บทที่ 330 ลูกดิ้น (2)
น้ำเสียงอ่อนแรงดังขึ้นเหนือศีรษะของฉินกงกง ฉินกงกงเงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นใบหน้าดวงน้อยของกู้เจียวที่ดำมะเมี่ยมเพราะแรงระเบิด ผมเผ้ายุ่งเหยิง ท่อนแขนท่อนขาห้อยตกลงมา ราวกับตุ๊กตาไร้วิญญาณที่ถูกแขวนอยู่บนกิ่งไม้สูง
ริมฝีปากน้อยของกู้เจียวเผยออ้า พ่นเขม่าควันดำออกมา
ฉินกงกง “…”
กู้เจียวโดนระเบิดจนสติเลือนราง หลังจากได้ยอดฝีมือจากวังหลวงช่วยลงมาจากต้นไม้ ก็ปีนขึ้นเตียงหงส์ของไทเฮาแล้วหลับไปทั้งช่วงบ่าย
เมื่อนางตื่นมาก็เป็นเวลาย่ำค่ำแล้ว หญิงชราชวนให้นางอยู่ต่อเพื่อกินมื้อเย็นที่ตำหนักเหรินโซ่ว
นางคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยตอบ “ท่านย่า ข้าทำพุทราหิมะให้ท่านกินดีกว่า”
นั่นเป็นเพราะนางรู้สึกผิดที่ระเบิดสนามหญ้าของท่านย่าในวันนี้ จึงต้องหาวิธีชดเชยสักหน่อย
พุทราหิมะทำมาจากเนยจากนมแพะ พุทราแดงตากแห้งและถั่วซิ่งเหริน พุทราแดงมีรสหวานในตัวเอง ไม่จำเป็นต้องใส่น้ำตาลเพิ่ม กลิ่นนมหอมหวน ทั้งอร่อยทั้งช่วยบำรุงร่างกาย
พุทราแดงกับถั่วซิ่งเหรินนั้นหาไม่ยาก แต่เนยนมแพะนั้นต้องไปเอามาจากห้องพระเครื่อง
ขณะที่พ่อครัวของตำหนักเหรินโซวไปเอาเนยนมแพะจากห้องพระเครื่อง กู้เจียวไปที่สวนดอกไม้หลวง ตั้งใจว่าจะเก็บดอกไม้สดกลับไปตากแห้งไว้ชงดื่มเป็นชา
นางเก็บดอกไม้อยู่ในสวนหลวงได้ไม่นาน นางกำนัลสาวที่ไม่คุ้นหน้ากลุ่มหนึ่งก็เดินเข้ามา พวกนางถือตะกร้ามาเก็บดอกไม้สดเช่นกัน
กู้เจียววางตะกร้าที่เต็มไปด้วยดอกไม้ไว้บนโต๊ะหิน ก่อนจะหยิบตะกร้าใบใหม่ออกไปเก็บดอกไม้จนเต็มอีกใบ เห็นกลีบดอกไม้มากมายขนาดนี้ แต่พอตากแห้งก็เหลือเพียงหยิบมือ
กู้เจียวกลับมาพร้อมกับดอกไม้เต็มตะกร้า
ส่วนเนยนมแพะก็มาถึงแล้วเช่นกัน นางยื่นตะกร้าให้กับฉินกงกง ก่อนจะเดินไปทางห้องครัวเล็กเพื่อทำพุทราหิมะ
ภายในตำหนักฮว๋าชิง เหล่านางกำนัลพากันทรุดเข่าลงกับพื้น
ฮ่องเต้และจิ้งไท่เฟยนั่งอยู่บนเก้าอี้ ฮ่องเต้ขมวดคิ้วมองเหล่านางกำนัลใหม่ที่ถูกคัดเลือกมาให้ปรนนิบัติจิ้งไท่เฟย พร้อมทั้งเอ่ยด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ “ดูแลไท่เฟยอย่างไร ป้ายหยกของไท่เฟยถึงหายไปได้!”
จิ้งไท่เฟยเอ่ยขึ้น “อย่าได้โทษพวกนางเลย ข้าเป็นคนทำหายเอง เมื่อครู่ตอนไปที่สวนหลวงข้าเหมือนได้เสียงอะไรบางอย่าง แต่ตอนนั้นไม่ได้สนใจ คิดว่าน่าจะทำตกที่นั่น”
“ข้า…ข้าไปตามหาแล้วเพคะ แต่ข้า…” นางกำนัลสาวคนหนึ่งเอ่ยเสียงตะกุกตะกัก
จิ้งไท่เฟยเอ่ยเสียงอ่อนโยน “ไม่ต้องกลัว เจ้าค่อยๆ พูด ข้าไม่กล่าวโทษเจ้าหรอก”
นางกำนัลน้อยรวบรวมความกล้าคลานเข่าเดินไปข้างหน้าก่อนจะโขกหัวลงกับพื้นพร้อมเอ่ย “เมื่อครู่ข้าเก็บป้ายหยกอันหนึ่งได้ที่สวนหลวง ข้าไม่รู้ว่าไท่เฟยทำหาย จึงตั้งใจว่าประเดี๋ยวจะให้มอบให้ท่านป้าหัวหน้า ข้าเลยวางป้ายหยกไว้บนโต๊ะ พอข้าเก็บดอกไม้แล้วกลับมาหยิบป้ายหยก ป้ายหยกก็ไม่อยู่แล้วเพคะ!”
ฮ่องเต้เอ่ยเสียงทุ้มต่ำ “เหตุใดเจ้าถึงได้วางป้ายหยกไว้บนโต๊ะเรี่ยราดเช่นนั้น”
นางกำนัลเอ่ยอย่างหวาดกลัว “ป้ายหยกนั้นหักแล้วเพคะ ข้านึกว่าเป็นของไม่มีราคาค่างวด ไม่ใช่ของมีค่า”
“หักอย่างนั้นรึ” ฮ่องเต้หันไปมองจิ้งไทเฟยด้วยความสงสัย
แม่นมไช่พรั่งพรูเรื่องราวภายในใจ “เมื่อสองปีก่อนจิ้งไท่เฟยหกล้ม ป้ายหยกจึงแตกหัก ขอบมุมด้านหนึ่งแตกละเอียด จะต่อก็ไม่ติดแล้ว แต่เพราะนั่นเป็นของดูต่างหน้าที่องค์หญิงหนิงอันมอบให้ไท่เฟย ต่อให้แตกหักไปแล้ว ไท่เฟยก็ยังคงพกติดตัวอยู่ทุกวัน”
พอได้ยินว่าจิ้งไท่เฟยล้ม หัวใจของฮ่องเต้ก็เจ็บปวดราวกับถูกเข็มทิ่มแทง ทั้งยังเสียใจที่ไม่รับจิ้งไท่เฟยกลับมาดูแลที่วังหลวงตั้งแต่เนิ่นๆ
“เพราะข้าท่านแม่ถึงต้องลำบาก” เขาเอ่ยอย่างรู้สึกผิด
จิ้งไท่เฟยเอ่ย “ฝ่าบาทอย่าได้พูดเช่นนั้น ก็แค่ลื่นล้มธรรมดา คนเราพออายุมากขึ้นก็เดินเหินไม่คล่องแคล่วเช่นนี้แล”
“เราเห็นคนตำหนักเหรินโซ่ว…” ฮ่องเต้กำลังจะพูดว่าพระนางที่ตำหนักเหรินโซ่วผู้นั้นยังเห็นเดินเหินคล่องแคล่ว มีกำลังวังชาเสียยิ่งกว่าก่อนป่วยเป็นโรคเรื้อนเสียอีก แต่เขาก็รู้สึกว่าหากพาดพิงถึงไทเฮาคงไม่เหมาะสม ฮ่องเต้กระแอมให้โล่งคอ ก่อนจะหันไปมองนางกำนัลที่คุกเข่าอยู่บนพื้น “ตอนนั้นนอกจากพวกเจ้าแล้ว ยังมีใครอยู่ที่สวนหลวงอีก”
เหล่านางกำนัลหันหน้ามาสบตากัน
แม้ป้ายหยกนั้นจะบิ่นแตก แต่ส่วนที่เหลืออีกครึ่งแผ่นนั้นยังคงไม่เสื่อมค่า นั่นไม่ใช่หยกเนื้องามทั่วไป แต่เป็นหยกพันคิมหันต์จากแคว้นเยียน นางกำนัลผู้นั้นไม่รู้จักของดี ก็ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นจะไม่รู้เหมือนกัน
“พูดมา!” ฮ่องเต้เอ่ยเสียงเยือกเย็น “ใครเป็นคนเอาป้ายหยกของไท่เฟยไปกันแน่”
พวกนางพากันโขกหัวกับพื้น ส่วนคนที่ตอบก็ยังคงเป็นนางกำนัลน้อยคนเดิมที่เก็บป้ายหยกได้ “ทูลฝ่าบาท พวกข้าไม่ได้เอาไปจริงๆ นะเพคะ! พวกเข้าไม่รู้จักของมีราคา จะเอาหยก…”
คราวนี้นางไม่กล้าเรียกสิ่งนั้นว่าเศษหยกอีกต่อไป
ฮ่องเต้ถามเสียงหนักแน่น “นอกจากพวกเจ้าแล้ว มีใครอยู่ที่สวนหลวงอีก”
นางกำลังนึกย้อนดูก่อนจะตอบออกไป “มีแม่นางคนหนึ่งเพคะ ไม่รู้ว่ามาจากตำหนักใด ดูจากการแต่งตัวของนางแล้วไม่น่าจะใช่พระสนม ไม่เหมือนนางกำนัล ใบหน้าด้านซ้าย…มีปานสีแดง”
ไม่ใช่ทั้งนางสนม ไม่ใช่ทั้งนางกำนัล ใบหน้าด้านซ้ายมีปานแดง หากไม่ใช่กู้เจียวแล้วจะเป็นใครไปได้อีก
เช่นนี้ก็งานใหญ่แล้วน่ะสิ
หากเป็นแค่ป้ายหยกธรรมดา ฮ่องคงคร้านจะตามสืบให้เหนื่อยเปล่า แต่ดันเป็นของดูต่างหน้าที่องค์หญิงหนิงอันมอบให้จิ้งไท่เฟยเนี่ยสิ แถมนางยังเป็นคนที่ฮ่องเต้เคยรักสุดหัวใจอีกต่างหาก
ฮ่องเต้เองรักนางไม่น้อยไปว่าจิ้งไท่เฟยเลย
เว่ยกงกงเหลือบมองฮ่องเต้ด้วยแววตาซับซ้อน
แม่นางกู้มิใช่คนที่จะยอมถูกกล่าวหาได้ หากฝ่าบาทส่งคนไปถามว่านางได้เก็บป้ายหยกแผ่นนั้นไปหรือไม่ มีหวังนับแต่นี้เป็นต้นไป แม่นางกู้คงไม่มีวันญาติดีกับฮ่องเต้อีก
ช่างเถิด อย่างไรเสียตอนนี้นางก็โกรธฝ่าบาทอยู่แล้ว
แต่นี่มันคนละเรื่องกัน
แม่นางกู้ไม่เคยมีประวัติเสียหาย แต่ก็ไม่อาจลบล้างเบาะแสที่ฝ่าบาทได้รับมา เรื่องนี้จะยากก็ยากตรงที่หากถามออกไป รอยร้าวระหว่างทั้งสองจะยิ่งลึกลงไปกว่าเดิม
ยิ่งไปว่านั้นยามนี้กู้เจียวเป็นคนของตำหนักเหรินโซ่ว หากไทเฮารู้ว่ามีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น นางจะคิดอย่างไร เกรงว่าหากไม่ได้ด่าฝ่าบาทจนน้ำหูน้ำตาไหล นางคงไม่มีทางหยุด
ไทเฮานั้นไม่เคยหวั่นต่อคำครหาใด แต่แม่นางกู้นั้นห้ามแตะต้องเป็นอันขาด
เว่ยกงกงลอบปาดเหงื่อ จบเห่แล้ว คงไม่สำเร็จหรอก
ฮ่องเต้ตั้งสติ กุมมือจิ้งไท่เฟยก่อนจะเอ่ยปากพูด “หมอเทวดาน้อยผู้นั้นไม่มีทางเก็บป้ายหยกบนโต๊ะไปแน่นอน ไทเฮาเอ็นดูนาง เป็นที่รักของตำหนักเหริน เหล่าบ่าวไพร่แทบจะแห่นางขึ้นเกี้ยว แม้หยกพันคิมหันต์ที่หนิงอันมอบให้จะล้ำค่า แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่นางหมายตา ตอนนั้นหนิงอันก็ให้หยกเรามาก้อนหนึ่งเช่นกัน ในเมื่อเป็นของดูต่างหน้าที่หนิงอันมอบไว้ให้เช่นเดียวกัน ประเดี๋ยวเราจะให้คนนำมามอบให้ท่านแม่”
“ข้าจะไปนำมาบัดเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ!” เว่ยกงกงไม่รอให้ฮ่องเต้รับสั่ง ก็วิ่งฉิวออกมาก่อนแล้ว วิ่งเร็วราวกับกลัวว่าหากช้ากว่านี้ไปอีกวินาทีเดียวฮ่องเต้จะเปลี่ยนใจอย่างไรอย่างนั้น
ฮ่องเต้เอ่ย “นางกำนัลเหล่านี้ทำงานไม่ได้เรื่อง ทำป้ายหยกของท่านแม่สูญหาย นับแต่นี้พวกเจ้าไม่ต้องติดตามปรนนิบัติท่านแม่อีกแล้ว เราจะเลือกคนในวังที่เป็นการเป็นงานมาดูแลท่านแม่เอง”
จิ้งไท่เฟยยิ้มบาง “ข้าไหว้พระกินเจ ไม่ต้องมีคนคอยดูแลมาหรอก มีแม่นมไช่คนเดียวก็พอแล้ว”
ฮ่องเต้เอ่ย “แม่นมไช่ก็อายุมากแล้ว ย่อมมีบางครั้งบางคราที่เรี่ยวแรงไม่เป็นดั่งใจ หากวันนี้มีนางกำนัลที่ฉลาดหลักแหลมอยู่ข้างกายท่านแม่สักคน ป้ายหยกของท่านแม่คงไม่หายแน่นอน”
กู้เจียวไม่รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นในตำหนักฮว๋าชิงแม้แต่น้อย นางเข้าครัวไปทำพุทราหิมะและข้าวเกรียบดอกไม้ ดอกไม้สดยังเหลืออีกไม่น้อย
นางกำนัลน้อยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าจะเอาใส่ถุงบุหงาให้แม่นาง แม่นางเอากลับทำดอกไม้แห้งสิเจ้าคะ”
“ก็ดี” กู้เจียวพยักหน้า
นางกำนัลน้อยหยิบถุงบุหงาปักดิ้นทองที่ใช้ใส่ดอกไม้แห้งออกมา ก่อนจะนำกลีบดอกไม้ที่เหลืออยู่ในตะกร้าเทลงไปในถุง
หลังจากกินมื้อค่ำเสร็จกู้เจียวก็กลับมายังตรอกปี้สุ่ย
กู้เสี่ยวซุ่นขยี้หัวตัวเองอยู่กลางลานบ้าน สีหน้าดูไม่สู้ดีนัก
“เป็นอะไรไปหรือ” กู้เจียวเดินเข้ามาใกล้พลางเอ่ยถาม
กู้เสี่ยวซุ่นเอ่ย “ท่านโหวกู้เป็นลมหมดสติไป ยามนี้ยังไม่ฟื้นขึ้นมาเลย”
ความจริงแล้วหลังจากที่กู้เจียวออกไปเยี่ยมหญิงชรา ท่านโหวกู้ก็ไม่ได้กลับทันที แต่ถามว่าลูกชายและนางเหยาอยู่ที่ไหน
เพิ่งจะสิ้นเสียง ก็เห็นแม่นางเหยาเดินท้องโย้ออกมาจากห้อง
เช่นนี้ไม่ใช่อ้วนเหมือนกะละมัง แต่ในท้องนั่นน่าจะซ่อนกะละมังไว้จริงๆ!
สำหรับชายคนหนึ่ง ไม่มีอะไรน่าตกใจไปกว่ายามกลับมาจากต่างเมืองแล้วพบว่าภรรยาท้องโต
หากแค่นั้นคงไม่เป็นไร แต่ดันไปเห็นตอนที่เซวียนผิงโหวเดินตามหลังมาแล้วพูดคุยหัวเราะกับแม่นางเหยาเนี่ยสิ
เซวียนผิงโหวชายผู้อยู่เหนือทุกกฎเกณฑ์ประจำเมืองหลวง รอยยิ้มจริงจังของเขานั้นแฝงไปด้วยอำนาจและความชั่วร้าย ในตอนนั้นท่านโหวกู้รู้สึกเหมือนฟ้าถล่มดินทลาย
ท่านโหวกู้กังวลเรื่องหน้าตาของตนเองมาตลอด แต่เขานั้นยอมรับแต่โดยดีเลยว่าเซวียนผิงโหวหน้าตาดีกว่าเจา เพียงแค่เจ้าจอมเสเพลนั่นกระดิกนิ้ว มีหญิงสาวนับไม่ถ้วนกรูกันเข้ามาปรนนิบัติเขา
หรือว่า…เหยาเหยาของเขาก็หลงเสน่ห์เจ้านั่นเข้าแล้ว!
หากไม่ใช่เช่นนั้น เขาก็คิดไม่ออกเลยจริงๆ ว่าเหตุใดเซวียนผิงโหวถึงได้ปรากฏตัวอยู่ที่นี่!
ไฟโกรธมอดไหม้หัวใจ หน้ามืดไปหมดแล้ว
ท่านโหวกู้อดทนต่อไปไม่ไหว ลิ้นห้อยออกมาจากปาก สองตาเหลือกขึ้น ก่อนจะหมดสติไป
กู้เจียวไปที่ห้องของแม่นางเหยา จับชีพจรให้กับท่านโหวกู้พลางเอ่ย “เขาไม่เป็นอะไร”
แม่นางเหยาพยักหน้า แม้จะสามีคนนี้จะเลอะเทอะเป็นบางคราว แต่ถึงอย่างนั้นก็เป็นพ่อของลูกทั้งสอง… ไม่สิ ยามนี้เขาเป็นพ่อของลูกทั้งสามของนางแล้ว นางไม่อยากให้ลูกของนางต้องกำพร้าพ่อ
เพียงแต่…
แม่นางเหยามองดูหน้าท้องที่สั่นไหวไม่หยุดของตัวเอง เด็กหกเดือนดิ้นแรงขนาดนี้เชียวหรือ ทำไมถึงรู้สึกว่าลูกอยากถีบพ่อตัวเองอย่างไรอย่างนั้น