ตอนที่ 440 พวกเจ้าหลีกไป!

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ตอนที่ 440 พวกเจ้าหลีกไป!

ทันทีที่เผิงอวี้หลานจากไป ดวงตาของโซ่วเหนียนที่ยังยืนอยู่ที่เดิมบนหลังคาค่อยๆ เบิกกว้างขึ้นมา คล้ายจะตระหนักอันใดขึ้นมาได้ สีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด

…..

ณ ประตูเมืองตะวันตก ไป๋เหยายืนหันหลังให้ตัวเมือง หันหน้าไปหาฟ้าครามนอกเมือง มีศิษย์ร่วมสำนักยืนอยู่สองฝั่งซ้ายขวา คอยเฝ้ากันอย่างเงียบๆ

ประตูเมืองทิศตะวันตกก็ถูกปิดแล้วเช่นกัน ถึงแม้ทางนี้จะคอยเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด แต่ก็ไม่เห็นความผิดปกติใดๆ จากนอกเมืองเลย

ไป๋เหยาค่อนข้างสงสัยในพฤติกรรมของเผิงอวี้หลาน แต่เมื่อนึกถึงป้ายคำสั่งในมืออีกฝ่าย เขาก็คิดว่าผู้อาวุโสเฟิงคงไม่มอบให้อีกฝ่ายส่งเดชแน่ ยิ่งไปกว่านั้นคือทางนั้นก็มีศิษย์ในสำนักเฝ้าอยู่ น่าจะไม่เกิดเหตุใดขึ้น

“ดูทางนั้นสิ ดูเหมือนจะเป็นจุดประจำการของพวกเราเลย”

เสียงอุทานด้วยความตกใจของศิษย์ร่วมสำนักแว่วมาจากด้านข้าง ไป๋เหยาค่อยๆ หันไปมอง ตอนยังไม่มองก็ยังใจเย็นอยู่ แต่พอเห็นแล้ว หัวคิ้วที่อยู่ใบหน้าเย็นชาไร้ความรู้สึกพลันกระตุกขึ้นมาอย่างรุนแรง ความสงสัยในใจคล้ายจะปะทุออกมา

“พวกเจ้าตามข้ามา คนที่เหลืออยู่เฝ้าต่อไป” ไป๋เหยาชี้นิ้วสั่งการเหล่าศิษย์ที่อยู่ทางซ้ายและขวา

ศิษย์ร่วมสำนักเอ่ยเตือน “ศิษย์พี่ ป้ายคำสั่งของผู้อาวุโสสั่งให้พวกเราเฝ้าอยู่ที่นี่ หากเคลื่อนไหวโดยพลการ จะมีโทษฐานเคลื่อนไหวโดยพลการนะขอรับ”

“หากเกิดปัญหาข้ารับผิดชอบเอง ไป!” ไป๋เหยาเอ่ยขึ้นมา เหินออกจากกำแพงเมืองไปก่อน ศิษย์อีกหลายคนทะยานตามหลังไป

…..

บนกำแพงเหนือประตูเมืองทิศเหนือ เฟิงเอินไท่ขมวดคิ้วมองทิศทางที่มีควันไฟลุกโขมงในตัวเมือง

เขาใคร่ครวญอยู่ในใจ คอยสังเกตอยู่เงียบๆ สักพัก สุดท้ายก็รู้สึกไม่สบายใจ สั่งให้คนอื่นๆ อยู่เฝ้าต่อไป หากเกิดเหตุผิดปกติอันใดให้ทางนี้แจ้งเตือนทันที ส่วนเขาพาศิษย์กลุ่มหนึ่งเดินทางกลับไปตรวจสอบอย่างรวดเร็ว

…..

เหนือประตูเมืองทิศใต้ เฟ่ยฉางหลิว เซี่ยฮวาและเจิ้งจิ่วเซียวทั้งสามขึ้นมายังประตูเมืองแล้ว เฉินถิงซิ่วให้ทั้งสามเข้าพบเขาตามลำพัง ถามว่าพวกเขาคิดอะไรอยู่ ต้องการคำอธิบาย

เจ้าสำนักทั้งสามย่อมร่วมมือกันเป็นอย่างดี บอกเพียงว่ามาพบซางเฉาจง แต่หากทางนี้ไม่ให้พบ ทั้งสามคนก็ทำได้เพียงต้องปฏิบัติตาม ไม่ฝืนดึงดัน

“ผู้อาวุโส ในเมืองคล้ายจะเกิดเพลิงไหม้ขึ้นในจุดที่ไป๋เหยาประจำการอยู่ขอรับ”

ศิษย์คนหนึ่งเข้ามารายงาน เฉินถิงซิ่วทิ้งเจ้าสำนักทั้งสามทันที หันหลังเดินออกไปทางกำแพงที่หันเข้าหาตัวเมืองทอดสายตามองออกไปไกลๆ มองจากตำแหน่งแล้วเหมือนจะเป็นจุดที่ไป๋เหยาประจำการอยู่จริงๆ

แต่เขาก็ไม่ได้คิดอันใด มาก ทางนั้นมีกำลังพลอยู่เป็นจำนวนมาก มีไป๋เหยาคอยเฝ้าอยู่ ทั้งยังมีเฟิงเอินไท่นั่งแท่นบัญชาเหล่าศิษย์สำนักหยกสวรรค์ด้วย น่าจะไม่เกิดเหตุร้ายใดขึ้น

เขาเพียงหันไปสั่งการว่า “ส่งศิษย์สองคนไปดูหน่อยว่าเกิดอะไรขึ้น”

….

เผิงอวี้หลานเหินทะยานข้ามหลังคาภายในเมือง ยามที่เข้าใกล้ตำแหน่งของเป้าหมายก็พบว่ามีทหารจำนวนมากรวมตัวกันอยู่ตรงปากตรอกและท้ายตรอกของเป้าหมาย นี่ทำให้นางหนักใจยิ่งกว่าเดิม มองจากสถานการณ์ตอนนี้แล้วหรือว่าจะยังไม่สำเร็จจริงๆ?

นางเหินร่อนลงบนหอสูงหลังหนึ่งในสวนที่มีทหารจำนวนมากชุมนุมกัน มองเห็นเพียงบุตรชายคนโตเฟิ่งรั่วอี้ที่กำลังสั่งการทหารที่บ้างก็ใช้ขวานจามทำลายเสาค้ำคานนอกห้องโถง บ้างก็โยนเชือกออกไปคล้องหลังคาพยายามดึงให้อาคารทรุดลงมา บ้างก็ใช้อาวุธหนักหรือของมีคมทำลายผนังกำแพงอยู่

สรุปคือจุดประสงค์ของอีกฝ่ายชัดเจน เผิงอวี้หลานมองออกว่าเป้าหมายของบุตรชายคือพังห้องโถงให้ถล่มลงมา

มีลูกธนูถูกยิงออกมาจากในห้องโถงเป็นระยะ ใต้ชายคาไม่เพียงแต่จะมีศพกองสุมเท่านั้น แต่ยังมีโลหิตไหลนองเป็นแอ่งด้วย ในอากาศอบอวลด้วยกลิ่นคาวเลือด

ส่วนรอบโถงหลักก็มีการวางรถหน้าไม้ห้อมล้อมรอคำสั่งอยู่ ขอเพียงห้องโถงพังถล่มลงมา ก็จะยิงโจมตีปลิดชีพทันที

ในตรอกที่อยู่ห่างออกไปถึงขนาดที่กำลังขนย้ายเครื่องยิงหินเข้ามา จนใจที่ตรอกคับแคบ ขนส่งเครื่องมือใหญ่โตขนาดนั้นเข้ามาไม่ค่อยสะดวก

เผิงอวี้หลานร่อนลงไป ร่อนลงข้างกายบุตรชาย มองเห็นว่าเกราะหุ้มไหล่ของบุตรชายขาดห้อยร่องแร่ง ซ้ำยังมีรอยเลือดจากการบาดเจ็บด้วย นางถามเสียงเข้ม “อี้เอ๋อร์ เกิดอะไรขึ้น?”

พอเห็นมารดา อารมณ์ของเฟิ่งรั่วอี้ค่อนข้างปั่นป่วน “ท่านแม่ น้องรอง…น้องรองเขา…” เขาไม่รู้ว่าควรจะบอกอย่างไรดี

เผิงอวี้หลานสังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นมารางๆ แล้ว รีบกวาดตามองไปรอบๆ เมื่อไม่เห็นบุตรชายคนรองก็ตวาดถามทันที “เจ้ารองละ?”

เฟิ่งรั่วอี้ก้มหน้า เป็นหนงฉางกว่างที่อยู่ด้านข้างกล่าวขึ้นมาด้วยความเสียใจว่า “เสียใจด้วยขอรับฮูหยิน หยวนกังลูกน้องของหนิวโหย่วเต้าพากองกำลังกลุ่มเล็กๆ บุกเข้ามากะทันหัน แม่ทัพรองประมาท โชคร้ายพลาดท่าให้ไอ้คนถ่อยหยวนกังผู้นั้นขอรับ”

เจี๋ยเอ๋อร์ตายแล้วหรือ? เผิงอวี้หลานประหนึ่งถูกสายฟ้าฟาด สีหน้าซีดเผือด ลมหายใจถี่กระชั้น ค่อนข้างมึนงง

หนงฉางกว่างรีบเอ่ยว่า “ฮูหยิน ตอนนี้ยังมิใช่เวลามานั่งเสียใจกับความตายของบุตรธิดานะขอรับ ซางเฉาจงยังคงตอบโต้อยู่ในห้องโถง พวกเราจะชักช้าต่อไปไม่ได้แล้ว ฮูหยินมาได้จังหวะพอดี ได้จังหวะสำหรับชำระแค้นให้แม่ทัพรองพอดีขอรับฮูหยิน!” แทบจะเป็นการร้องตะโกนด้วยซ้ำ

เขารู้ดีว่าเผิงอวี้หลานก็เป็นผู้บำเพ็ญเพียรที่แข็งแกร่งคนหนึ่ง มาได้จังหวะพอดี เขาจึงเอ่ยกระตุ้นให้ลงมือ

เผิงอวี้หลานพลันได้สติกลับมา ใบหน้ายังคงฉายแววเศร้าหมองที่สูญเสียบุตรชายไป แต่มือชักกระบี่ออกมา เคลื่อนกายทะยานขึ้นไป โฉบไปยังชั้นสองของตัวเรือนก่อน หลบเลี่ยงลูกธนูที่ยิงออกมาจากด้านหน้า เท้าเตะยันตัวเรือนแล้วบิดตัวทะยานออกไป เสมือนเหินร่อนลงมาจากฟ้า พุ่งแหวกอากาศผ่านหลังคาห้องโถงลงไปยังด้านล่าง

พอเห็นเช่นนี้ หนงฉางกว่างกำสองมือเข้าหากันด้วยความตื่นเต้น ดวงตาเปล่งประกาย ความวิตกร้อนรนก่อนหน้านี้สลายหายไปแล้ว

ภายในห้องโถง พวกซางเฉาจงมองเห็นสถานการณ์ด้านนอกผ่านประตูใหญ่ที่พังเสียหายไป เห็นว่าเผิงอวี้หลานมาแล้ว

“แย่แล้ว เกรงว่าเผิงอวี้หลานจะกลายเป็นสุนัขจนตรอกแล้ว ได้ยินว่าสภาวะของสตรีนางนี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าไป๋เหยาเลย!” หลานรั่วถิงตะโกนบอกข่าวร้าย ในวาจาไม่มีความเคารพในฐานะแม่ยายของซางเฉาจงอีกต่อไป มาถึงตอนนี้แล้ว ไม่มีผู้ใดแยแสเรื่องนี้อีกต่อไป

ขณะที่เพิ่งกล่าวจบ เขาก็เห็นเผิงอวี้หลานพุ่งขึ้นสู่ท้องนภา มองเห็นความเคลื่อนไหวของเผิงอวี้หลานผ่านทางช่องหลังคาที่พังเสียหาย

“พวกเจ้าหลีกไป!” หยวนกังค่อยๆ ขยับดาบเตรียมป้องกัน ยกดาบขึ้นพาดในแนวนอน เงยหน้าจ้องมองตามเส้นทางการเหินทะยานเข้ามาของเผิงอวี้หลาน สีหน้าดุดัน ไอพลังบางอย่างกำลังก่อตัวขึ้นมา

“ข้าจะร่วมเป็นร่วมตายกับหยวนเหยี่ยด้วย!” ซางเฉาจงกลับยกดาบง้าวในมือขึ้นมา โบกมือสั่งให้พวกหลานรั่วถิงถอยไป แววตาเปี่ยมด้วยความโกรธแค้น ตระกูลเฟิ่งโหดเหี้ยมไร้น้ำใจขนาดนี้ เขาชิงชังจนอยากจะขยี้ทุกคนในตระกูลเฟิ่งให้แหลกเป็นเถ้าธุลีใจแทบขาดแล้ว ครั้งนี้เกลียดชังคนตระกูลเฟิ่งเข้าไปถึงก้นบึ้งจิตใจอย่างแท้จริง

อย่าว่าแต่เขาเลย หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นต้องมาเผชิญกับเหตุการณ์เช่นนี้ ไหนเลยจะยังเหลือสายใยญาติมิตรอันใดระหว่างทั้งสองฝ่ายอีก นับแต่โบราณมา เหตุการณ์แก่งแย่งอำนาจมากมายก็ล้วนเป็นเช่นเดียวกัน กรณีนี้ก็ไม่มีข้อยกเว้นเช่นกัน แม้แต่การฆ่ากันเองในครอบครัวก็มีอยู่ไม่น้อยเลย

ผู้ใดจะทราบว่าเขาเพิ่งจะกล่าวออกไป หยวนกังก็สะบัดแขนผลักซางเฉาจงจนสะดุดเซถอยหลังไป ยืนได้ไม่มั่นคง ถูกผลักไปอยู่ด้านข้างเสียแล้ว

“คุ้มกันท่านอ๋อง!” ในเวลาเดียวกับที่เอ่ยออกมา หยวนกังก็เงยหน้ามองบนหลังคาไปด้วย

หยวนเฟิงโบกมือเรียกพรรคพวกสิบกว่าคนเข้ามาทันที

เผิงอวี้หลานที่ร่อนลงมาจากฟ้าซัดฝ่ามือหนึ่งลงมา เกิดเสียงดังสนั่น พลังฝ่ามือสายหนึ่งแหวกอากาศลงมาทำลายหลังคา

มีกระเบื้องระเบิดกระจายเข้ามาในห้องโถงทันที คานหลังคาพังถล่ม ฝุ่นคละคลุ้งจนต้องหรี่ตา ทำให้คนที่อยู่ในห้องโถงโกลาหลวุ่นวาย

มีเพียงหยวนกังที่ยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน ยื่นมือออกไปรับเสาคานท่อนหนึ่งที่ร่วงลงมาด้วยมือข้างเดียว พื้นศิลาใต้ฝ่าเท้าพลันแตกร้าวจมลึกลงไป หยวนกังยกแขนเหยียดตัวแล้วขว้างออกไป เสาคานต้นใหญ่พุ่งขึ้นไปหาเงาร่างที่กำลังร่อนลงมาจากอากาศ

เสียงแหวกอากาศพุ่งเข้ามา เผิงอวี้หลานฟันกระบี่ตัดผ่านอากาศ ปราณกระบี่สายหนึ่งพุ่งออกไป ตูม! ฟันเสาคานที่ลอยขวางเข้ามาจนขาดเป็นสองท่อน

หยวนกังฉวยโอกาสย่อตัวแล้วกระโจนขึ้นไป พุ่งตรงขึ้นไปสู่หลังคา ตวัดดาบฟันเผิงอวี้หลานอย่างดุเดือดกลางอากาศ มัดกล้ามเปรอะเปื้อนโลหิตปูดโปนขึ้นทั่วร่าง

“โฮก!”

เสียงพยัคฆ์คำรามดุดันสายหนึ่งแว่วขึ้นกลางอากาศ เขย่าขวัญคน ทุกคนไม่ว่าจะอยู่ด้านในหรือด้านนอกห้องโถงต่างตกตะลึง เสียงพยัคฆ์คำรามมาจากที่ใดกัน?

เผิงอวี้หลานไม่เคยเห็นหยวนกังอยู่ในสายตามาก่อน แม้ว่าหยวนกังจะสังหารบุตรชายนางก็ตาม จนกระทั่งอานุภาพของดาบนี้ปรากฏต่อสายตา การโจมตีที่ทรงพลังและรวดเร็วดั่งสายฟ้าแลบนี้ทำให้นางตกใจขึ้นมาในทันใด รีบตวัดกระบี่เข้าสกัดกั้นในช่วงจวนตัว

เคร้ง! เสียงปะทะดังสนั่นอยู่กลางอากาศ

ภายใต้การปะทะกันอย่างดุเดือดของทั้งสอง ฝุ่นควันฟุ้งกระจาย ลมกระโชกที่ระเบิดออกมาอย่างรุนแรงดูชัดเจนราวกับจับต้องได้ คลื่นอากาศที่ปรากฏเป็นรูปเป็นร่างกระเพื่อมเป็นวงดั่งระลอกคลื่น ภายใต้แสงตะวันที่สาดส่องลงมา ขับเน้นให้บรรยากาศดูแปลกประหลาดยิ่งกว่าเดิม

คนที่อยู่ภายในห้องโถงต่างเงยหน้ามองขึ้นไปเมื่อได้ยินเสียงดังสนั่น ราวกับได้เห็นภาพมายาฉากหนึ่ง เงาร่างสองสายที่พุ่งเข้าปะทะกันถูกคลื่นอากาศที่ก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างดีดออกจากกันห

พวกซางเฉาจง ซางซูชิง เหมิงซานหมิงและหลานรั่วถิงที่เงยหน้ามองอยู่ต่างตกตะลึงและมึนงง ไม่คิดเลยว่าหยวนกังจะกระโดดได้สูงถึงเพียงนั้น แล้วก็ยิ่งไม่คิดเลยว่าหยวนกังจะสามารถปะทะกับเผิงอวี้หลานตรงๆ ได้

ฝุ่นควันภายในห้องโถงถูกคลื่นอากาศที่แผ่กระจายออกไปพัดออกไปจนเกลี้ยง กระเบื้องที่เหลือติดหลังคาอยู่ก็ถูกกวาดพัดออกไปจนหมดเช่นกัน

ในสายตาของคนที่อยู่ด้านนอกห้องโถง ฝุ่นควันจำนวนมหาศาลล้นทะลักออกมาจากห้องโถงที่พังทรุดโทรมหลังนั้น ภาพที่คนทั้งสองปะทะแล้วแยกออกจากกันท่ามกลางฝุ่นควันบนหลังคาที่ดูคล้ายระลอกคลื่น คนที่อยู่ด้านนอกก็มองเห็นได้อย่างชัดเจนเช่นกัน

ฝีเท้าของหยวนกังที่ถือดาบพาดขวางสะเปะสะปะ ถอยกรูดไปตามคานที่แตกหักบนหลังคา

เผิงอวี้หลานที่ตั้งท่าป้องการในช่วงจวนตัวก็ร่วงหล่นลงบนหลังคาที่หักพัง เซถอยไปหลายก้าวเช่นกัน

ทั้งสองเซถอยออกไปพร้อมกัน แล้วก็แทบจะหยุดลงในเวลาเดียวกัน

เผิงอวี้หลานถือกระบี่พาดขวาง มองดูหยวนกังที่ร่างกายเปรอะเปื้อนโลหิตไปหมดทั้งตัวด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความตะลึงสงสัย คนผู้นี้อาศัยเพียงกำลังอันป่าเถื่อนเข้าปะทะกับตน บนโลกนี้มีคนที่ทรงพลังขนาดนี้อยู่ด้วยหรือ?

นางถึงกับรู้สึกสงสัยขึ้นมาเล็กน้อยว่าตนเข้าใจผิดไปเองหรือเปล่า แต่เมื่อครู่ตอนที่ได้รับแรงโจมตีจากอีกฝ่าย นางรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าไม่มีร่องรอยของพลังปราณใดๆ แฝงปะปนมาด้วยเลย

หยวนกังแยกเท้าออกเล็กน้อย ย่อตัวตั้งท่านั่งม้าอยู่บนคานที่เฉเอียงเล็กน้อย ถือดาบพาดขวาง จ้องมองเผิงอวี้หลานด้วยแววตาเย็นชา ท่าทางนั้นดูคล้ายเสือดาวที่พร้อมจะกระโจนเข้าใส่ได้ทุกเมื่อ

เฟิ่งรั่วอี้มองดูพลางกลืนน้ำลายที่แห้งผาก ไม่คิดเลยว่าหยวนกังจะต่อสู้กับมารดาตนอย่างสูสีได้ แล้วก็ไม่แปลกใจเลยที่เจ้ารองจะสิ้นชีพเพราะคนผู้นี้ในกระบวนท่าเดียว ยามนี้พอนึกถึงตอนที่ตนพุ่งเข้าไปโจมตีอีกฝ่ายขึ้นมา คิดๆ ไปก็เสียวสันหลังวาบ ความหวาดกลัวตกค้างอยู่ในใจ

เวลานี้เขาเพิ่งตระหนักได้ว่าตนโชคดีที่รอดชีวิตจากหยวนกังมาได้

คนที่อยู่ทั้งในและนอกห้องโถงต่างหยุดนิ่ง ล้วนเงยหน้ามองทั้งสองคนที่ประจันหน้ากันบนหลังคาด้วยความตกตะลึง

“หยุดมือ!” เสียงตวาดสายหนึ่งแว่วเข้ามา

หยวนกังและเผิงอวี้หลานที่อยู่บนหลังคาต่างหันไปมองเล็กน้อย มองเห็นไป๋เหยานำคนกลุ่มหนึ่งเหินทะยานเข้ามา

ชิ้ง! เผิงอวี้หลานฟันส่งปราณกระบี่สายหนึ่งโจมตีเข้าใส่หยวนกัง ขณะเดียวกันก็กระทืบเท้าคราหนึ่ง เกิดเสียงดังโครม ร่างนางพลันจมหายลงไปในห้องโถง

ไป๋เหยาพาคนมาแล้ว นางไม่สนใจจะต่อสู้กับหยวนกังอีกต่อไป ไม่สนใจล้างแค้นแทนบุตรชายอีก สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือต้องชิงฆ่าซางเฉาจงให้ได้ก่อน มิเช่นนั้นบุตรชายของตนจะต้องตายเปล่า ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ ความหวังก็ยังมีอยู่ ขอเพียงสังหารซางเฉาจงได้ ขอเพียงตระกูลเฟิ่งได้กุมอำนาจปกครองมณฑลหนานโจว ก็ไม่ต้องกลัวว่าวันหน้าจะไม่มีโอกาสให้ล้างแค้น!

ทว่าหยวนกังเองก็เป็นคนที่ตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา แล้วก็ยังเป็นคนที่ต่อสู้ด้วยความสงบเยือกเย็น จึงไม่ถูกปราณกระบี่ของนางหลอกล่อ เขาพลันทิ้งตัว ใช้แขนข้างหนึ่งทุบเสาคานที่พังเสียหายให้หัก ร่วงหล่นลงไปด้านล่าง ปราณกระบี่สายนั้นเกือบจะเฉียดโดนร่างเขา

“ยิงธนู!”

ภายในห้องโถงยังมีคนอีกคนหนึ่งที่รับมือกับสถานการณ์อย่างเยือกเช่นเช่นกัน เหมิงซานหมิงที่เห็นสถานการณ์ผิดปกติพลันตะโกนขึ้นมา

พวกหยวนเฟิงที่ตั้งแนวป้องกันเป็นวงโค้งอยู่รอบพวกตัวซางเฉาจงพลันกระหน่ำยิงหน้าไม้ใส่เผิงอวี้หลานที่ร่วงลงมาจากหลังคาทันที

ท่ามกลางลูกศรที่พุ่งออกไป เผิงอวี้หลานที่ร่วงลงมากระตุ้นพลังสร้างเกราะปราณคุ้มกายขึ้น ลูกศรที่พุ่งเข้ามาหยุดนิ่งอยู่กลางอากาศ หัวศรแหลมคมที่อยู่ห่างจากนางไปสามฉื่อยากจะขยับเข้าไปต่อได้

พริบตาที่นางสะบัดแขนปัดลูกศรตรงด้านหน้าให้กระจายออกไป หยวนกังที่ร่วงลงมาใช้เท้าถีบคานไม้เอียงโย้ท่อนหนึ่ง ดีดตัวขึ้นแล้วร่อนลงบนพื้น หยัดตัวลุกขึ้นยืนตรงหน้าซางเฉาจงอย่างมั่นคง ยกดาบพาดขวางอยู่ด้านหน้าอีกครั้ง

……………………………………………………………………………….