บทที่ 380 ค่าปรับ

พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ

วารุณีมองดูเธอ “ทำไมคะ?”

“ตอนเช้าที่คุณผู้ชายลงมา ป้าถามว่าทำไมคุณยังไม่ลงมาอีก สีหน้าของคุณผู้ชายก็เปลี่ยนไปทันที ข้าวเช้าก็ไม่กินแล้วออกไปเลย” ป้าส้มกล่าว

วารุณีกำมือแน่น “เขาไปแล้วเหรอคะ ?”

“ใช่ค่ะ”ป้าส้มพยักหน้าให้ จากนั้นก็ถามต่อว่า“คุณผู้หญิง เกิดอะไรขึ้น ระหว่างคุณกับคุณผู้ชายเหรอคะ? เมื่อคืนป้าก็สังเกตเห็นว่าระหว่างพวกคุณมันดูแปลกๆไป”

วารุณีส่ายหัว “หนูก็อยากจะรู้เหมือนกัน ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”

“ห๊ะ?”ป้าส้มตะลึงงัน “คุณผู้หญิงก็ไม่รู้เหมือนกันเหรอคะ?”

“ค่ะ”ป้าส้มยิ้มหน้าเจื่อน“หนูถามเขาไปแล้ว แต่เขาไม่ยอมบอก ”

“แล้วคุณผู้ชายแกเป็นอะไรกันแน่ ?”ป้าส้มพึมพำด้วยความสงสัย

วารุณีไม่ได้พูดอะไรต่อ เดินจูงมือเด็กๆไปยังห้องอาหาร

ระหว่างทาง อารัณก็เงยหน้าขึ้นถาม “หม่ามี๊ ยังไม่คืนดีกับคุณพ่ออีกเหรอครับ ?”

“ยังเลย คุณพ่อ ไม่ให้โอกาสหม่ามี๊เลย ”วารุณีลูบไปที่ศีรษะของเด็กน้อย

ไอริณกะพริบตาปริบๆ “ทำไมล่ะคะ?”

“หม่ามี๊ก็ไม่รู้เหมือนกัน”สีหน้าของวารุณีมืดมน

อารัณยกมือขึ้นลูบไปที่คาง ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่

หลังจากที่กินมื้อเช้าเสร็จ วารุณีก็พาเด็กๆออกจากบ้าน ส่งเด็กทั้งสองคนไปที่โรงเรียนอนุบาลแล้ว ก็ขับรถมุ่งตรงไปยังบริษัทของตัวเอง

ระหว่างทาง เพราะวารุณีที่เอาแต่เหม่อลอย คิดเรื่องของนัทธี ก็จึงไม่ได้มองถนนเบื้องหน้า เกือบจะชนท้ายรถที่อยู่ข้างหน้า

โชคดีที่ได้สติกลับมา เหยียบเบรกได้อย่างทันท่วงที จึงเลี่ยงการเกิดอุบัติเหตุไปได้

แต่เธอก็ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย หน้าผากกระแทกเข้ากับกระจกหน้ารถ เจ็บไปทั้งตัว หัวสมองก็ดังวิ้งๆ

เธอหยิบกระจกจากกระเป๋าออกมาดู มีลูกกลมแดงๆปูดขึ้นที่ตรงหน้าผาก เห็นชัดและดูตลกมาก

ในตอนนี้เอง มีคนมาเคาะกระจกรถ

วารุณีวางกระจกส่องลงแล้วเปิดกระจกรถ ด้านนอกมีตำรวจจราจรนายหนึ่งยืนอยู่

“สวัสดีครับคุณผู้หญิง กรุณาแสดงใบขับขี่ด้วยครับ”ตำรวจจราจรทำความเคารพให้วารุณี แล้วพูดขึ้นมา

วารุณีรู้ว่าเธอเบรกกะทันหัน แล้วหยุดรถ จึงถูกเรียก เพราะเหตุนี้จึงไม่ได้พูดมากอะไร หยิบใบขับขี่ออกมา

จากนั้น ก็ถูกหักไปสามคะแนน ปรับสองร้อย ตำรวจจราจรจึงได้ปล่อยเธอไป

วารุณีเห็นใบสั่งบนมือ ก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมา

เธอรู้สึกว่า ตั้งแต่เมื่อวาน อะไรๆก็ดูจะไม่ราบรื่นไปหมด

เมื่อครู่ตอนที่ไปส่งเด็กๆที่โรงเรียน เธอก็เกือบจะลื่นหกล้ม

ส่ายหัวไปมา ไม่อยากจะคิดอะไรมาก วารุณีก็สตาร์ทรถแล้วขับออกไป

ผ่านไปครึ่งชั่วโมง ก็มาถึงที่บริษัท

วารุณีหอบเอากระเป๋าแล้วเดินเข้าไปในที่ทำงาน หน้าผากที่ปูดโปน ทำเอาพนักงานต่างพากันตกใจ

“บอส หน้าคุณไปโดนอะไรมาค่ะ?”มีคนชี้ไปที่หน้าผากของเธอแล้วถาม

วารุณียิ้มให้อย่างขมขื่น“อย่าพูดถึงมันเลย เกือบเกิดอุบัติเหตุแล้ว ”

“อะไรนะ อุบัติเหตุเหรอ?” ปาจรีย์ที่เดินออกมาจากห้องทำงานของตัวเอง ก็ได้ยินที่วารุณีพูด ตกใจจนขวัญกระเจิง วางแก้วในมือลง ดึงเธอเข้ามาสำรวจ“วารุณี โดนชนที่ไหนหรือเปล่า ?”

“ไม่”วารุณีมองดูความเป็นห่วงของเพื่อนรัก ในใจก็รู้สึกดีขึ้นมา ตอบด้วยรอยยิ้มว่า“ ไม่มี โดนแค่ที่หน้าผากนี่แหละ”

“ไม่เป็นอะไรแน่นะ ?”ปาจรีย์ยังคงไม่วางใจ

วารุณีพยักหน้ายืนยัน “ไม่เป็นอะไรจริงๆ”

เมื่อเห็นดวงตาที่ชัดเจนของวารุณี ปาจรีย์ก็ถึงได้เชื่อ และรู้สึกโล่งอก“ ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว ตกใจหมดเลย”

“ขอโทษนะ”วารุณียิ้มให้อย่างรู้สึกผิด

ปาจรีย์โบกมือให้ “ ไม่เป็นไร ว่าแต่เธอ มานี่เลย ฉันจะไปหาน้ำแข็งมาประคบให้ ไม่งั้นมันจะบวมเอาได้ ?”

พูดจบ เธอก็ดึงตัววารุณีเข้าไปในห้องทำงาน

ในห้องทำงานมีตู้เย็น ปาจรีย์หยิบเอาน้ำแข็งออกมาแล้วห่อด้วยผ้าขนหนู ส่งมาให้กับวารุณี “อ่ะนี่”

“ขอบใจนะ”วารุณียิ้มแล้วรับมันมา จากนั้นก็วางไปที่หน้าผาก

ความรู้สึกเย็นๆ ปัดเป่าความมึนเบลอในหัวของวารุณี ทำให้เธอกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาก

ปาจรีย์พิงไปที่ขอบโต๊ะ จ้องมองเธอ“วารุณี เมื่อคืนไม่ได้นอนเหรอ ขอบตาคล้ำเชียว !”

เมื่อได้ยินคำนี้ วารุณีก็หลุบตาลง “ปาจรีย์ เธอว่าช่วงนี้ฉันทำอะไรผิดไปหรือเปล่า ?”

“ห๊า?”ปาจรีย์ตะลึง“ เธอถามแบบนี้ทำไม ?”

วารุณีส่ายหน้า “เธอตอบฉัน ว่ามีหรือเปล่า ”

“ก็ไม่มีนะ”ปาจรีย์ครุ่นคิดอยู่สักพัก

วารุณีกำผ้าขนหนูในมือแน่น“ แล้วทำไม นัทธีต้องทำแบบนี้กับฉันด้วย ? ”

“นัทธีเขาทำอะไรเธอ?”สีหน้าของปาจรีย์ก็จริงจังขึ้นมา

วารุณีเอนหลังพิงไปที่พนักเก้าอี้ “ตั้งแต่เมื่อวาน ท่าทีของนัทธีที่มีต่อฉันก็เปลี่ยนไป เขาเย็นชา ราวกับฉันไปทำอะไรผิดมา ทำให้เขาโกรธ แต่เขาก็ไม่ยอมพูด”

“อะไรนะ?”ปาจรีย์ขมวดคิ้ว “ประธานนัทธีทำแบบนี้ได้ยังไง มันจะมากเกินไปแล้ว”

วารุณีถอนหายใจ“ถ้าเป็นแค่นี้ก็ไม่เท่าไร แต่ที่ฉันรับไม่ได้ คือเขาไปพาลกับเด็กๆด้วย”

คำพูดของนัทธีเมื่อคืน มันทำร้ายความรู้สึกของเธอจริงๆ

เขาไม่ยอมเจอเธอเลยด้วยซ้ำ โอกาสที่เธอจะบอกสถานะของเด็กทั้งสองคนให้เขาได้รู้ก็ยังไม่มีเลย

“เฮ้ยนี่มันบ้าไปแล้ว ยังไปพาลกับเด็กๆด้วยเหรอ ทำไมเขาถึงเป็นคนแบบนี้!”ปาจรีย์รู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย

วารุณีวางผ้าขนหนูลง“เมื่อวานจู่ๆเขาก็เปลี่ยนไป ตอนนี้ฉันยังรู้สึกเหมือนมันไม่ใช่เรื่องจริง”

“วารุณี……”ปาจรีย์มองเธอด้วยความเป็นห่วง

วารุณีส่ายหัว “ฉันไม่เป็นไร แค่รู้สึกเหนื่อยนิดหน่อยก็เท่านั้น ฉันยังไม่รู้เลย ว่านัทธีจะทำเย็นชากับฉันไปอีกนานแค่ไหน”

“กลัวอะไรล่ะ พูดคุยกันให้รู้เรื่องก็จบแล้ว” ปาจรีย์ตอบกลับ

วารุณียกยิ้มอย่างขมขื่น“มันไม่ง่ายแบบนั้นนะสิ เธอคิดว่าฉันไม่คิดเหรอ เมื่อวานฉันคุยกับเขาไปสองครั้ง แต่เขาไม่ยอมพูดอะไรเลย ฉันก็ถึงได้รู้สึกเหนื่อยยังไงล่ะ”

เธอเงยหน้าขึ้นมองฝ้าเพดาน

ปาจรีย์ขมวดคิ้ว“ไม่รู้ว่าเก็บเงียบไว้แบบนี้จะมีประโยชน์อะไร มีแต่จะทำให้ความเข้าใจผิดนั้นทับถมมากขึ้นก็เท่านั้น”

“ใช่ แต่เขาไม่ยอมพูด แล้วฉันจะทำอะไรได้ ? ”วารุณียักไหล่

ปาจรีย์มองไปที่เธอ “ลองหาโอกาสพูดคุยกับประธานนัทธีเขาอีกครั้งแล้วกัน ”

“อืม”วารุณีพยักหน้าให้

ก็คงทำได้เท่านี่แหละ

คืนนี้จะลองคุยกับนัทธีดูอีกครั้ง

เพราะยังไงพวกเขาจะอยู่กันไปแบบนี้ไม่ได้

เมื่อคิดได้ดังนั้น วารุณีก็หยิบโทรศัพท์มือถือออกมา ค้นหาเบอร์ของนัทธี แล้วส่งข้อความไปหาเขา:นัทธี คืนนี้เรามาคุยกัน มีเรื่องอะไรเปิดอกคุยกันดีไหม?

กดส่งไปแล้ว วารุณีก็มานั่งคิด จากนั้นก็ส่งไปอีกหนึ่งข้อความ:นอกจากนี้ คืนนี้ฉันมีอีกหนึ่งความลับจะบอกคุณ ความลับที่สำคัญมาก

เมื่อกดส่งข้อความนี้ออกไปแล้ว วารุณีก็จ้องไปที่หน้าจอ รอการตอบกลับของนัทธี

แต่รออยู่นาน โทรศัพท์ก็ไม่มีการแจ้งเตือนใดๆ ในใจของวารุณีหมองหม่น

เธอไม่รู้ว่าเขาไม่เห็น หรือกำลังยุ่งอยู่

คงน่าจะกำลังยุ่ง

วารุณีหาเหตุผลให้นัทธีโดยไม่รู้ตัว จากนั้นก็วางโทรศัพท์ลง

บางทีหากเขายุ่งกับงานเสร็จ ก็คงจะตอบกลับมา

เมื่อคิดได้ดังนั้น วารุณีก็ถอนหายใจ มุมปากยกหยักเผยความขมขื่นออกมา

อีกด้านหนึ่ง ที่บริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ป

นัทธีนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่โต๊ะทำงาน ในมือถือโทรศัพท์ ดวงตาลุ่มลึกจ้องมองไปยังสองข้อความที่ส่งมาหา

ความลับ?

ความลับอะไร?

นัทธีขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย ในใจเต็มไปด้วยความสงสัย แต่ไม่ได้ถามกลับไป

ทันใดนั้น ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น

นัทธีวางโทรศัพท์ลง“เข้ามา”

มารุตเปิดประตูเข้าไป “ท่านประธานครับ ที่ให้เช็กที่อยู่ของนิรุตติ์ ตอนนี้ทราบแล้วครับ ”

“หาตัวเจอแล้วเหรอ?”นัทธีหรี่ตาลง

มารุตส่ายหน้า“ ขออภัยครับ ยังไม่เจอครับ แต่มันแปลกๆ ”

“อะไร?”นัทธีจ้องไปที่เขาด้วยความสงสัย