บทที่ 397 มีลูกชายเป็นบาปชัด ๆ

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 397 มีลูกชายเป็นบาปชัด ๆ

บทที่ 397 มีลูกชายเป็นบาปชัด ๆ

เมื่อเห็นสีหน้าของเจ้าของบ้าน เสี่ยวเถียนสัมผัสได้ถึงวิกฤต นี่เขากำลังรู้สึกเสียใจอยู่หรือ? ไม่ได้การแล้ว เธอชอบเรือนหลังนี้มาก และถ้าเสียมันไปจะไปหาที่เหมาะ ๆ แบบนี้ได้ที่ไหนอีกล่ะ?

เดิมทีเด็กหญิงเป็นคนค่อนข้างฉลาด เธอกลอกตาคิดก่อนจะดึงแขนเสื้อของย่าบุญธรรม

“คุณย่าบอกหนูทีค่ะว่าเมื่อไรเราจะได้อยู่ที่นี่คะ?”

อวี่รุ่ยหยวนผงะไปครู่หนึ่ง แต่ก็ตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว

“ถ้าทันทีเลยน่าจะยากนะ เพราะเราทำร้านด้วย เราต้องแบ่งตัวอาคารให้เป็นสัดส่วนจ้ะ”

เพียงประโยคเดียว ความเสียใจหายวับไปในทันที ถูกต้อง มันมีชั้นบนด้วย ตอนนี้ใครจะอยู่เรือนสี่ประสานแบบปกติกันแล้วล่ะ?

จะทำอะไรก็ไม่สะดวกทั้งนั้น

อีกอย่างนะ เรือนราคาหมื่นเก้า มีอาคารสามหลังให้จัดแบ่งพร้อมเสร็จสรรพ ไม่ว่าจะคำนวณอย่างไร เจ้าของบ้านก็รู้สึกว่าการซื้อขายในคราวนี้ตนได้กำไรแล้ว

“สาวน้อย ถ้าเธอทำธุรกิจแล้วคิดจะจ้างคนงานด้วย มันจะแบ่งอาคารไม่ได้นะ”

สุดท้ายเจ้าของก็เลือกที่จะโอนสิทธิ์บ้านให้กับเสี่ยวเถียน แต่ก่อนโอนเขายังเกลี้ยกล่อมอีกฝ่ายด้วยความจริงใจด้วย

เสี่ยวเถียนกล่าวขอบคุณอย่างซาบซึ้งพร้อมบอกว่าจะเก็บไว้พิจารณา

อวี่รุ่ยหยวนอดหัวเราะไม่ได้เมื่อเห็นหลานคุยกับเจ้าของบ้านอย่างจริงจัง

ตอนที่คุณย่าซูรู้ว่าหลานรักจะซื้อเรือนสี่ประสานจริง ๆ มีดในมือหล่นใส่เขียงเสียงดังโครมคราม

“หมายความว่ายังไงเสี่ยวเถียน หลานจะซื้อบ้านในเมืองหลวงให้พวกเราหรือ?”

ถึงเราจะอยู่เมืองหลวง แต่ยังไม่มีบ้านเป็นของตัวเอง คุณปู่คุณย่าซูจึงรู้สึกอึดอัดอยู่บ้าง

แถมยังคิดคำนวณจากอัตราการทำเงินได้ในตอนนี้ เราจะซื้อบ้านในเมืองได้เมื่อไร

“ใช่ค่ะ เจ้าของเขาย้ายบ้านไปแล้ว อีกสองวันพวกเราก็เข้าบ้านได้แล้วค่ะ”

คุณย่าซูเห็นอวี่รุ่ยหยวนมองหลานสาวด้วยความรัก ก่อนจะถอนหายใจ เธอคิดว่าตัวเองรักหลานมากแล้วนะ ใครจะรู้เล่าว่าหลานสาวกลับรักตัวเองมากกว่าเสียอีก

ปกติพวกของกินของดื่มหรือเสื้อผ้าก็ว่ามากพอแล้วนะ แม้กระทั่งเรื่องซื้อบ้านก็ได้อวี่รุ่ยหยวนจัดการอีก

“รุ่ยหยวน เธอจะตามใจหลานแบบนี้ไม่ได้นะ ถ้าเกิดเขาอยากกินไอศกรีมขึ้นมา เธอก็จะซื้อให้หรือ ไหนจะบ้านอีก ราคามันแพงจนหน้าตกใจเลยนะ” คุณย่าซูพูด

ที่รู้ว่าบ้านแพงเพราะสามีเคยไปถามมาน่ะสิ

หลังจากนั้นคุณย่าซูก็มองเสี่ยวเถียน “เด็กคนนี้ ทำไมถึงอยากจะได้บ้านนัก? ปู่ย่าบุญธรรมใจดีใช่ไหม?”

เมื่ออวี่รุ่ยหยวนได้ยินเช่นนั้นก็รู้ว่าอีกฝ่ายเข้าใจผิดแล้วจึงรีบบอก “ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ บ้านหลังนี้ใช้เงินเสี่ยวเถียนซื้อเอง”

จากนั้นก็เล่าเรื่องที่หลานขายของหาเงินให้ฟัง

เดิมทีเธอกลัวว่าคุณย่าซูจะไม่เชื่อด้วยซ้ำ

แต่หลังจากเล่าออกไป อีกฝ่ายกลับหัวเราะแทน

“เสี่ยวเถียนโชคดี รุ่ยหยวนเองก็เป็นคนของเรา ฉันไม่ปิดบังแล้วกันนะ ที่บ้านเรามีวันนี้ได้เพราะความดีความชอบของหลานเลย”

อวี่รุ่ยหยวนโล่งใจเมื่อได้ฟัง

ย่าทั้งสองต่างก็มีความคิดเป็นของตัวเอง และกังวลว่าอีกฝ่ายจะคิดว่าที่เสี่ยวเถียนเป็นแบบนี้มันผิดปกติหรือเปล่า

มันจะมีหลานบ้านใครที่โชคดีถึงขนาดที่ตอนไปเดินเล่นครั้งล่าสุด เธอเก็บของอะไรกลับมาด้วยก็ไม่รู้ แต่แลกมาเป็นบ้านได้หนึ่งหลังเนี่ย?

งั้นทุกคนก็ออกไปล่าสมบัติแล้วกัน ใครจะไปอยากทำงาน

เรื่องที่ครอบครัวเราซื้อบ้านรู้ถึงหูเครือญาติใกล้ชิดทุกคน

เถาฮวาร้องลั่น เราต้องแสดงความยินดีตามประเพณีของบ้านถึงจะดีนะ

คุณย่าซูก็คิดเช่นนั้นเหมือนกันจึงตอบตกลง

เธอเขียนจดหมายเล่าเรื่องนี้ให้ที่บ้านฟังโดยฝากหลานชายไปส่งแทน

ตอนที่คนทางบ้านได้รับมัน พวกเขาแทบไม่เชื่อสายตา

“ฉันคิดว่าคุณอ่านผิดเสียอีก!” หวังเซียงฮวาส่ายหัวก่อนจะหัวเราะ

สามีไม่มีความรู้ การจะอ่านผิดมันเป็นไปได้อยู่แล้ว ไม่ใช่แค่ตัวเธอเท่านั้น แต่ซูเหล่าต้าก็คิดว่าตนอ่านผิดเหมือนกัน

บ้านในเมืองหลวงไม่น่าจะราคาถูกหรือเปล่า ต้องใช้เงินหลายพันหยวนเลยใช่ไหม?

จดหมายครั้งก่อนก็เล่าว่าเปิดร้านอาหาร ใช้เงินเยอะขนาดนั้นทำไมซื้อบ้านได้ไวขนาดนี้?

หรือร้านอาหารจะทำเงินได้เยอะ แค่ระยะเวลาสั้น ๆ ก็ซื้อบ้านได้หลังนึงแล้ว?

“ไม่งั้นเราไปเยี่ยมกันที่เมืองหลวงหน่อยไหมล่ะ? ไม่แน่นะว่าแค่ก้มหัวอาจจะเจอทองก็ได้?” ฉีเหลียงอิงคิดอยู่นานก่อนจะเอ่ยขึ้น

หลังจากที่เหลียงซิ่วไป เธอรู้สึกว่าโรงงานขนมไข่ไม่มีอะไรเลย

ซูเหล่าเอ้อร์จ้องภรรยา “คุณคิดอะไรเนี่ย? ถ้าแค่ก้มหัวแล้วเจอทอง เขาจะให้คนนอกเข้าเมืองได้ยังไง? คงจะโดนคนในท้องที่ตีหัวแตกไปแล้ว”

ฉีเหลียงอิงหัวเราะเมื่อสามีพูดเช่นนั้น ก็จริง เธอคิดได้อย่างไรเนี่ย?

เดี๋ยวก่อน ๆ มันอาจจะจริงก็ได้นะ

“พ่อคุณ มันอาจจะจริงก็ได้นะ คนอื่นเก็บไม่ได้แล้วเสี่ยวเถียนล่ะ”?

ฉีเหลียงอิงจำได้ว่าเสี่ยวเถียนเคยเก็บกล่องทองคำบนเขามาได้

ทุกคนเงียบทันที ถ้าแบบนี้ก็เป็นไปได้นะ

“ในจดหมายได้บอกไหมว่าซื้อบ้านยังไง?” เหล่าซานถาม

พี่สะใภ้รองพูดแบบนั้น จู่ ๆ ก็คิดขึ้นมาว่าเรื่องนี้อาจจะเกี่ยวกับเสี่ยวเถียน

เหล่าต้าส่ายหัว

“ไม่ได้บอก แค่บอกว่าซื้อบ้านแล้ว น่าจะกลัวคนอื่นอ่าน”

หลังจากว่าจบ เขาก็ลังเล เพราะเดิมทีก็เป็นคนระมัดระวังอยู่แล้ว และจะไม่เผยจุดอ่อนให้คนอื่นได้ใช้ประโยชน์ด้วย

“พี่ว่าเรื่องนี้เราเก็บไว้ในใจก็พอแล้ว ถ้าคนอื่นรู้จะไม่สบายใจเอา”

หลายปีมานี้ บ้านเราเหมือนจะขมีขมันกันมาก คนในชุมชนการผลิตส่วนใหญ่จึงนินทาอยู่เสมอ เพราะงั้นอย่าให้ใครรู้เลยว่าครอบครัวเราซื้อบ้านในเมืองหลวงแล้ว

ใครจะไปรู้ว่าจะมีใครมาสร้างปัญหาให้หรือเปล่า

มนุษย์ก็เป็นแบบนี้ ในตอนที่ทุกคนมีชีวิตไม่ต่างกัน คุณก็ดี ฉันก็ดี ทุกคนดีหมด แต่แล้วจู่ ๆ ก็มีครอบครัวหนึ่งชีวิตดีขึ้นทันตา คนอื่น ๆ จะไปยอมได้อย่างไรล่ะ

ส่วนใหญ่ก็เป็นผู้ใหญ่ แถมหลายปีมานี้เห็นมาไม่น้อยแล้ว พอเหล่าต้าโดนเตือนสติก็รีบพยักหน้าอย่างแรงว่าจะไม่แพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป

“จากนี้ไป ชีวิตเราจะยิ่งมีความหวังขึ้นสินะ!” ซูเหล่าซานเอ่ยอย่างซาบซึ้ง

ถึงจะพูดเรื่องซื้อบ้านออกไปไม่ได้ แต่มีความสุขอยู่ในใจก็ไม่ได้แย่อะไร

“ตอนนี้ฉันยังไม่มีความคิดอื่น แค่หวังว่าเด็ก ๆ จะมีชีวิตที่ดี ถ้าพวกเขามีอนาคต พวกเราถึงจะมีความหวังจริง ๆ” ฉีเหลียงอิงยิ้มจาง ๆ

อันที่จริงเธอรู้สึกน้อยใจพอสมควร

ในพี่น้องทั้งสาม เสี่ยวอู่ของครอบครัวเหล่าซานเรียนโรงเรียนทหาร แล้วก็มีเสี่ยวเถียนที่แสนฉลาดด้วย ต้องกระตุ้นได้อยู่แล้ว

ส่วนครอบครัวพี่ใหญ่ก็มีโส่วเวินกับซานกงที่เรียนมหาวิทยาลัยแล้ว เหลือแค่เสี่ยวลิ่วที่ยังเรียนมัธยมปลายอยู่ แต่เด็กคนนี้เป็นเด็กที่มุ่งมั่นตั้งใจ อนาคตไกลแน่นอน

มีแค่ครอบครัวของเธอเท่านั้นที่ซื่อเลี่ยงกับเสี่ยวซื่อเข้ามหาวิทยาลัย แต่คนรองเพิ่งจะเข้า ส่วนคนโตก็ไม่ได้แย่อะไร

เสี่ยวจิ่วยิ่งซนอีก แล้วก็เสี่ยวชีที่ไม่ได้ทำให้เธอเป็นห่วงด้วย

ใครว่ามีลูกเยอะเป็นวาสนา นี่มันเป็นบาปชัด ๆ!