ตอนที่ 439 ไม่เหลือทางถอยแล้ว

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ตอนที่ 439 ไม่เหลือทางถอยแล้ว

ในห้องโถงมีพื้นที่จำกัด กลุ่มทหารถูกบีบคั้นไร้ทางเลือก ได้แต่ต้องถืออาวุธรุดหน้าไปอย่างอกสั่นขวัญแขวน แม้จะเห็นว่าเบื้องหน้ามีคนล้มลงอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังต้องเดินย่ำข้ามศพไป

ทหารระดับล่างไหนเลยจะเข้าใจว่าสถานการณ์ยามนี้เป็นอย่างไร พวกเขาไม่รู้เรื่องเลยสักนิด รู้เพียงว่าหากไม่ปฏิบัติตามคำสั่งจะต้องตายอย่างน่าอนาถยิ่งกว่า จึงเริ่มร้องตะโกนปลุกขวัญแล้วเดินหน้าไป

พวกซางเฉาจงพลันตื่นตัวขึ้นมาสุดขีด กวัดแกว่งอาวุธพยายามป้องกันอย่างสุดชีวิต ถูกบีบต้อนให้หดเข้ามุมไปเรื่อยๆ แทบจะไม่เหลือที่ให้ขยับแล้ว

โครม! ร่างมนุษย์หลายร่างถูกกระแทกลอยเข้ามาจากด้านนอก ชนกลุ่มทหารในห้องล้มระเนระนาด

ท่ามกลางเสียงร้องโหยหวนแว่วระงม หยวนกังถือดาบพุ่งเข้ามา เลือดเปรอะทั่วร่าง ฝ่าออกมาจากลุ่มทหารทางด้านนอก ตัวเขาเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าตนเองสังหารคนไปมากน้อยเท่าไรแล้ว สรุปคือพบใครก็สังหารทิ้ง ทุกคนที่ขวางทางต่างสิ้นชีพด้วยคมดาบของเขา

มีลูกศรสิบกว่าดอกปักอยู่ด้านหลัง ด้านหน้าก็โดนลูกศรยิงใส่เช่นกัน แต่หลุดร่วงออกไปหมดแล้ว ตามเนื้อตัวก็มีบาดแผลกรีดฟันจากคมดาบคมทวน

ปราณเสริมแกร่งของเขา ตอนนี้ยังต้านรับได้เพียงการต่อยตีเท่านั้น แรกเริ่มตอนที่เห็นว่ามีพลธนูจำนวนมากเขาก็กังวลเช่นกัน ดังนั้นถึงได้ลากบานประตูมาเป็นโล่กำบัง ตอนหลังพอโดนธนูยิงใส่ถึงได้สังเกตเห็นว่าถึงแม้ร่างกายจะต้านทานการโจมตีจากอาวุธมีคมไม่ได้ แต่หลังจากอาวุธมีคมปะทะเข้ากับผิวกายของเขาแล้ว แรงโจมตีกลับลดลงไปมาก กล้ามเนื้อใต้ชั้นผิวสามารถหยุดการเจาะลึกเข้าไปของลูกธนูได้ ด้วยเหตุนี้เขาจึงบุกเข้ามาอย่างไร้กังวลใดๆ

การที่ถูกธนูยิงใส่ก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้เช่นกัน คนคนเดียวเผชิญหน้ากับคนมากมายขนาดนี้ ซ้ำยังมีพลธนูมากมายถึงเพียงนี้อีก ไม่มีทางป้องกันได้ทั้งหมดอยู่แล้ว

เขาฝ่าเข้าสู่ห้องโถงอย่างดุเดือดทรงพลัง ตวัดดาบปลิดชีพคนไปอีกหลายคนราวกับเทพสังหาร พอเห็นซางเฉาจงที่ตกอยู่ในสภาวะวิกฤตถูกต้อนเข้ามุม หยวนกังไหนเลยจะกล้าชักช้าอีก เขากวัดแกว่งดาบสามคำรามทะลวงฝ่าเข้าไป ฟาดฟันโจมตีจนโลหิตไหลนองไปตามทาง เสียงร้องโหยหวนดังระงมไม่หยุด

เขาทรงพลังอย่างล้นเหลือ ไม่มีผู้ใดขวางไว้ได้ ยามที่ดาบทวนของฝ่ายผู้โจมตีปะทะกับดาบของเขา อาวุธเหล่านั้นล้วนกระเด็นกระดอนออกไป

ถึงแม้เขาจะมีโลหิตชโลมทั่วร่าง แต่ด้วยโครงร่างของเขาทำให้สะดุดตาได้ง่าย พวกซางเฉาจงกวาดตามองเห็นก็ดีใจขึ้นมา เป็นหยวนกัง คนของหนิวโหย่วเต้ามาถึงแล้วจริงๆ ทางนี้ที่กำลังสู้สุดชีวิตเพื่อป้องกันพลันมีขวัญกำลังใจเพิ่มขึ้นมหาศาล

จู่ๆ ก็มีคนฝ่าวงล้อมเข้ามา พี่น้องตระกูลเฟิ่งไหนเลยจะยอมปล่อยให้หยวนกังสลายวงล้อมได้สำเร็จ เรื่องราวดำเนินมาถึงขั้นนี้แล้ว ตระกูลเฟิ่งไม่เหลือหนทางให้ถอยแล้ว พวกเขาไม่อาจแพ้ได้

เฟิ่งรั่วเจี๋ยพลันกระโจนออกไป ถีบเสาต้นหนึ่ง กระโจนฝ่าอากาศออกไปคนเดียว ข้ามหัวกลุ่มทหารด้านล่างไป ตวัดทวนแทงลงที่ศีรษะของหยวนกังอย่างโกรธเกรี้ยวดุดัน

ระหว่างที่โจมตีใส่ หยวนกังที่กำลังตวัดดาบฟาดฟันพลันหันกลับมายื่นมือคว้าคันทวนที่พุ่งลงมาจากด้านบนเอาไว้ จากนั้นกระชากคันทวนลงมาด้านล่าง แล้วก็กระทุ้งกลับขึ้นไปด้านบนอีกครั้ง

ผัวะ! ปลายทวนกระแทกใส่หน้าท้องของเฟิ่งรั่วเจี๋ย ดวงตาเขาเบิกถลนราวกับโดนทุบด้วยค้อนพันชั่ง พ่นโลหิตกระฉูดออกมากลางอากาศ

เขาคิดไม่ถึงเลยว่าพละกำลังของหยวนกังจะมากมายมหาศาลขนาดนี้ หากมิใช่เพราะสวมชุดเกราะป้องกันเอาไว้ เกรงว่าอาจจะถูกปลายทวนแทงทะลุก็เป็นได้

ทวนหลุดจากมือ ร่างคนลอยละลิ่วขึ้นไปบนหลังคา กระแทกเข้ากับคานแล้วร่วงลงมา กระแทกคนที่อยู่ด้านล่างจนล้มระเนระนาด

“เจ้ารอง!” เฟิ่งรั่วอี้ร้องด้วยความตกใจ ย่อตัวกระโดดขึ้นไปเหยียบไหล่ทหารด้านล่างถือทวนมุ่งเข้ามา

หยวนกังที่ยึดทวนมาได้เหวี่ยงทวนหมุนเป็นวง เกิดเสียงดังพลั่กๆ ทหารที่ปิดล้อมโจมตีโดนกวาดจนลอยละลิ่วเป็นแถบ คนที่ถูกทวนฟาดใส่ หากไม่กระอักเลือดก็กระดูกแตกหัก

เมื่อก้าวมาถึงเฟิ่งรั่วเจี๋ยที่กระอักเลือดลุกยืนโงนเงนขึ้นมา หยวนกังพลันตวัดดาบในมือ

“อ๊าก!” เฟิ่งรั่วเจี๋ยที่หันหลังหมายจะหลบหนีส่งเสียงกรีดร้องเสียงโหยหวน ทรุดฮวบลงบนพื้นอีกครั้ง ตัวขาดเป็นสองท่อน ถูกผ่าสะพายแล่งลงมาจากหัวไหล่จนขาดเป็นสองท่อน เกราะถูกตัดขาดในดาบเดียว

“ตายซะ!” เฟิ่งรั่วอี้ที่ดวงตาเบิกกว้างตะโกนด้วยความโกรธเกรี้ยว

หยวนกังเหวี่ยงทวนในมือฟาดไปด้านหลัง

พลั่ก! ทวนสองเล่มปะทะกัน ทวนที่เฟิ่งรั่วอี้ใช้โจมตีกระเด็นหลุดออกจากมือกไป ง่ามมือทั้งสองข้างฉีกกว้างเพราะแรงฉีกกระชากอันมหาศาล โลหิตทะลักออกมาจากง่ามมือ ตัวคนก็ถูกทวนของตัวเองฟาดใส่เล็กน้อย กระเด็นตกลงไปในกลุ่มทหาร

หยวนกังไม่ได้แยแสอะไรมากนัก ด้วยต้องรีบสลายวงล้อมช่วยพวกซางเฉาจง

พื้นที่ในห้องโถงมีจำกัด อีกทั้งมีคนมารวมตัวกันเป็นจำนวนมาก ไม่สามารถนำธนูมาใช้งานได้ง่ายๆ ทำให้หยวนกังไม่มีความกังวลใดๆ อีก มือหนึ่งตวัดดาบฟาดฟัน อีกมือหนึ่งเหวี่ยงทวนกวาดออกไปอย่างบ้าคลั่ง มีคนล้มตายร้องโหยหวนตลอดทางที่เขาย่างผ่าน ไม่นานนักก็สลายวงล้อมทหารที่ปิดล้อมพวกซางเฉาจงจนหมด

ประเด็นสำคัญคือสำหรับทหารเหล่านี้แล้ว หยวนกังช่างน่ากลัวเสียเหลือเกิน ทันทีที่เข้าปะทะเพียงเล็กน้อย ถ้าไม่ตายก็ต้องพิการ มีลูกศรปักร่างมากมายปานนี้ แต่ก็ยังปกติเหมือนไม่เป็นอะไร แม้แต่เฟิ่งรั่วเจี๋ยก็ถูกเขาสังหารไปแล้ว

ทหารที่ปิดล้อมขวัญผวา ต่างถอยห่างด้วยความหวาดกลัว

ภายในห้องเต็มไปด้วยซากศพ โลหิตเจิ่งนองไปทั่ว ในที่สุดหยวนกังก็เดินข้ามซากศพเกลื่อนพื้นมาพบหน้าพวกซางเฉาจงได้สำเร็จ

พวกซางเฉาจงต่างหอบหายใจกันถ้วนหน้า ซางซูชิงรีบเอ่ยถาม “เต้าเหยี่ยล่ะ?”

หยวนกังไม่ตอบ พอเห็นว่าพวกเขาปลอดภัยก็หันกลับไปเหวี่ยงดาบฟาดฟันอีกครั้ง

คนในห้องโถงไม่มีผู้ใดกล้าสู้กับเขาอีก ยิงธนูใส่ก็ไม่ล้ม ทวนแทงก็ไม่ร่วง ดาบฟันก็ไม่ตาย แบบนี้ไม่สามารถสู้ต่อไปได้ น่ากลัวกว่าผู้บำเพ็ญเพียรเสียอีก

ในแง่หนึ่งแล้ว มันก็เป็นอย่างที่พวกเขาคิดจริงๆ ผู้บำเพ็ญเพียรทั่วไปแม้จะมีพลังปราณ แต่ไม่มีร่างกายที่แกร่งกล้าถึงเพียงนี้แน่นอน ผู้บำเพ็ญเพียรเพียงแค่ได้รับบาดเจ็บได้ยากเท่านั้น แต่หากได้รับบาดเจ็บในสภาพเดียวกับหยวนกังเช่นนี้ ไม่ว่าผู้บำเพ็ญเพียรคนใดก็ทนรับไม่ไหวทั้งนั้น เกรงว่าคงถูกฟันเละเป็นเนื้อสับไปนานแล้ว

ประกอบกับหยวนกังมีพละกำลังล้นเหลือ ราวกับมีพลังให้ใช้ได้ไม่สิ้นสุด

พอเห็นเขามุ่งเข้ามาโจมตีอีกครั้ง เหล่าทหารก็หนีกระเจิงออกจากห้องโถงด้วยความหวาดผวา

หนงฉางกว่างเองก็ลากเฟิ่งรั่วอี้ที่กำลังร้องโวยวายอยู่ออกไปเช่นกัน ล่าถอยไปตั้งหลักก่อนดฮณ๊ฯดฯฌซ,

แต่ก่อนหยวนกังไม่เคยรู้เลยว่าตนจะมีความสามารถด้านการต่อสู้ขนาดนี้ อีกทั้งเพิ่งเคยต่อสู้กับทหารมากมายขนาดนี้เป็นครั้งแรก

ภายในห้องโถงว่างโล่งแล้ว ปลอดภัยชั่วคราว หยวนกังเองก็บรรลุเป้าหมายแล้วเช่นกัน ไม่ได้ออกไปตามล่าต่อ หากแต่พุ่งตัวกลับมาที่มุมห้อง ยืนอยู่บนกองซากศพที่ทับสุมกันพลางเอ่ยถาม “ท่านอ๋อง พวกพระองค์ไม่เป็นไรใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ?”

ตอนนี้พวกเขาไม่เป็นไรแล้ว พอมองดูหยวนกังก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายต่างหากที่กำลังเป็นอยู่ บนร่างมีบาดแผลมากมายถึงเพียงนี้ ซ้ำด้านหลังยังมีลูกศรปักอยู่มากมายขนาดนั้นอีก เห็นแล้วชวนให้อกสั่นขวัญแขวน

ซางเฉาจงถามกลับ “หยวนเหยี่ย ท่านไม่เป็นไรหรือ?”

“ไม่เป็นไร!” หยวนกังตอบกลับ จากนั้นก็ถือโอกาสช่วงที่ว่างอยู่ ลงมือถอนลูกศรที่ปักแผ่นหลังออกมาทีละดอกๆ

เหมิงซานหมิงที่นั่งค้ำทวนจมอยู่ในแอ่งโลหิตพยักหน้าพลางเอ่ยไปว่า “น้องหยวนองอาจหาญกล้าโดยแท้ ความกล้าหาญทะลวงทัพนับหมื่นไปเด็ดหัวแม่ทัพศัตรูก็คือเช่นนี้!”

หลังผ่านศึกหนักมา ชายชราอย่างเขาเหนื่อยล้าอย่างมากจริงๆ พลังห้าวหาญที่ถูกปลุกเร้าขึ้นมาในสงครามที่ตัดสินความเป็นความตายได้ถูกใช้ไปจนหมด ร่างกายพลันรู้สึกอ่อนล้าจนทนรับแทบไม่ไหว

ซางซูชิงกลับถามซ้ำ “เต้าเหยี่ยมาแล้วหรือ?”

หยวนกังไม่มีทางพูดเรื่องอื่นออกไป เขายังคงปกป้องเกียรติของหนิวโหย่วเต้าไว้เสมอ จึงตอบไปว่า “เต้าเหยี่ยยังต้องจัดการกับสำนักหยกสวรรค์อยู่ ตอนนี้ยังไม่สะดวกจะเผยตัว สั่งให้พวกกระหม่อมมาช่วยเหลือก่อนพ่ะย่ะค่ะ!”

นอกห้องโถง พรรคพวกของหยวนกังตกอยู่ในสถานการณ์วิกฤต ทหารฝ่ายศัตรูมีมากมายเกินไป ภายใต้ธนูที่ถูกกระหน่ำยิงออกมา มีบางคนหลบไม่ทัน สิ้นชีพไปสิบกว่าคนแล้ว พวกเขาทำได้เพียงหลบเลี่ยงตามสิ่งกีดขวางที่มีอยู่ ยิงตอบโต้กลับไปเรื่อยๆ ไม่ปล่อยให้ศัตรูเข้าประชิดตัวได้ แต่ถึงอย่างไรลูกศรของพวกเขาก็มีจำกัด ยืนหยัดต่อไปได้อีกไม่นานแล้ว

หนิวหลินพาพรรคพวกจำนวนหนึ่งกระโดดขึ้นไปบนหอสูง ลูกศรถูกใช้จนหมดแล้ว จำเป็นต้องฉกฉวยอาวุธยาวมาคอยเฝ้าอยู่บนทางเชื่อมบนหอ เผชิญหน้ากับศัตรูที่ไล่ตามขึ้นมาสังหารอย่างไม่มีสิ้นสุด เรียกได้ว่ากำลังตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก

โชคดีที่หยวนกังไม่ได้ทอดทิ้งพวกเขา พอชี้แจงกับพวกซางเฉาจงเล็กน้อยก็มุ่งหน้าออกมาจากห้องโถง ตามไปช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง พาพวกพ้องทั้งหมดเข้าสู่ห้องโถงหลัก

ในศึกครั้งนี้ พวกพ้องทั้งหมดเก้าสิบคนรอดกลับมาได้หกสิบกว่าคนเท่านั้น อีกสามสิบกว่าคนตายในการต่อสู้ แม้แต่หนิวซานที่มีธนูปักหลังอยู่สองดอกก็ถูกคนอื่นแบกกลับมา

มิใช่เพราะพวกเขาไร้ความสามารถ แต่เป็นเพราะเดิมทีความสามารถของพวกเขาก็มิใช่ประเภทที่มีไว้สำหรับเข้าปะทะกับทัพใหญ่ตรงๆ อยู่แล้ว หากมิใช่เพราะอยู่สภาวะคับขันอับจนหนทาง หยวนกังไม่มีทางปล่อยให้พวกพ้องต้องมาเสี่ยงเช่นนี้

เมื่อคนเหล่านี้อพยพเข้าสู่ห้องโถง พวกเขาก็เคลื่อนย้ายศพในห้องโถงไปปิดกั้นช่องว่างทันที เก็บรวบรวมลูกศรที่ปักอยู่บนศพมาไว้ใช้ยิงโต้ตอบศัตรู ประกอบกับมีผู้กล้าทรงพลังอย่างหยวนกังคอยเฝ้าอยู่ ส่งผลให้ศัตรูไม่กล้าเข้ามาใกล้

เหมิงซานหมิงที่นั่งอยู่ตรงมุมห้องเอ่ยว่า “ติดอยู่ที่นี่นานไปมิใช่วิธีแก้ที่ดี หากอีกฝ่ายเคลื่อนย้ายรถหน้าไม้มา พวกเราไม่มีทางต้านไหวแน่ จำเป็นต้องคิดหาทางหลบหนีไป เต้าเหยี่ยวางแผนไว้อย่างไร?”

หยวนกังหันไปมองควันไฟที่ลอยโขมงขึ้นมาจากเรือนหลังหนึ่งนอกหน้าต่าง เอ่ยว่า “ฝ่ายศัตรูมีมากเกินไป คาดว่าคงรู้ตัวหันหมดแล้ว ภายใต้การปิดล้อมโจมตีหนาแน่น พวกเราไม่มีทางฝ่าออกไปได้ ได้แต่หวังว่าเมื่อสำนักหยกสวรรค์เห็นควันไฟแล้วจะรีบไล่ตามมาระงับสถานการณ์ได้ทัน”

หลานรั่วถิงที่มีเหงื่อเปียกโชกไปทั้งตัวเอ่ยถาม “สำนักหยกสวรรค์ยังอยู่ในเมืองหรือ?”

หยวนกังรู้ว่าพวกเขาไม่ทราบเรื่องเลย จึงตอบไปว่า “น่าจะไม่ใช่สำนักหยกสวรรค์ที่ต้องการสังหารพวกท่าน ไม่รู้ว่าเฟิ่งหลิงปอใช้วิธีการใด ดูเหมือนจะล่อให้คนของสำนักหยกสวรรค์ออกไปเฝ้าอยู่ที่กำแพงเมืองกันหมด”

หลานรั่วถิงถามต่อ “คนของสำนักหยกสวรรค์จะมาหรือ?”

หยวนกังที่ถือดาบอยู่ในมือตอบว่า “สถานการณ์บางอย่างไม่อาจอธิบายได้ในขณะนี้ ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลามาคุยรายละเอียดกัน สรุปสั้นๆ คือเต้าเหยี่ยสร้างแรงกดดันมหาศาลให้สำนักหยกสวรรค์ สำนักหยกสวรรค์ไม่กล้าไม่มา”

หลานรั่วถิงรีบถามต่อไป “หากว่าคนของสำนักหยกสวรรค์ไม่มาล่ะ?”

“เช่นนั้นอย่างมากข้าก็พาคนออกไปได้แค่คนเดียว แต่จะหนีออกจากเมืองได้หรือเปล่าก็ยังไม่แน่!” หยวนกังกวาดตามองทุกคน สายตาไปหยุดอยู่ที่ร่างซางเฉาจง

แม้จะเป็นคำพูดที่ไม่น่าฟัง แต่มันกลับเป็นความจริง ถึงแม้เขาจะมีความสามารถในการต่อสู้ แต่เมื่อตกอยู่ภายใต้การปิดล้อมโจมตีของกองทัพขนาดใหญ่ เขาไม่มีทางคุ้มครองคนมากเกินไปให้ปลอดภัยทั้งหมดได้ อีกทั้งไม่สามารถย่อตัวคนให้เล็กลงแล้วใส่กระเป๋าเสื้อไปได้ หากแต่ต้องพาคนเป็นๆ คนหนึ่งไปด้วย แค่ช่วยคุ้มครองคนคนหนึ่งให้รอดปลอดภัยออกไปได้ก็นับว่าสุดความสามารถแล้ว

ชั่วพริบตานั้น ทุกคนเข้าใจขึ้นมาทันที หากว่าคนผู้นี้จะพาใครสักคนฝ่าออกไปจริงๆ เช่นนั้นก็มีเพียงซางเฉาจงเท่านั้น

……

ภายในศาลาว่าการ เฟิ่งหลิงปอได้ข่าวก็รีบวิ่งไปที่สวน วิ่งขึ้นไปหอสูง มองเห็นควันไฟลอยโขมงขึ้นมาจากบริเวณเรือนพักของเป้าหมาย สีหน้าซีดเซียวลงทันที

จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้รับข่าวว่าลงมือสำเร็จเลย ซ้ำยังได้เห็นสถานการณ์เช่นนี้อีก แล้วสำนักหยกสวรรค์จะไม่รู้ตัวได้อย่างไรเล่า?

สีหน้าเฟิ่งหลิงปอค่อยๆ บิดเบี้ยว หันกลับไปตะคอกสั่งลูกน้องว่า “ถ่ายทอดบัญชาจากข้า ให้ไพร่พลที่อยู่โดยรอบรีบมุ่งหน้าไปเสริมกำลังช่วยคุณชายทั้งสองปราบคนร้าย! แจ้งคุณชายทั้งสองด้วย ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยสิ่งใดก็ต้องจัดการคนร้ายให้ได้โดยเร็ว!”

สีหน้าท่าทางของเขาแทบจะเรียกได้ว่าคลุ้มคลั่งไปแล้ว

“ขอรับ!” เจ้าหน้าที่ถ่ายทอดคำสั่งขานรับแล้วรีบวิ่งออกไป

……

“เกิดอะไรขึ้น?”

จู่ๆ ในกลุ่มผู้บำเพ็ญเพียรสำนักหยกสวรรค์ที่ถูกเผิงอวี้หลานใช้ข้ออ้างพาออกมาลาดตระเวนก็มีใครคนหนึ่งชี้ขึ้นไปบนท้องฟ้า

ทันใดนั้นพลันมีหลายคนทะยานจากถนนขึ้นสู่หลังคา รวมถึงเผิงอวี้หลานด้วย ร่อนลงบนหลังคาแล้วทอดสายตามองออกไป

เมื่อมองเห็นตำแหน่งต้นตอ สีหน้าของเผิงอวี้หลานเยียบเย็นลง ไม่รู้ว่าทางนั้นกำลังทำอะไรอยู่ ไฉนถึงปล่อยให้เกิดควันไฟลอยขึ้นมาได้ ไม่กลัวจะถูกสำนักหยกสวรรค์จับได้หรือว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น?

นางก็ไม่รู้เช่นกันว่าตอนนี้ลงมือสำเร็จหรือยัง

“ศิษย์พี่หญิง ดูเหมือนจะเกิดเรื่องขึ้นแล้ว พวกเราไปดูกันดีหรือไม่?”

ศิษย์สำนักหยกสวรรค์คนหนึ่งเพิ่งจะเอ่ยออกมา เผิงอวี้หลานก็ตวัดมือแสดงป้ายคำสั่ง เอ่ยเสียงแข็งกร้าว “ทุกคนจงหยุดรอคำสั่งอยู่กับที่ ผู้ใดฝ่าฝืนจะถูกลงโทษอย่างหนักตามกฎสำนัก!”

พอเอ่ยจบ ตัวนางกลับรีบร้อนทะยานออกไป ไม่สนใจอยู่ควบคุมศิษย์ร่วมสำนักกลุ่มนี้อีกต่อไป ต้องการไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่

หากว่ายังไม่สำเร็จ เช่นนั้นตัวนางที่อยู่ในฐานะแม่ยายก็คงทำได้เพียงลงมือสังหารลูกเขยของตนต่อหน้าคนมากมายด้วยตัวเอง ไม่สนใจชื่อเสียงข่าวฉาวโฉ่เหล่านั้นแล้ว มาถึงขั้นนี้ นางไม่เหลือทางให้ถอยแล้วจริงๆ

นางทราบดีว่าตนมีโทษฐานโป้ปดเคลื่อนย้ายศิษย์สำนักหยกสวรรค์ หากปล่อยให้สำนักหยกสวรรค์มีทางเลือกอื่น เผิงโย่วไจ้ก็ปกป้องพวกนางไว้ไม่ได้ หากเผิงโย่วไจ้ไม่จัดการลงโทษก็จะไม่สามารถอธิบายกับคนในสำนักหยกสวรรค์ทั้งเบื้องบนและเบื้องล่างได้

…………………………………………………………