก

แม่นางคนหนึ่งอยู่ดีๆ จะไม่มีอะไรทำวิ่งมาหาเรื่องหอหลิงจือของพวกเจ้าให้โดยซ้อมหรือไร

หลินมามาทราบว่าผู้คนคิดเช่นไร จึงแค่นเสียงหยัน กล่าวต่อว่า “ทุกคนรู้หรือไม่ว่าเหตุใดนางต้องหาเรื่องหอหลิงจือของพวกเรา นั่นก็เพราะนางต้องตาต้องใจท่านเขยของตระกูลเรา! คุณหนูใหญ่ของตระกูลข้าแต่เดิมเป็นว่าที่ภรรยาของตระกูลใหญ่ แต่นางกลับเข้ามาแทรก มิรู้ใช้เล่ห์กลอันใดล่อลวงท่านเขยของตระกูลพวกเราไป ทำให้คุณหนูของตระกูลเรากับท่านเขยต้องแยกจากกัน! คุณหนูของตระกูลข้าเติบโตในอารามเต๋าตั้งแต่เล็ก จิตใจบริสุทธิ์ใสซื่อ ไม่รู้จักระวังคน จึงหลงกลนางครั้งแล้วครั้งเล่า นางอยู่ต่อหน้าคุณหนูของตระกูลข้าทำตัวอย่างหนึ่ง พอไปอยู่กับท่านเขยก็ทำตัวอีกอย่างหนึ่ง ท่านเขยคิดว่านางเป็นสตรีอ่อนแอน่าสงสาร แต่ทุกคนดูสิ นางกล้าแม้แต่จะสังหารคน ยังจะเป็นตัวดีอันใดได้อีกเล่า”

ทุกคนหันขวับไปมองเฉียวเวย แววตาเต็มไปด้วยความคลางแคลง

หลินมามาเอ่ยอย่างคับแค้นในความอยุติธรรม “ไม่เชื่อทุกคนก็ลองถามนางดู ตอนนี้นางคบหาอยู่กับท่านเขยของตระกูลเราใช่หรือไม่”

“ใช่หรือไม่” ทุกคนพึมพำ สายตาจ้องเขม็งอยู่บนร่างของเฉียวเวย

เฉียวเวยไม่เอ่ยคำใด

เป็นเช่นนี้จริงหรือ นางเป็นนางจิ้งจอกจริงๆ หรือ

ในใจทุกคนรู้สึกผิดหวัง

หลินมามาสาแก่ใจนักเอ่ยต่อว่า “หากนางเป็นสตรีที่ยังไม่ออกเรือนสักคน ข้าก็คงไม่ว่าอะไรนางแล้ว! แต่ก่อนที่นางจะล่อลวงท่านเขยของตระกูลข้า นางก็มีลูกกับบุรุษข้างนอกมาแล้ว! นางปีศาจจิ้งจอกหน้าไม่อาย! ทำร้ายคุณหนูของข้าแล้วยังวิ่งมาก่อเรื่องที่หอหลิงจืออีก! จิตใจของนางเหตุไฉนจึงชั่วร้ายเช่นนี้ คุณหนูของข้ายอมยกท่านเขยให้นางแล้ว เหตุใดนางยังมิรู้จักพอ นางต้องเหยียบพวกเราทั้งหมดไว้ใต้เท้าใช่หรือไม่จึงจะพอใจ”

หลินมามาน้ำหูน้ำตาไหล แสดงท่าทางของผู้ถูกทำร้ายได้อย่างสมจริงสมจังยิ่งนัก

แน่นอนว่านี่ไม่ใช่การแสดงทั้งหมด ในความคิดของนาง นางคิดว่าเฉียวเวยแย่งคู่หมั้นของเฉียวอวี้ซีไปจริงๆ แม้นางจะรู้ว่าผู้ที่จีหมิงซิวมีสัญญาหมั้นหมายด้วยในตอนแรกคือเฉียวเวย แต่เฉียวเวยถูกขับไล่ออกจากตระกูลไปแล้ว ดังนั้นทุกสิ่งของนางย่อมสมควรตกเป็นของคุณหนูใหญ่ เฉียวเวยจะกลับมาแย่งมันไปอีกย่อมเลวร้ายยิ่งกว่าเดรัจฉาน!

ตรรกะเข้าข้างตนเองเช่นนี้น่าขันเกินไปแล้ว เหมือนว่าคนที่มีสัญญาหมั้นหมายกับหมิงซิวตอนแรกจะไม่ใช่เฉียวอวี้ซี แต่เป็นคุณหนูของเรือนใหญ่ไม่ใช่หรือ คุณหนูคนนั้นทำความผิดจนถูกขับไล่ออกจากตระกูล เฉียวอวี้ซีจึงได้มาเสียบแทน เหตุไฉนกลับกลายเป็นเป็นสิ่งที่เฉียวอวี้ซีสมควรครอบครองอยู่แล้วเล่า คนเหล่านี้ช่าง…

ประเดี๋ยวก่อนนะ คุณหนูของเรือนใหญ่

คุณหนูของเรือนใหญ่ก็คือตัวนางเองไม่ใช่หรือ

คนที่มีสัญญาหมั้นหมายกับหมิงซิว…ก็คือตัวนางเองหรือ

ลี่ว์จูเคยพูดกับนางว่ามิจำเป็นต้องสนใจเฉียวอวี้ซี เพราะว่าเฉียวอวี้ซีไม่ใช่ ‘คู่หมาย’ ของหมิงซิวตั้งแต่ต้น

เหตุใดนางจึงไม่เคยคิดเลยว่า ‘คู่หมาย’ คนนี้ก็คือตัวนางเอง

ตอนที่เซวียมามาเดินทางมาทวงเงินถึงบ้าน นางก็ทราบแล้วว่าตนเองคือคุณหนูเรือนใหญ่ของจวนเอินปั๋ว แต่กลับไม่เคยคิดเชื่อมโยงไปถึงสัญญาหมั้นหมาย

คนพวกนี้กล้ากลับดำเป็นขาวต่อหน้านาง คิดว่านางยังไม่รู้เรื่องรู้ราวใช่หรือไม่

“เลิกเล่นละครได้แล้ว! พวกเจ้าต่างหากที่แย่งชิงสัญญาหมั้นไปจากข้า ตอนนี้ข้าก็เพียงมาเอาของที่เป็นของตัวเองกลับคืนเท่านั้น เหตุใดพอพูดออกจากปากพวกเจ้า ข้าจึงกลายเป็นนางปีศาจจิ้งจอก พวกเจ้าวางแผนใส่ร้ายข้า ขับไล่ข้าออกจากตระกูล ยึดทุกสิ่งของข้าไปเป็นของตน ทั้งฐานะของข้า สัญญาหมั้นของข้า กลายเป็นของในกระเป๋าของพวกเจ้าทั้งหมด! ผู้ใดกันแน่ที่หน้าไม่อาย”

หลินมามาตาค้าง นาง นาง นางรู้ชาติกำเนิดของตนเองแล้วหรือ นางสูญเสียความทรงจำไม่ใช่หรือไร

สวีซื่อตกตะลึงไม่น้อยไปกว่าหลินมามา เหตุที่นางเอาเปรียบคุณหนูใหญ่เฉียวมาได้ตลอดก็ด้วยอาศัยที่คุณหนูใหญ่เฉียวไม่รู้ชาติกำเนิดของตนเอง แต่ตอนนี้…คุณหนูใหญ่เฉียวรู้แล้ว คุณหนูใหญ่เฉียวรู้ได้อย่างไร!

เหล่าฮูหยิน!

เหล่าฮูหยินส่งเซวียมามาขึ้นเขาไปทวงหนี้จากสาวน้อยน่าตายคนนี้!

ต้องเป็นเพราะครั้งนั้นแน่ สาวน้อยคนนี้จึงล่วงรู้ชาติกำเนิดของตนเอง!

เหล่าฮูหยินหนอเหล่าฮูหยิน ท่านทำร้ายข้าแล้วจริงๆ!

ผู้ดูแลก็มึนงงด้วยแล้ว สตรีนางนี้คือคุณหนูเฉียวของเรือนใหญ่หรอกหรือ

อีกด้านหนึ่งหมอเฒ่าของหอหลิงจือตะโกนโวยวาย “พวกเจ้าจะทำอะไร ผู้ใดให้พวกเจ้ายกป้ายของหอหลิงจือออก”

เด็กรับใช้ตอบว่า “ฮูหยินสั่งว่านับจากวันนี้หอหลิงจือจะเปลี่ยนชื่อเป็นหออวี้ชุน”

“ห้ามเปลี่ยน! ห้ามเปลี่ยน! เอาลงมาเดี๋ยวนี้!” หมอเฒ่าคว้าไม้กวาดไล่เด็กรับใช้ที่กำลังจะแขวนป้ายลงมา หลังจากนั้นจึงเดินเข้ามาในตรอกอย่างเดือดดาล มองไปหาสวีซื่อแล้วเอ่ยว่า “ฮูหยินรอง! เหตุใดท่านจึงจะเปลี่ยนป้ายของหอหลิงจือ หอหลิงจือเป็นน้ำพักน้ำแรงของท่านปั๋วกับฮูหยินใหญ่! หากพวกเขาไม่อนุญาต ผู้ใดก็มิอาจถอดป้ายหอหลิงจือออกได้ทั้งนั้น!”

แย่แล้ว เหล่าเผยมาได้อย่างไร ปล่อยให้เขาเห็นคุณหนูใหญ่เฉียวก็แย่สิ!

สวีซื่อส่งสายตาให้ผู้ดูแล ผู้ดูแลเข้าใจความนัยจึงลากหมอเฒ่าเดินออกไปนอกตรอก

สวีซื่อมองไปยังผู้คน “ทุกคนอย่าฟังนางพูดจาเหลวไหล นางไม่ใช่คุณหนูเรือนใหญ่ของพวกเรา..”

พูดมาได้ครึ่งหนึ่ง หมอเฒ่าก็สลัดตัวออกจากแขนของผู้ดูแล แต่เขาใช้แรงมากเกินไปจึงเซล้มมาด้านหลังแล้วกลิ้งบนพื้นอีกหลายตลบ

ชายหนุ่มประคองเขาขึ้นมา ทันใดนั้นเขาก็เห็นเฉียวเจิงที่นอนอยู่บนพื้น แววตาพลันสั่นระริก “นายท่าน?”

สวีซื่อตกตะลึง นายท่าน? นายท่านไหน?

หมอเฒ่าพยุงหัวไหล่ของเฉียวเจิงขึ้นมาด้วยมืออันสั่นเทา “นายท่าน? ท่านเองหรือ นายท่าน!”

สวีซื่อมัวแต่สนใจจะจัดการเฉียวเวย จึงมองข้ามเฉียวเจิงที่นอนอยู่บนพื้น เมื่อนางเดินเข้ามาดูใกล้ๆ ก็ตกใจจนร้องเสียงหลง!

“ฮูหยิน! ท่านเป็นอันใดเจ้าคะ” หลินมามาเข้ามาพยุงนาง

สวีซื่อเอ่ยเสียงสั่น “ท่าน ท่านปั๋ว…”

เฉียวเวยไม่อยากดึงเฉียวเจิงเข้ามาเกี่ยวด้วย จึงไม่ได้เปิดเผยตัวตนของเฉียวเจิง แต่ตอนนี้ถูกหมอเฒ่าเปิดเผยแล้ว อยากจะปิดก็คงปิดไว้ไม่อยู่

หลินมามาก้าวเข้ามาดู จากนั้นก็ร้องเสียงหลงเหมือกับหมูถูกเชือดเช่นเดียวกัน!

สวีซื่อสองขาอ่อนยวบ พิงอยู่บนตัวหลินมามาอย่างไร้เรี่ยวแรง

หมอเฒ่าจำเฉียวเจิงได้ ต่อจากนั้นก็จำเฉียวเวยได้อย่างรวดเร็ว “ท่านคือคุณหนูใหญ่หรือ”

เฉียวเวยมองเขา “ท่านคือ…”

“ข้าคือเหล่าเผยอย่างไรเล่า คุณหนูใหญ่! ข้ารักษาหอหลิงจือมาหลายปี ในที่สุดก็รอจนท่านกลับมาแล้ว! นายท่านก็ยังไม่ตาย…ดีเหลือเกิน…ข้ารู้อยู่แล้ว…คนดีเช่นนี้ สวรรค์จะตัดใจปล่อยให้เขาตายได้อย่างไร…” หมอเฒ่าน้ำตาไหลพราก

หลินมามามือหนึ่งประคองฮูหยินที่ใกล้จะหมดสติ อีกมือหนึ่งชี้หน้าหมอเฒ่า “เหล่าเผย ข้าว่าเจ้าแก่จนเลอะเลือนแล้ว! นายท่านใหญ่ตายไปตั้งหลายปีแล้ว เจ้ามาคว้าใครก็ไม่รู้มาบอกว่าเขาเป็นนายท่านใหญ่ได้อย่างไร โรคบ้าของเจ้ากำเริบอีกแล้ว! ดูท่าคงจะทำงานที่หอหลิงจือต่อไม่ได้แล้ว! ผู้ดูแล! ยังไม่รีบพยุงเขาเข้าไป! อย่าให้เขาทำขายหน้าผู้คนข้างนอกอีก!”

“…ขอรับ!” ผู้ดูแลไม่สนใจความจริงระหว่างเรือนใหญ่กับเรือนรอง เขาลงเรือลำเดียวกับเรือนรองแล้ว ชีวิตของตนเองกับครอบครัวย่อมขึ้นอยู่กับเรือนรอง เขาจึงได้แต่ฟังคำสั่งของเรือนรองเท่านั้น

เขาไปจับตัวหมอเฒ่า แต่ถูกเฉียวเวยจับหักแขนจนกรีดร้องโหยหวน!

หลินมามาตกใจมาก สตรีนางนี้พอต่อยตีขึ้นมาช่างร้ายกาจนัก!

“รีบประคองฮูหยินขึ้นรถม้า”

หลินมามาเรียกบ่าวรับใช้หลายคนมาแบกสวีซื่อผู้ไร้เรี่ยวแรงขึ้นไปบนรถม้า หลังจากนั้นรีบร้อนหนีกลับจวนภายใต้สายตาคลางแคลงและดูหมิ่นของทุกคน

เฉียวเวยไม่ได้ไล่ตามไปเพราะติดที่อาการบาดเจ็บของเฉียวเจิง นางอุ้มเฉียวเจิงมาบนรถม้าของสารถีกวน สารถีกวนเก็บของแต่ละชิ้นของเฉียวเจิงมาจนหมดแล้วขนขึ้นมาบนรถม้า

สารถีกวนขับรถม้าอย่างเร็วที่สุด กลับมายังหมู่บ้าน

ชาวบ้านเห็นเฉียวเวยแบกเฉียวเจิงที่บาดเจ็บกลับมาก็อ้าปากกว้างด้วยความตกใจ เดินทางไปเมืองหลวงมาไม่ใช่หรือ เกิดเรื่องอะไรขึ้น เหตุใดจึงบาดเจ็บกลับมาเช่นนี้

ชีเหนียงออกมาจากโรงงาน “นายท่านเป็นอะไรไปเจ้าคะ วิวาทกับผู้ใดมา”

เฉียวเวยแบกเฉียวเจิงเข้ามาในห้อง แล้ววางลงบนเตียง “น้ำร้อน!”

“เจ้าค่ะ เจ้าค่ะ!” ชีเหนียงรีบเข้าไปในห้องครัว ต้มน้ำร้อน แล้วเรียกปี้เอ๋อร์มาจากโรงงาน “เจ้าไปดูแลนายท่านก่อน!”

“เข้าใจแล้ว!” ปี้เอ๋อร์ถอดผ้ากันเปื้อน เดินเข้าไปในห้องของเฉียวเจิง

เฉียวเวยหยิบยาจินชวงที่เตรียมไว้เผื่อใช้ในห้องของตนออกมา จากนั้นแกะผ้าพันแผลบนศีรษะของเฉียวเจิง ปาดหญ้าประสานกระดูกออก จากนั้นทายาจินชวงลงไป ต่อมายังหายาป้องกันแผลติดเชื้อเช่น หวงฉี เทียนหนานซิง ฟู่จื่อขาว กระดองหมึก หวงเหลียน ไป๋จื่อ เป็นต้นออกมาจากตู้ยาของเฉียวเจิง แล้วให้ปี้เอ๋อร์เอาไปที่ห้องครัว

เฉียวเวยสีหน้าจริงจังจนน่ากลัว ปี้เอ๋อร์กับชีเหนียงไม่กล้าถามว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่

ซิ่วไฉเฒ่ากับป้าหลัวได้ข่าวจึงขึ้นเขามา

“นายท่านเป็นอย่างไรบ้าง” ซิ่วไฉเฒ่าเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับสีหน้าลนลาน พอเห็นแผลยาวหนึ่งชุ่นกว่าบนหน้าผากของเฉียวเจิงก็ตกตะลึง “ผู้ใดทำ”

เฉียวเวยแววตาเย็นยะเยือก “หอหลิงจือ”

ซิ่วไฉเฒ่าตกตะลึง “หอหลิงจือหรือ พวกเจ้าไปหอหลิงจือมาแล้วหรือ นายท่านเขาจดจำเรื่องเมื่อก่อนได้แล้วหรือ”

เฉียวเวยบิดผ้า เช็ดคราบเลือดบนใบหน้าของเฉียวเจิง “เปล่า เพียงผ่านทาง ช่วยคนป่วยที่หอหลิงจือรักษาไม่ได้ไว้คนหนึ่งจึงถูกหอหลิงจือโกรธแค้น”

ซิ่วไฉเฒ่าโกรธยิ่งนัก “พวกคนสมควรตาย! พวกคนสมควรตาย! พวกเขาทำเช่นนี้กับนายท่านได้อย่างไร พวกเขาจำนายท่านไม่ได้หรือ”

เฉียวเวยหยิบผ้าที่เปื้อนเลือดและสิ่งสกปรกจนเต็มผืนลงไปซักในอ่างน้ำ “ตอนแรกจำไม่ได้ ตอนนี้รู้แล้ว”

ซิ่วไฉเฒ่ากระทืบเท้า “รู้แล้วยังไม่พูดว่าจะรับนายท่านกลับไปอีกหรือ” คุณหนูทำความผิดถูกขับไล่ออกจากตระกูล แต่นายท่านไม่ได้ทำเสียหน่อย!

ป้าหลัวด่า “พวกชาติสุนัข! ตอนนั้นขับไล่เจ้าออกมา ตอนนี้ยังทำร้ายบิดาของเจ้าอีก! ไม่ใช่คน! เดรัจฉาน! ไอ้พวกชาติชั่ว! ไปฟ้องทางการเถิด!”

ซิ่วไฉเฒ่าโมโหฮึดฮัด “ฟ้องทางการก็ไร้ประโยชน์ นายท่านตายมาหลายปีเช่นนี้ หากพวกเขากัดฟันบอกว่านายท่านเป็นตัวปลอม ทางการจะทำอะไรได้ สมองของนายท่านก็ไม่ปกติ ไล่ลำดับเรื่องราวหนึ่งสองสามยังผสมกันมั่ว จะพิสูจน์ว่าตนเองเป็นนายท่านใหญ่ของจวนเอินปั๋วได้อย่างไร”

ในใต้หล้ามีคนหน้าตาเหมือนกันมากมายนัก นายท่านลำบากมาสิบห้าปี หน้าตาเปลี่ยนไปไม่มากก็น้อย เว้นเสียแต่ว่านายท่านจะจดจำเรื่องราวในอดีตได้ มิเช่นนั้นคงยากจะพิสูจน์ตัวตนของตนเอง

นายท่านยังพิสูจน์ตัวตนของตนเองมิได้ คุณหนูใหญ่ยิ่งทำไม่ได้

คุณหนูใหญ่ถูกเลี้ยงในจวนตั้งแต่เล็ก แทบมิเคยโผล่หน้ามาข้างนอก นอกจากคนในตระกูลเฉียว ผู้ใดจะรู้จักว่านางคือคุณหนูใหญ่

แต่คนตระกูลเฉียวถูกคนใจทมิฬพวกนั้นควบคุมอยู่ พวกเขาจะมาเป็นพยานให้คุณหนูหรือ อย่าโง่ไปหน่อยเลย

ตอนแรกหากมีสักคนก้าวออกมาพูดแทนคุณหนู คุณหนูก็คงมิตกต่ำถูกขับไล่ออกจากตระกูล

ป้าหลัวเช็ดน้ำตา “เวรกรรมแท้!”

ซิ่วไฉเฒ่าขอบตาแดงเอ่ยว่า “นายท่านรีบหายดีเร็วๆ เถิดขอรับ ท่านต้องหายเป็นปกติ ถึงจะขับไล่พวกคนใจทมิฬพวกนั้นออกจากตระกูลเฉียวได้!”