บทที่ 330 ลูกดิ้น (1)

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 330 ลูกดิ้น (1)

กู้เจียวใช้ใบหน้าเป็นบัตรผ่านแทนป้ายผ่านประตูเข้าตำหนักเหรินโซ่วเสียด้วยซ้ำ ยอดฝีมือของตำหนักเหรินโซ่วและข้าหลวงในตำหนักล้วนแต่รู้จักนาง รู้ว่านางคือแก้วตาดวงใจของจวงไทเฮา ไม่มีใครกล้าขัดขวางนาง

ต่อให้จวงไทเฮาจะรับสั่งแล้วว่าบ่ายนี้จะไม่พบผู้ใดทั้งสิ้น

ทว่าจวงกุ้ยเฟยไม่ใช่โชคดีเหมือนนาง

นางเพิ่งมาถึงหน้าประตูตำหนักเหรินโซ่วก็ถูกยอดฝีมือที่เฝ้าเวรอยู่ขวางไว้

จวงกุ้ยเฟย “เจ้าช่วยกราบทูลได้หรือไม่ ข้ามีธุระด่วนต้องการเข้าเฝ้าไทเฮา”

ยอดฝีมือของวังหลวง “ขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ ไทเฮามีรับสั่ง ไม่พบผู้ใดทั้งสิ้น”

จวงกุ้ยเฟยคิ้วขมวด “แต่เมื่อครู่ข้าเห็นว่ามีคนเข้าไป”

“นั่นคือแม่นางกู้ นางเข้าไปตรวจอาการป่วยของไทเฮาพ่ะค่ะย่ะ” ยอดฝีมือรู้งาน ไม่สร้างศัตรูให้กู้เจียว

พอได้ยินว่ารักษา จวงกุ้ยเฟยจึงปล่อยผ่าน ทว่าไม่ทันไร นางก็ถามขึ้นมาด้วยความเป็นห่วง “ไทเฮาไม่สบายอย่างนั้นหรือ”

ยอดฝีมือตอบ “เมื่อวานไทเฮาไม่สบายเล็กน้อย จึงเชิญแม่นางกู้มาที่ตำหนักเพื่อตรวจอาการ วันนี้แม่นางกู้มาเพื่อรักษาต่อเนื่องพ่ะย่ะค่ะ”

จวงกุ้ยเฟยครุ่นคิดอยู่นานสองนาน “เช่นนั้นข้ายิ่งต้องเข้าไปเยี่ยมไทเฮาให้ได้”

“คือว่า…”

จวงกุ้ยเฟยเอ่ย “ข้าก็ไม่อยากทำให้เจ้าต้องลำบาก ไทเฮารับสั่งไม่ให้พวกเจ้าเข้าไปรบกวน แต่แม่นางกู้คงไม่พูดเช่นนั้น เจ้าไปเชิญแม่นางกู้มาทีสิ”

“พ่ะย่ะค่ะ” ยอดฝีมือของวังหลวงหันไปมองนางกำนัลสาวที่อยู่อีกฝั่ง

นางกำนัลรู้งาน เดินตัวปลิวจนตามทันกู้เจียว

กู้เจียวกำลังพูดคุยอยู่กับฉินกงกงที่สวนดอกไม้หน้าตำหนัก

นางกำนัลเอ่ย “แม่นางกู้ ฉินกงกง จวงกุ้ยเฟยเสด็จเจ้าค่ะ นางอยากจะพบกับแม่นางกู้”

ฉินกงกงเป็นคนฉลาด จวงกุ้ยเฟยไม่ได้สนิทสนมกับกู้เจียว ที่นางอยากพบกู้เจียวเพราะหวังว่าจะนางช่วยส่งสารของตนถึงไทเฮา “…ไทเฮากำลังตรวจบัญชี พวกข้าไม่กล้ารบกวน”

“อืม เช่นนั้นข้ารอก่อนก็ได้” กู้เจียวไม่ได้ใช้อภิสิทธิ์ใด

“ขอรับ” ฉินกงกงยิ้ม พลางพากู้เจียวไปยังตำหนักบรรทมของจวงไทเฮา

ว่ากันตามตรงแล้ว ด้วยความเอ็นดูของไทเฮาที่มีต่อแม่นางกู้ ไม่มีทางเลยที่จะถือสาหากนางมารบกวน มิหนำซ้ำยังเฝ้ารอวันแล้ววันเล่าว่าจะลอบออกไปหาความสุขเล็กๆ น้อยๆ ระหว่างทำงานได้อย่างไร

แต่แม่นางกู้ไม่เคยอวดตัวใช้อำนาจ นางเองก็มีหน้าที่รับผิดชอบและขอบเขตของตัวเอง

นางดีกับไทเฮา ไม่ใช่เพราะได้รับความรักความเอ็นดูจากไทเฮา แต่เพราะหวังจากใจจริงว่าไทเฮาจะได้ชีวิตอย่างมีความสุข

ฉินกงกงกลับมาหาจวงกุ้ยเฟยที่หน้าประตูตำหนักเหรินโซ่ว ก่อนจะเอ่ยเสียงนอบน้อม “แม่นางกู้เองก็กำลังรอไทเฮาอนุญาตให้เข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”

ในเมื่อพูดถึงขนาดนี้ จวงกุ้ยเฟยเองก็ไม่กล้าจะเรียกร้องอันใดอีก

โชคดีที่วันนี้บัญชีมีไม่มาก จวงไทเฮาตรวจดูอยู่ไม่นานก็ออกมาจากห้องหนังสือ

ฉินกงกงรายงาน “ทูลไทเฮา แม่นางกู้และจวงกุ้ยเฟยมาหาพ่ะย่ะค่ะ”

จวงไทเฮาส่งเสียงขานรับ “ให้นางเข้ามาได้”

คำพูดนั้นหมายถึงจวงกุ้ยเฟย

กฎที่นางตั้งขึ้นมาเอง นางย่อมรู้ดี เจียวเจียวเข้ามาได้อยู่แล้ว แต่คนอื่นห้ามเข้า

“พ่ะย่ะค่ะ” ฉินกงกงเดินนำจวงกุ้ยเฟยเข้ามาในห้องบรรทมของไทเฮา

กู้เจียวเพิ่งจะตรวจติดตามอาการให้ไทเฮาเสร็จ อาการระคายคอของนางฟื้นตัวแล้วไม่น้อย แต่เป็นเพราะอากาศร้อน นางจึงเหมือนมีอาการไข้แดด กู้เจียวจึงรักษาด้วยการกวาซาที่หลังมือให้แก่นาง โดยใช้ขิงแผ่นและน้ำมันหอมรีดไปตามผิวหนังเพื่อขับธาตุไฟและกระตุ้นเลือดลม

จวงกุ้ยเฟยถวายบังคมอย่างเคารพนบนอบ “ถวายบังคมไทเฮาเพคะ”

“ว่ามาสิ มีเรื่องอันใดรึ” จวงไทเฮาถามเสียงแผ่วเบา เพราะว่าเจ็บคอ ยามใช้เสียงจึงยังเจ็บปวดอยู่ไม่น้อย

ฉินกงกงพาเหล่านางกำนัลออกมาตั้งแต่ก่อนหน้าแล้ว ภายในห้องบรรทมอันโอ่โถงจึงเหลือพวกนางเพียงแค่สามคน

จวงกุ้ยเฟยเหลือบมองกู้เจียวที่กำลังทำกวาซาให้กับจวงไทเฮา รับรู้ได้ว่าจวงไทเฮาไม่ได้บังคับขู่เข็ญกู้เจียว นางหลับตาลงก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่วเบา “ไทเฮา เรื่องการแต่งงานของเหิงร์ ท่านจะไม่จัดการจริงๆ หรือเพคะ เหตุใดเหิงร์ต้องไปแต่งงานกับคนอย่าง…”

นางมองไปที่กู้เจียว ไตร่ตรองหาถ้อยคำ ตัดทอนคำที่พูดที่ไม่เป็นมิตรออกไป ก่อนจะเอ่ยออกไปตามตรงว่า “กู้จิ่นอวี๋น่ะหรือเพคะ นางเป็นเพียงแค่ลูกเลี้ยงของจวนติ้งอันโหว ชนชั้นต้อยต่ำ ซ้ำยังประพฤติด่างพร้อย หากแต่งงานกับนางเกรงว่าเหิงร์จะกลายเป็นเรื่องสนุกปากของชาวเมืองหลวง”

จวงไทเฮามองนางด้วยสีหน้านิ่งเรียบ ราวกับส่งสัญญาณให้นางพูดต่อ

สายตาของจวงกุ้ยเฟยกวาดมองกู้เจียวหัวจรดเท้าอีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ยิ่งไปกว่านั้นกู้จิ่นอวี๋ยังเคยขโมยผลงานของแม่นางกู้อีก หากยังยกย่องอุ้มชูนางเช่นนั้น ย่อมไม่ยุติธรรมต่อแม่นางกู้สิเพคะ”

จวงไทเฮาเอ่ยเสียงขรึม “กล่าวหาผู้อื่นให้มันน้อยหน่อย”

จวงกุ้ยเฟยอยากจะพูดแต่พูดไม่ออก “…เพคะ”

กู้เจียวยังคงกวาซาต่อไป ไม่มีความคิดที่จะร่วมบทสนทนาของทั้งสองคน

ส่วนจวงไทเฮานั้น พอได้ฟังเรื่องร้องทุกข์ของจวงกุ้ยเฟยแล้วกลับไม่ได้แสดงท่าทีอันใด

จวงกุ้ยเฟยจึงร้อนใจขึ้นมาอย่างอดไม่ได้

สถานการณ์ต่างจากที่นางคาดการณ์ไว้ลิบลับ ไทเฮานั้นใจดำอมหิตเป็นเรื่องที่รู้อยู่แล้ว แต่นางนั้นเอ็นดูจวงอวี้เหิงยิ่งกว่าใคร แม้แต่ตอนที่ส่งจวงอวี้เหิงไปเป็นเชลยที่แคว้นเฉินนางยังค้านหัวชนฝา

ยามนี้จวงอวี้เหิงถูกฮ่องเต้กลั่นแกล้งปานนั้น แต่เหตุใดนางกลับไม่ทุกข์ไม่ร้อนแม้แต่นิด

จวงกุ้ยเฟยถามต่อ “ไทเฮเพคะ ภรรยาของเหิงร์ต้องเป็นคนที่ฐานะทัดเทียมกัน เป็นประโยชน์ต่อเขา แต่กู้จิ่นอวี๋ผู้นั้นมีอันใดหรือเพคะ นางไม่ใช่แม้แต่เลือดเนื้อเชื้อไขของติ้งอันโหว! แล้ววันหน้าจวนติ้งอันโหวจะเหลียวแลนางอีกหรือ มากไปกว่านั้น หม่อมฉันยังสงสัยว่าฝ่าบาทกำลังส่งสายลับเข้ามาในตระกูลจวงเสียมากกว่า!”

จวนติ้งอันโหวคือมือขวาของฮ่องเต้ก็ว่าได้ ฝ่าบาทส่งกู้จิ่นอวี๋แต่งงานเข้าตระกูลจวง ประการแรกเพื่อยับยั้งแผนการเกี่ยวดองเพื่อสร้างอำนาจของตระกูลจวงและตระกูลสูงศักดิ์อื่น ประการที่สองนั้นก็เพื่อจับตามองอันจวิ้นอ๋องและคนตระกูลจวงทุกฝีก้าว

จวงกุ้ยเฟยคิดว่าฮ่องเต้กำลังวางแผนการเช่นนั้น

อันที่จริงฮ่องเต้มิได้คิดวางแผนเช่นนั้นเลยแม้แต่นิด แต่ก็เหมือนที่ฮ่องเต้ไม่เคยเชื่อใจไทเฮา จวงกุ้ยเฟยเองก็ไม่เคยไว้ใจฮ่องเต้เช่นกัน

ตระกูลจวงจะยอมเสียแผนไม่ได้เด็ดขาด แล้วก็จะไม่มีทางพลาดโอกาสดองเป็นแผ่นเดียวกันกับตระกูลผู้มีอำนาจ

ยิ่งอันจวิ้นอ๋องมีอำนาจมากเท่าไหร่ หนิงอ๋องลูกชายของนายก็พลอยมีอิทธิพลมากขึ้นตามไปด้วย

“ท่านอาหญิง…” จวงกุ้ยเฟยเห็นว่าพูดกันด้วยเหตุผลไม่ได้ จึงเปิดไพ่ครอบครัวแทน

จวงไทเฮาหลับตาลงเพื่อสงบสติอารมณ์

จวงกุ้ยเฟยเห็นเช่นนั้นก็ยิ่งร้อนใจเข้าไปใหญ่ นางถึงฉวยโอกาสนี้โยนภาระให้แก่กู้เจียว “แม่นางกู้ เจ้าเห็นว่าอย่างไร”

นางรู้ว่ากู้เจียวกับกู้จิ่นอวี๋นั้นไม่ลงรอยกัน นางเชื่อว่ากู้เจียวไม่มีทางแก้ต่างให้กู้จิ่นอวี๋เป็นแน่ แล้วก็ไม่สนใจด้วยว่าตระกูลจวงกับจวนติ้งอันโหวนั้นกำลังทะเลาะกัน

กู้เจียวคือคนของไทเฮา

กู้เจียวกวาซาให้หญิงชราต่อไป ก่อนจะชะงักไปคู่หนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น “นี่เป็นเรื่องการแต่งงานของอันจวิ้นอ๋อง ควรเป็นตัวเองเขาไม่ใช่หรือที่เป็นผู้ตัดสินใจ ฮ่องเต้พระราชทานสมรสก็จริง พวกท่านถามหรือยังว่าเขารับหรือไม่ ที่กุ้ยเฟยมาพูดนั้นคือความต้องการของเขาหรือ”

จวงกุ้ยเฟยถูกตอกกลับด้วยคำถาม

นางโต้กลับไม่ได้จึงถอยเสียดีกว่า

กู้เจียวกวาซาให้จวงไทเฮาเสร็จแล้วก็ออกไปปรุงดินปืนของตัวเองต่อ

พื้นที่ในตรอกปี้สุ่ยนั้นมีจำกัด นางไม่กล้าทดลองอันใดมาก เพราะกลัวว่าเรือนจะเบิดจนไม่เหลือซาก

แต่ตำหนักเหรินโซ่วมีพื้นที่ว่างมากมาย จะระเบิดไปก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่

ฉินกงกงเข้ามาเพื่อปรนนิบัติจวงไทเฮา สีหน้าของจวงไทเฮาดีขึ้นมา ไม่รู้สึกแน่นอกปั่นป่วนแล้ว

ฉินกงกงยกผลไม้ที่เพิ่งปอกสดใหม่เข้ามาพลางเอ่ย “ไทเฮาจะไม่สนใจเรื่องการแต่งงานของอันจวิ้นอ๋องจริงหรือพ่ะย่ะค่ะ”

ไทเฮาเอ่ยแกมประชดประชัน “ฮ่องเต้ประหารก่อนแล้วร้องเรียนเอาทีหลัง ใช้ข้าเป็นเครื่องมือเช่นนี้ ข้าจะสนใจไปทำไม แผ่นดินเป็นของตระกูลจวงหรือไร หลายปีที่ผ่านนี้ข้ามือเปื้อนเลือด ทำทุกวิถีทาง เจ้าพวกนั้นแต่ละคนคิดว่าข้าได้อำนาจเหล่านี้มาอย่างง่ายดายกระมัง มีใครรับรู้บ้างว่าข้าอยู่ในดงเสือดงจระเข้”

ฉินกงกงเข้าใจเป็นอย่างดี

คนนอกเห็นเพียงยามที่ไทเฮาชี้นิ้วสั่งฟ้าฝน แต่ไม่มีใครเห็นว่าแผ่นหลังของนางนั้นอาบไปด้วยเลือด

ไทเฮาเอ่ยเสียงเรียบ “หากจวงอวี้เหิงอยากจะยกเลิกงานแต่งงาน ย่อมต้องมาร้องขอกับข้าเอง หากเขาไม่มา ก็แปลว่าเขายอมรับ”

เพิ่งจะสิ้นเสียง เสียงดังสนั่นก็ดังมาจากสนามหญ้าเล็กๆ ฝั่งตำหนักปีกข้าง ทั้งตำหนักเหรินโซ่วราวกับกำลังถูกเขย่า ทั้งสองคนหน้าถอดสีในทันใด

ฉินกงกงรีบซอยเท้าวิ่งออกไป “แม่นางกู้ แม่นางกู้ท่านไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่”

สนามหญ้าโดนแรงระเบิดจะยุบเป็นโพรงลงลึกลงไป

แต่กลับไม่เห็นแม้แต่เงาของกู้เจียว

ฉินกงกงตกใจสุดขีด “แม่นางกู้!”

“ข้า อยู่ นี่”