บทที่ 329 สมรสพระราชทาน (2)
ข่าวคราวลือไปจนถึงจวนติ้งอันโหวโดยไม่ถึงวัน ทางจวนติ้งอันโหวนั้น ท่านโหวได้รับคำสั่งคุมการสร้างคฤหาสน์ของจวงไทเฮา ในที่สุดก็ได้รับการพักผ่อนของตัวเองเป็นครั้งแรก
หมู่นี้เขาเฝ้าอยู่แต่สถานที่ก่อสร้างตลอด คุมการก่อสร้างทั้งวันทั้งคืน ตากแดดจนหนังลอกไปชั้นหนึ่งแล้ว ซ้ำยังเหน็ดเหนื่อยจนร่างกายผ่ายผอมลงมาก
เขากลับไปที่จวนก่อน กะว่าจะไปคารวะท่านเหล่าโหวกับเหล่าฮูหยินกู้จากนั้นค่อยไปหาแม่นางเหยาและลูกชายที่ตรอกปี้สุ่ย สุดท้ายได้ยินว่าเหล่าฮูหยินกู้บอกว่าเรื่องการแต่งงานของกู้จิ่นอวี๋ถูกกำหนดมาแล้ว อีกฝ่ายคืออันจวิ้นอ๋อง
ท่านเหล่าโหวไม่อยู่ที่จวน เหล่าฮูหยินกู้เป็นคนบอกเขา
ปฏิกิริยาแรกของท่านโหวกู้คือตกใจ อย่างไรเสียไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของฐานันดรหรือว่าจุดยืนฝักฝ่าย ทั้งสองตระกูลก็ไม่เหมาะสมกันอย่างยิ่งทั้งสิ้น
ปฏิกิริยาที่สองกลับเป็นความยินดี เพราะไม่ว่าจะเป็นหน้าตาหรือนิสัยและวงศ์ตระกูล ทั่วทั้งเมืองหลวงก็หาคนที่ยอดเยี่ยมกว่าอันจวิ้นอ๋องไม่ได้เท่าใดแล้ว
หากลูกสาวได้แต่งเป็นภรรยาเขาจริงๆ เช่นนั้นก็เป็นการแต่งงานที่ไร้ที่ติทีเดียว
ส่วนการต่อสู้ระหว่างฝักฝ่าย เรื่องในอนาคตไม่มีใครรู้ได้ บางทีอันจวิ้นอ๋องรับสืบทอดตระกูลจวงแล้วอาจจะยินดีเห็นแก่ลูกสาวยอมพ่ายแพ้ให้ก็ได้
จิ่นอวี๋ของเขาเป็นกุลสตรีทั้งยังอ่อนโยน เกรงว่าแผ่นดินนี้จะไม่มีบุรุษคนใดทำร้ายนางได้ลงคอ
ท่านโหวกู้รีบไปเรือนกู้จิ่นอวี๋ทันที
“ท่านพ่อ ท่านผอมลงนะเจ้าคะ” กู้จิ่นอวี๋เอ่ยอย่างสงสาร “คุมการสร้างคฤหาสน์ลำบากมากเลยใช่หรือไม่”
ท่านโหวกู้นวดไหล่ที่เมื่อยขบ ก่อนถอนใจเอ่ย “ลำบากนิดหน่อย แต่ทำสำเร็จได้ก็เป็นคุณูปการ”
กู้จิ่นอวี๋ถามอย่างสนใจใคร่รู้ “ไทเฮาสร้างคฤหาสน์ให้ใครหรือ จึงได้ระดมกำลังมากมายเช่นนี้ คนครึ่งกรมโยธาต่างถูกเรียกไปกันหมด”
ท่านโหวกู้ครุ่นคิดก่อนเอ่ย “ได้ยินว่าสร้างให้คุณหนูรองตระกูลจวง สวนด้านในงดงามนัก ทิวทัศน์ก็วิจิตร ข้าอยู่เมืองหลวงมาหลายปีเพียงนี้ ยังไม่เคยเห็นฮวงจุ้ยยอดเยี่ยมเช่นนี้มาก่อนเลย ไม่รู้เพราะเหตุใดต้องสร้างเรือนเลียนแบบผังบ้านของเรือนที่ตรอกปี้สุ่ยด้วย…”
“ตรอกปี้สุ่ยอย่างนั้นรึ” กู้จิ่นอวี๋ฉงน
ท่านโหวกู้โบกมือปัด ก่อนจะยิ้มเอ่ย “เอาละ ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว เมื่อครู่ข้าได้ยินทางท่านย่าเจ้าบอกว่าฝ่าบาทออกสมรสพระราชทานให้เจ้ากับอันจวิ้นอ๋อง อีกเดี๋ยวเจ้าแต่งเข้าตระกูลจวงแล้วก็จะมีโอกาสไปเดินเล่นที่คฤหาสน์หลังนั้นแล้วล่ะ จะว่าไปแล้ว…คฤหาสน์หลังนั้นคงไม่ใช่จวนจวิ้นอ๋องที่สร้างให้อันจวิ้นอ๋องหรอกกระมัง หลังจากเขาแต่งงานแล้วจะได้แยกเรือนย้ายออกไปสะดวก หากเป็นเช่นนี้จริง เช่นนั้นจิ่นอวี๋ก็ช่างโชคดีเหลือล้นแล้วล่ะ!”
กู้จิ่นอวี๋หน้าแดงระเรื่อ “เรื่องนี้…ยังปักใจเชื่อไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ”
ท่านโหวกู้แย้มยิ้มแจ่มใสเอ่ย “ก็จริง เพิ่งพระราชทานสมรสมาให้ ยังต้องจัดพิธีรีตองยิ่งใหญ่ จะรีบร้อนไม่ได้” ท่านโหวกู้หัวเราะ ก่อนเอ่ยด้วยความปลื้มใจเต็มอก “ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร พ่อก็ขอยินดีกับเจ้าก่อนที่ได้สามีสมปรารถนา”
“ล้วนเป็นเพราะท่านปู่ทั้งสิ้น” กู้จิ่นอวี๋หลบตาลง พลางเอ่ยอย่างเขินอาย
ท่านโหวกู้นึกว่าบิดาตนถูกใจหลานเขยอย่างอันจวิ้นอ๋อง จึงไม่ได้คิดอะไรมาก เขากุมมือกู้จิ่นอวี๋ไว้ แล้วเอ่ยด้วยความดีใจอย่างปิดไม่มิด “ข้าจะไปตรอกปี้สุ่ยเสียหน่อย เอาข่าวน่ายินดีนี้ไปบอกแม่เจ้ากับน้องเจ้า ให้พวกเขาดีใจกับเจ้าด้วย!”
กู้จิ่นอวี๋ยิ้มจางพลางพยักหน้า “เจ้าค่ะ”
ท่านโหวกู้ไปยังตรอกปี้สุ่ย
ระหว่างทางเขาสีหน้าเบิกบานแจ่มใจยิ่ง
แต่นี้ต่อไปเขาก็จะเป็นพ่อตาของจวิ้นอ๋องแล้ว!
คิดๆ ดูแล้วล้วนมีเกียรติยิ่งนัก!
จิ่นอวี๋ช่างสร้างหน้าสร้างตาให้เขาเสียจริง ไม่เหมือนเด็กหน้าเหม็นนั่น แต่งให้กับไอ้เป๋บ้านนอก ให้นางหย่านางก็ไม่ยอม
ยามนี้แม้ว่าจะทำบุญมาดีสอบได้จอหงวน แต่ก็ยังต่างกับอันจวิ้นอ๋องราวฟ้ากับเหวอยู่ดี
เขามาถึงตรอกปี้สุ่ย กู้เจียวกำลังทำชิงช้าใหม่ที่ลานหน้าบ้านกับกู้เหยี่ยนอยู่ เดิมทีจะทำชิงช้าให้เสี่ยวจิ้งคง แต่เมื่อครู่ถูกกู้เหยี่ยนเล่นจนพังเสียแล้ว
กู้เหยี่ยนรีบเรียกพี่สาวให้มาช่วยเหลือ มิฉะนั้นอีกเดี๋ยวเณรน้อยกลับมาคงได้ร้องไห้ยกใหญ่แน่
สองพี่น้องรู้ใจกันไม่น้อย เป็นภาพที่อบอุ่นทีเดียว
ท่านโหวกู้ชื่นชมดื่มด่ำกับภาพตรงหน้าครู่หนึ่ง ก่อนจะสาวเท้าราวกับดาวตกไปหา “เหยี่ยนเอ๋อร์ พ่อมาแล้ว!” สายตาตกลงบนร่างกู้เจียว ก่อนเอ่ยเรียกอย่างไม่เต็มใจยิ่ง “เจียวเจียว”
สองพี่น้องมองเขาแวบหนึ่ง ก่อนจะก้มหน้าก้มตาซ่อมชิงช้าต่อ
เอ่อ…
ท่านโหวกู้มองตัวเอง แล้วก็มองเท้า เขาเข้ามาแล้วนี่ ไม่ผิดแน่
วันนี้เขาอารมณ์ดีจึงไม่ถือสาเด็กสองคน
เขาเดินไปหาด้วยหน้าตาแจ่มใส ก่อนลูบศีรษะของกู้เหยี่ยน “สูงขึ้นแล้ว”
“อย่ามาลูบข้า” กู้เหยี่ยนขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางปัดมือเขาออก
ท่านโหวกู้กลับไม่ได้ถือสา แย้มยิ้มเอ่ย “ข้ามาหาพวกเจ้าเชียวนะ ถือโอกาสเอาข่าวดีมาบอกพวกเจ้าด้วย จิ่นอวี๋นางจะออกเรือนแล้ว เหยี่ยนเอ๋อร์ใกล้จะมีพี่เขยคนรองแล้วนะ พี่เขยคนนั้นเป็นแค่บัณฑิตชนบทเทียบไม่ติดเลยล่ะ”
กู้เหยี่ยนเอ่ยเสียงเย็นชา “ข้ามีพี่เขยแค่คนเดียว!”
“เจ้าไม่รู้น่ะสิว่าพี่เขยคนรองของเจ้าคือใครจึงได้พูดเช่นนี้ พอข้าบอกตัวตนเขาแล้ว เจ้าได้แทบอยากให้เขามาเป็นพี่เขยเจ้าจนทนไม่ไหวแน่” ท่านโหวกู้เอ่ยมาถึงตรงนี้ก็หยุดเว้น แล้วสูดหายใจลึก ก่อนเอ่ยอย่างภูมิใจ “เขาก็คือ…อัน จวิ้น อ๋อง!”
เป็นอย่างไรเล่า
คาดไม่ถึงละสิ ตกใจละสิ
ท่านโหวกู้เชิดหน้าหัวเราะร่า ก่อนหันไปมองฝาแฝดสองพี่น้อง แต่ผลลัพธ์คือสองคนนั้นเดินไปไกลกันแล้ว คนหนึ่งไปห้องตะวันออก อีกคนเข้าห้องโถงไป
ท่านโหวกู้ราวกับเป็นอากาศธาตุ “…”
…
จวงไทเฮาเจ็บคอ กู้เจียวจึงไปเยี่ยมนางที่วังในช่วงบ่ายอีกหน
เมื่อผ่านสวนหลวงกู้เจียวก็พบกับฮ่องเต้ที่มาจากตำหนักหวาชิงโดยบังเอิญ
ฮ่องเต้เห็นนางเข้าดวงตาก็พลันเป็นประกาย เมื่อวานทะเลาะกันไป แต่ในใจพระองค์รู้สึกว่าวันนี้ก็น่าจะดีกันได้แล้ว ไหนเลยจะรู้ว่ากู้เจียวหันหน้าหนี ฝีเท้าเบี่ยงทิศ ใบหน้าน้อยๆ เชิดไปทางเส้นทางเล็กๆ อย่างเย็นชา
ฮ่องเต้ “…”
จิ้งไท่เฟยที่มีเว่ยกงกงประคองออกมาเดินเล่นอยู่ไม่ไกลเห็นฉากนี้เข้าจึงถามเสียงเบา “เมื่อครู่นี้ไม่ใช่แม่นางกู้รึ”
“อ่า ใช่พ่ะย่ะค่ะ” เว่ยกงกงพยักหน้า
เว่ยกงกงความแตกต่อหน้ากู้เจียวก็เพราะตอนไปเยี่ยมจิ้งไท่เฟย กู้เจียวก็อยู่
เขาเป็นกงกงจึงปิดบังไม่อยู่ ตัวตนของฮ่องเต้ก็เปิดโปงด้วยเช่นกัน
สรุปคือจิ้งไท่เฟยเคยเจอกู้เจียวมาก่อน นางจำอีกฝ่ายได้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
คิดมาถึงตรงนี้ จิ้งไท่เฟยก็ครุ่นคิดก่อนเอ่ย “เมื่อคืนหมอที่เข้าวังมารักษาข้าคงเป็นแม่นางกู้กระมัง”
“อ่า…ใช่พ่ะย่ะค่ะ” เว่ยกงวกงยิ้มแหยพลางพยักหน้า
จิ้งไท่เฟยหลบตาลง ขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนหัวเราะน้อยๆ “ฝ่าบาทเอ็นดูแม่นางกู้เสียจริง”
เว่ยกงกงแย้มยิ้ม “แม่นางกู้ฝีมือการแพทย์สูงส่ง ซ้ำยังฉลาดเฉลียว ฝ่าบาทจึงให้ความสำคัญต่อนาง”
เขาใช้คำว่าให้ความสำคัญ ความนัยของคำนี้ก็คือปัดความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงออกไปจนหมดสิ้น
ยามนี้ฮ่องเต้เหมือนไก่ชนที่พ่ายแพ้คอตกทดท้อเดินมาหา เห็นจิ้งไท่เฟยจึงได้ปรับสีหน้าให้ดี แล้วเอ่ยเสียงเรียบ “ข้าจะไปนั่งเป็นเพื่อนเสด็จแม่ในศาลาสักพัก”
สองคนแม่ลูกมานั่งกันในศาลารับลม เว่ยกงกงยกขนมกับน้ำชามาให้
จิ้งไท่เฟยมองฮ่องเต้ที่ขมวดคิ้วมุ่น ก่อนเอ่ยอย่างขบขัน “คราล่าสุดที่เห็นฝ่าบาท ‘ปิดประตูไม่รับแขก’ ก็เป็นตอนที่หนิงอันยังอยู่ในวัง ข้าจำได้ว่าหนิงอันลำบากลำบนคัดอักษรอยู่ตลอดบ่าย ถือเอาไปอวดฝ่าบาทกลับถูกฝ่าบาทเหน็บให้ว่าดูไม่ได้ หนิงอันจึงวิ่งมาหาข้า งอนฝ่าบาทอยู่ตั้งหลายวัน”
นั่นเป็นเรื่องเมื่อตอนที่ฮ่องเต้ขึ้นครองราชย์ใหม่ๆ
จิ้งไท่เฟยย้ายไปที่สำนักชีแล้ว
องค์หญิงหนิงอันยังคงพักอยู่ในวังหลังอยู่
คนที่ทำให้ฮ่องเต้หน้าตาบูดบึ้งเช่นนี้ได้มีอยู่ไม่กี่คนหรอก
จิ้งไท่เฟยชี้ที่ใบหน้าซีกซ้ายของตัวเอง “ฝ่าบาทยังจำได้หรือไม่ว่าตอนหนิงอันเด็กๆ ช่างซุกซนนัก ปีนขึ้นต้นไม้ไปเด็ดลูกท้อ สุดท้ายตกลงมา หน้าซีกซ้ายจึงเป็นแผล ทิ้งรอยแผลเล็กๆ เอาไว้ พอโตมาแผลเป็นก็จางลงไปมากแล้ว แต่สตรีมักจะรักสวยรักงาม นางจึงมักจะติดฮวาเตี้ยนไว้ สีแดงสดๆ ราวกับดอกไห่ถัง ปานบนหน้าซีกซ้ายของแม่นางกู้กลับคล้ายฮวาเตี้ยนของหนิงอันไม่น้อย ทุกคราที่เห็นนาง ข้าก็จะคิดถึงหนิงอัน”
ฮ่องเต้ชะงัก
อันที่จริงตอนที่ฮ่องเต้เห็นกู้เจียวไม่เคยนึกถึงหนิงอันเลย แต่ถูกจิ้งไท่เฟยย้อนความทรงจำเช่นนี้ พระองค์ก็รู้สึกว่าทั้งสองคนมีจุดที่คล้ายกันอยู่จริงๆ
หรือว่าพระองค์ชอบหมอเทวดาน้อยเพราะพระองค์เห็นหมอเทวดาน้อยเป็นตัวแทนของหนิงอันอย่างนั้นรึ