บทที่ 435 เรียบร้อย!

เจ้าของร้านพิศวง

บทที่ 435 : เรียบร้อย!

เมื่อครั้งที่มิคาเอลยังไม่ได้ชื่อมิคาเอล เขาเคยเดินทางไปทั่วโลก…

นานแสนนานมาแล้ว ที่จริงมิคาเอลเป็นเพียงกลุ่มธาตุแสงซึ่งได้รับสติปัญญาและพลังจากกาลเวลา

ที่ใดก็ตามที่แสงสว่างส่องผ่าน ย่อมไม่มีสิ่งใดหลุดรอดจากเขาได้ และเมื่อเขาบรรลุกฎเกณฑ์แห่งแสงสว่าง เขาก็ได้รับ ‘เนตรหยั่งรู้’ มา ไม่มีผู้ใดบนโลกสามารถหลีกหนีจากดวงตาของเขาได้อีก

เมื่อหลายพันปีก่อน มนุษย์ซึ่งได้รับการคุ้มครองจากแม่มดแห่งอัคคีได้เข้าสู่ยุคสมัยใหม่ พลังของเธอสลายหายโดยสมบูรณ์ แต่เธอก็ยังทิ้งความกังวลเอาไว้ด้วย

เมื่อไรก็ตามที่เขาฟื้นคืนชีพ มนุษยชาติจะดับสลาย…!

คำทำนายนี้บ่งชี้ให้มนุษย์ทำลายเทพปีศาจ แต่สันดานเห็นแก่ตัวของมนุษย์…ไม่สิ ควรเรียกว่าเดรัจฉานผู้ไม่ใส่ใจความเป็นความตายของผู้อ่อนแอ หวังแต่จะรับพลังของเทพปีศาจเสียแทน

ทุกองค์กรที่ก่อตั้งขึ้นมาทุกวันนี้ นับได้ว่าวนเวียนอยู่รอบ ๆ เทพปีศาจนั่นแหละ

ยกตัวอย่างเช่น แท้จริงแล้วหอพิธีกรรมต้องห้ามถูกสร้างขึ้นเพื่อดักจับพลังของเทพปีศาจ

เมื่อหลายพันปีก่อน ไม่มีใครที่ไม่อยากได้สมบัติที่เป็นดั่งระเบิดเวลาซึ่งหลับไหลอยู่ในเมืองเขตล่างนี้ และมิคาเอลก็เป็นหนึ่งในนั้น

แต่มิคาเอลกลับได้หนังสือเล่มหนึ่ง อันมีชื่อว่าพระคัมภีร์ไบเบิล

หนังสือเล่มนี้บรรยายถึงสวนแห่งอีเดน ซึ่งไม่เคยอยู่ในจินตนาการของผู้ใด เป็นหนทางใหม่เอี่ยมสู่แดนนิมิต นายเหนือแห่งโลกนั้นถูกเรียกว่า ‘พระเจ้า’ ในหนังสือ เป็นพระเจ้าที่แท้จริงเพียงหนึ่งเดียวผู้นั่งลงร่วมสังสรรค์กับทูตสวรรค์สิบสามองค์ นี่เองคือที่มาของชื่อวิถีแห่งดาบอัคคี

และตอนนี้ พลังอันอยู่เหนือทุกความรู้ความเข้าใจที่หลินเจี๋ยแสดงออกมา ทำให้ร่างของเขาค่อย ๆ ซ้อนทับกับ ‘พระเจ้า’ ที่ว่านั่น

ความคิดของมิคาเอลดูจะกลับไปยังเมื่อพันปีก่อน จนกระทั่งสหายของเขาถองเข้าใส่

“มิคาเอล เราควรทำเช่นไร?” เสียงอันไร้การเปล่งขานของเมตาตรอนดังขึ้นในหู

มิคาเอลเรียกสติคืนมาจากความทรงจำ มองไปยังเจ้าของร้านหนังสือที่เดินช้า ๆ มาทางเขา ดูไม่รีบร้อนใด ๆ…

กาเบรียล ซานดัลฟอน เรซิเอล ราฟาเอล คามาเอล แคสสิเอล…สหายของข้าตายไปแล้วหกคน ไม่สิ เจ้า ‘อานาเอล’ ข้างหลังข้านี่ก็ด้วย มิคาเอลหันกลับมา และพบว่าเฟจยังคงยืนมองเขาด้วยรอยยิ้มอยู่เบื้องหลัง

ข้าควรจะรู้แต่แรกว่านี่คือตัวปลอม อานาเอลที่แท้จริงตายไปนานแล้ว!

มิคาเอลแตะตาขวาของเขาโดยเมินเฟจไป และหลังจากหลับตาซ้ายลง ตาขวาของเขาก็เริ่มเปล่งแสงสีเขียว…

‘เนตรหยั่งรู้’ คือทักษะที่มิคาเอลใช้เพื่อจับตามองสรรพสิ่ง ทั้งอดีตและปัจจุบัน หายนะและชะตา…กระทั่งสิ่งที่อยู่นอกโลกก็ไม่มีทางหนีพ้น เขาเรียกมันว่าอาวุธระดับเหนือนภา

ดวงตาคู่นี้แหละที่ทำให้เขารวบรวมสหายมาได้มากมาย

หลังหลับตาขวาของเขาลง มิคาเอลก็เล็งเป้าเนตรหยั่งรู้ไปที่หลินเจี๋ย คำรามว่า “ทุกสิ่งมีจุดจบ! หลินเจี๋ย! ให้ข้าเห็นความตายของเจ้าซะ!!”

หลินเจี๋ยมองมายังมิคาเอลซึ่งอยู่ไกลออกไปด้วยสีหน้าเฉยเมย การที่เขาปิดตาหนึ่งข้างและตะโกนสโลแกนทำให้เขานึกถึงนางเอกอนิเมะที่เขาเคยดูสมัยก่อนขึ้นมาจริง ๆ!

ยิ่งไปกว่านั้น เส้นผมสีบลอนด์ทองและตาสีฟ้าของมิคาเอลก็ให้ความรู้สึกเหมือนกระดาษ รสชาติคงไม่น่าอลังการอะไรนัก

มิคาเอลย่อมไม่รู้ว่าหลินเจี๋ยกำลังบ่นถึงเขา แต่ทันทีที่เห็นหลินเจี๋ย มิคาเอลก็ชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นมุมปากก็ค่อย ๆ ยกขึ้น…

“…ข้าเห็นมันแล้ว” มุมปากของเขายกยิ้มขึ้นเรื่อย ๆ น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ…ไม่คิดเลยว่าเขาจะได้เห็นมันจริง ๆ

“เจ้ามิใช่พระเจ้าหนึ่งเดียวอันแท้จริงเลย ก็แค่หุ่นเชิดของเทพปีศาจเท่านั้น ร่างนี้เป็นเพียงภาชนะ เป็นแค่คนธรรมดา ข้าเห็นการตายของเจ้าชัดเจนนัก!!”

หลินเจี๋ยเอียงคอมองมิคาเอลซึ่งเกือบสติแตกด้วยความงุนงงเล็กน้อย

มิคาเอลสะบัดแขนเสื้อขาวของเขาแล้วออกคำสั่งกับแซดคิเอล “แปรเปลี่ยนเขตแดนแห่งความว่างเปล่านี้ ให้ร่างกายของข้าแตกสลาย!”

แซดคิเอลไม่ได้ตอบสนอง เขาหอบหายใจหนัก เห็นได้ชัดว่าถูกหลินเจี๋ยทำให้ตกใจกลัว แขนของเขายืดออกทันที “ข้าขอออกคำสั่งในนามของเจ้าแห่งความว่างเปล่า ให้ความว่างเปล่ากลืนกินทุกสรรพสิ่ง”

ทันทีที่สิ้นเสียงของแซดคิเอล ความว่างเปล่าก็แปรเปลี่ยนเป็นอากาศพิษอันมีคุณสมบัติกัดกร่อนรุนแรง

โจเซฟผู้ยืนอยู่หน้าซากร้านหนังสือกับฟรังก้าเปลี่ยนเป็นเพลิงแผดเผาทันที เปลวไฟสยายออกเผาพิษร้ายทั้งหมดไปพร้อม ๆ กับปกป้องฟรังก้า

หลินเจี๋ยมองไปรอบ ๆ พบหมอกแห่งความเน่าสลายกระจายอยู่ทั่วทุกที่…

“เฮ้อ” เขาสูดหายใจเฮือก เผลอยกมือขึ้น และพบว่าทั้งมือของเขาเริ่มเน่าสลาย

หมอกนี้ไม่ได้มีความสามารถเหนือธรรมชาติที่แข็งแกร่ง เห็นได้จากการที่โจเซฟหลบพ้นจากมันได้อย่างง่ายดาย แต่สำหรับคนธรรมดา เขาไม่สามารถทำอะไรกับมันได้เลย…

“เป็นไปตามที่ข้าเห็น ร่างของเจ้าเป็นเพียงคนธรรมดาเท่านั้น!!” มิคาเอลหลับตาซ้ายแน่น ใช้ตาขวาจ้องมองหลินเจี๋ย

หลินเจี๋ยมองเจ้าคนบ้าตรงหน้าอย่างจนใจเล็กน้อย และขณะที่ครุ่นคิด มือที่เน่าเฟะของเขาก็เริ่มขยายวงกัดกร่อนอีกครั้ง

ส่วนอื่น ๆ ที่เน่าสลายก็เริ่มขยายวงอย่างต่อเนื่อง หลินเจี๋ยก้มลงมองร่างของเขา และจู่ ๆ เสียงของมิคาเอลก็ดังขึ้นในหู…

“เรียบร้อย! ตายซะ!” มิคาเอลเบิกตาซ้ายที่หลับอยู่ให้เปิดโพลง และเมื่อเห็นหลินเจี๋ย ตาซ้ายข้างนั้นก็เรืองแสงแดงฉาน

“ที่ใดที่มีแสง ที่นั่นไร้เงา! สิ่งที่ข้าเห็นมิอาจหนีจากชะตามรณะได้” มิคาเอลกล่าวอย่างบ้าคลั่ง “ยามนี้ ร่างมนุษย์นั่นจะเปลี่ยนเป็นเถ้าธุลี!”

หลินเจี๋ยเลิกคิ้ว มองร่างของเขาซึ่งแตกร้าวราวกับสร้างจากแก้วอย่างตกตะลึง

“สำเร็จ!” มิคาเอลตื่นเต้นเสียจนแทบกระโดด “เทพปีศาจซึ่งเพิ่งลืมตาตื่น ไม่สิ เขาน่าจะเพิ่งได้รับพลังของเทพปีศาจมากกว่า เจ้าผู้เป็นเพียงปุถุชนมีร่างกายที่ปกติธรรมดาจริงแท้…”

“ในฐานะภาชนะ ภารกิจของเจ้าควรจบลงได้แล้ว” มิคาเอลกล่าวยิ้ม ๆ ในขณะที่วินาทีต่อมา ร่างของหลินเจี๋ยก็สลายเป็นธุลีอย่างไร้การควบคุม เหลือไว้เพียงเงาซึ่งยังอยู่ที่เดิม

“เงานี่แหละคือเทพปีศาจตัวจริง!” มิคาเอลกล่าว จากนั้นก็หันไปมองโจเซฟ หรือพูดให้ถูกก็คือ ฟรังก้าซึ่งอยู่ข้างหลังโจเซฟ

เด็กสาวผู้นี้น่าจะเป็นเพียงคนธรรมดา แต่นางกลับให้บรรยากาศของกฎเกณฑ์พิเศษ บางทีภาชนะต่อไปของเทพปีศาจคงเป็นนาง ดังนั้นจึงควรกำจัดทันที

ความหวังปะทุขึ้นใหม่ในแววตาของเหล่าทูตสวรรค์ผู้เหลือรอด

“อย่าดีใจนักเลย สังหารนางก่อน” มิคาเอลทุ่มเทพลังไปในดวงตาซ้ายของเขาพลางมองฟรังก้าซึ่งยังคงหลับตาปี๋อย่างเชื่อฟัง

“บางที ผมก็หวังนะว่าตัวเองจะเป็นแค่ภาชนะจริง ๆ”

“หือ?” เสียงอันคุ้นเคยซึ่งจู่ ๆ ก็ดังขึ้นทำให้มิคาเอลชะงักกึก

หมอกสีดำล่องลอยสูบฉีดตัวเองกลับเข้าไปในร่างของหลินเจี๋ยซึ่งเปลี่ยนเป็นธุลี รอยยิ้มของมิคาเอลหยุดลงทันที…

“เป็นไปได้เช่นไร ร่างนี้มัน…” แซดคิเอลซึ่งยืนอยู่ข้าง ๆ เขามีสีหน้าจังงังไม่อยากเชื่อ ดูไม่เหมือนราชาแห่งความว่างเปล่าเลยแม้แต่น้อย

“สายเลือดมังกรบรรพกาล!” ม่านตาของมิคาเอลหดตัวมองเส้นเลือดที่แผดเผาอยู่ในธุลีร่างหลินเจี๋ย

สายเลือดมังกรบรรพกาลที่หลงเหลือในกองเถ้าเริ่มหล่อหลอมรูปร่างของเขาขึ้นใหม่ ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นร่างมังกรเฒ่าผู้โรยราประหนึ่งพฤกษาโบราณตัวมหึมา

“มองภาพรวมแล้ว ผมทั้งใช่และไม่ใช่เทพเจ้า เพราะผมไม่สามารถทั้งเติมเต็มความปรารถนาหรือฟังคำภาวนาของใคร…” เสียงของหลินเจี๋ยดังออกมาจากร่างของมังกรเฒ่าอย่างเลือนลาง “แต่พวกคุณจะมองว่าผมเป็นเทพก็ได้ เพราะถึงอย่างไร มันก็เป็นความคิดของพวกคุณ ผมไม่มีสิทธิ์เข้าแทรกแซง”

“แต่ก็เถอะ” หลินเจี๋ยมองกองธุลีบนพื้น “ผมออกจะชอบร่างมนุษย์ธรรมดาที่ผมใช้มานานกว่ายี่สิบปีนี่นะ!”