บทที่ 440 นิมิตและความเป็นจริง

เจ้าของร้านพิศวง

บทที่ 440 : นิมิตและความเป็นจริง

“ตอนนี้ ผมเป็นห่วงคุณมากกว่าแล้ว” หลินเจี๋ยพูดช้า ๆ “ผมรู้แล้วว่าตัวเองเป็นใคร”

ซิลเวอร์ถอนหายใจเบา ๆ “เปล่าหรอก ข้าก็เพิ่งรู้เช่นกัน”

เมื่อได้ยินข่าวนี้ หลินเจี๋ยก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาก ซิลเวอร์เป็นเพื่อนที่เขาใส่ใจมากจริง ๆ

อย่างน้อย ในสายตาซิลเวอร์ เพื่อนที่เธอสร้างก็เป็นแค่เจ้าของร้านหนังสือไร้จุดโดดเด่นคนหนึ่ง

สำหรับหลินเจี๋ย การรักษาความรู้ความเข้าใจของเจ้าของร้านหนังสือธรรมดา ๆ กลายเป็นเรื่องสำคัญ

หลินเจี๋ยในตอนนี้ใช้ร่างมังกรเพื่อปรับตัวเข้ากับความสามารถหลากหลายที่ตนมี จะกล่าวว่า ‘แม้จะเป็นมังกรก็ไม่เป็นไร’ ก็คงเป็นมุกเก่าคร่ำครึ แต่การเปลี่ยนร่างเป็นมังกรอะไรนั่นนับได้ว่าเป็นหนึ่งในความฝันของลูกผู้ชายโดยแท้จริง

แค่คิดก็ตื่นเต้นแล้ว

หลินเจี๋ยมองลงมายังมิคาเอลผู้สติหลุดลอยเพราะความฝันของตน จากนั้นจึงโบกมือสลายวิญญาณของเขาไป

มิคาเอลผู้สร้างวิถีแห่งดาบอัคคีและเข้าใกล้ความเป็นเทพดั้งเดิมมากกว่าใคร สูญสลายสิ้นภายใต้แสงอาทิตย์

หลินเจี๋ยมองสภาพร่างกายของตนเองอย่างระมัดระวัง ดูเหมือนว่าการเคลื่อนไหวใหญ่ของเขาจะทำให้เกิดผลกระทบร้ายแรงต่อซอย 23 ได้

หลังจากสังหารมิคาเอล หลินเจี๋ยก็เคาะไปบนอากาศ และไม่นานก็ได้ยินเสียงสั่น ๆ เสียงหนึ่ง

เมตาตรอน…

เอลฟ์ผู้ล่องลอยนอกโลกคือตัวตนที่มิคาเอลติดต่อหลังได้รับเนตรหยั่งรู้มา

และเป็นเพราะได้เมตาตรอนผู้ล่องลอยอยู่นอกโลกนี้มาเป็นพวก มิคาเอลจึงได้เนตรวิเศษ ‘เนตรมรณะพริบตา’ อีกหนึ่งดวงจากซากปรักหักพังเมืองแห่งเอลฟ์

“คุณเห็นผมไหม?” หลินเจี๋ยถาม

เมตาตรอนไม่กล้าตอบ ในยุคสมัยที่สองซึ่งเป็นของเอลฟ์ เมตาตรอนทำลายเมืองเอลฟ์ทั้งเมืองเนื่องจากการจุติของหลินเจี๋ย ดังนั้นตนจึงเสียบ้านเกิดไป

เขาติดอยู่นอกกำแพงแห่งโลกชั่วชีวิต ทำได้แค่เพียงจ้องมองลงมายังโลกภายนอก

“ส…สถานะของท่านสูงส่งเกินไป ข้ามิอาจมองเห็นได้เลย…” เมตาตรอนตอบเสียงสั่น ๆ “แต่…”

“แต่อะไร?” หลินเจี๋ยถาม

“ท่ามกลางซากของเมืองเขตล่าง ข้ามองเห็นไม่ชัด มันถูกหมอกสีเทาปกคลุมไว้หมดเลย แต่มีพลังหนึ่งซึ่งมีรากฐานเดียวกันกับท่านขอรับ” เมตาตรอนตอบเสียงต่ำ

หลินเจี๋ยเงียบไปสองสามวินาที จากนั้นจึงโบกมือกล่าว “เข้าใจแล้ว”

“ท่าน…มิใช่ว่าจะฆ่าข้าหรือ?” เสียงของเมตาตรอนดังเลือนรางจากนอกกำแพงหมอก

“คุณไปทำอะไรให้น่าฆ่าล่ะ? การถูกลงโทษคุมขังไว้นอกกำแพงหมอกยังเจ็บปวดไม่พอเหรอ?” หลินเจี๋ยดูเหมือนจะเผยรอยยิ้มธุรกิจเหมือนที่เคาน์เตอร์ร้านหนังสืออีกครั้ง

ไม่รู้แค่ว่า มังกรหัวเราะได้ด้วยเหรอ?

เมตาตรอนส่งเสียงคร่ำครวญอย่างไม่ชอบใจ ในฐานะผู้เหลือรอดคนเดียวของอาณาจักรเอลฟ์โบราณ ซึ่งพัฒนาเหนือล้ำกว่าใครทั้งหมดโดยไม่ตั้งใจ นี่คือเรื่องที่เจ็บปวดมากจริง ๆ

หลินเจี๋ยเมินเมตาตรอน และเพ่งจิตของเขาไปทางซิลเวอร์อีกครั้ง

“ซิลเวอร์ คุณบอกว่าคุณชนะแล้ว” หลินเจี๋ยส่งเสียงไปหาซิลเวอร์ “แต่บางทีมันอาจยังไม่จบนะครับ”

ซิลเวอร์ผู้อยู่ใต้พื้นเขตกลางตะลึง “เจ้าของร้านหลิน…ท่าน…”

“ผมก็แค่ดวงจิต ยังต้องกลับสู่ร่างที่ใต้พื้นดินนั่น ยังคงมีบททดสอบมากมายสำหรับผมในการคืนร่างและพลังที่มีครับ”

รอยยิ้มของซิลเวอร์จางลง เธอมองธุลีสีขาวซึ่งปลิดปลิวบนท้องฟ้าด้วยแววตาซับซ้อน “ไม่หรอก ท่านจะชนะ และข้าก็เช่นกัน”

หลังพูดจบ ก่อนหลินเจี๋ยจะทันได้ตอบ ซิลเวอร์ก็ยกมือขึ้นทันทีราวอยากพิสูจน์บางสิ่ง…

เนิ่นนานมาแล้ว เนื่องด้วยความกลัวในพลังของหลินเจี๋ย กำแพงสูงจึงถูกสร้างขึ้นปกป้องโลกจากแดนนิมิต และตอนนี้ มันกำลังจะถูกฉีกทิ้ง…

หลินเจี๋ยเห็นการกระทำของซิลเวอร์และไม่รู้จะประเมินมันเช่นไร…เขาก็แค่ดวงดาวหลงทิศ ต้องกลับไปยังร่างต้น ผลยังคงไม่แน่ชัด แต่ซิลเวอร์กลับทุ่มสุดตัวแล้ว

อันที่จริง แดนนิมิตนั้นหลุดการควบคุมก็เพราะหลินเจี๋ยแทรกแซงมันโดยไม่รู้ตัว ตอนนี้หลินเจี๋ยสามารถหยุดการแทรกแซงได้ แต่ในอนาคต หลังจากกลับสู่ร่างนั่น หลินเจี๋ยจะยังคงเจตนารมณ์นี้ไว้ได้หรือไม่?

“คุณจะตัดสินใจเพื่อพวกเขาเหรอ? แค่เพราะคุณไว้ใจผม ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะไว้ใจผมด้วยหรอกนะครับ” หลินเจี๋ยหมายถึงการที่เหล่าสัตว์มายาในแดนนิมิตหลบหน้าหลินเจี๋ยอยู่

ซิลเวอร์เผยยิ้มสว่างไสว มันเป็นรอยยิ้มที่น่ารักที่สุดนับแต่เธอเกิดมา

“ข้าคือผู้ให้กำเนิดสัตว์มายาและนิมิตทั้งมวล” เสียงอันงดงามของซิลเวอร์ลอยจากไกล ๆ สู่โสตประสาทของหลินเจี๋ย “การที่ข้าเลือกเจ้า ก็นับเป็นตัวเลือกของแดนนิมิตทั้งมวลเช่นกัน”

ซิลเวอร์ยกมือขึ้นสูง แสงสีขาวปรากฏขึ้นเปลี่ยนเป็นลำแสง และที่เหนือลำแสงก็ปรากฏม่านพลังทรงครึ่งวงกลมขึ้น

ม่านพลังอันสว่างไสวซึ่งปกคลุมทั่วทั้งนอร์ซินสามารถมองเห็นได้ชัดเจนจากทุกหลืบมุมเมือง

ซิลเวอร์หลับตาลง มือที่ยกขึ้นเปลี่ยนเป็นกำปั้น และวินาทีต่อมา ม่านพลังยักษ์ก็แตกสลาย

กำแพงสูงซึ่งกั้นระหว่างนิมิตและความเป็นจริงพังทลายลง ณ ยามนี้

ที่ชายแดนอาซีร์ซึ่งแบ่งระหว่างนิมิตและความเป็นจริง

หิมะหนาปกคลุมเทือกเขาชั้นแล้วชั้นเล่าราวกับเกล็ดมังกร สายลมหวีดหวิวพัดผ่านท้องนภาและหมู่เมฆ ปัดเป่าหมอกสีเทาท่ามกลางหุบเขา บัลลังก์ยักษ์ซึ่งดูเหมือนภูเขาดูเล็กจ้อยไปถนัดตา

ฝุ่นน้ำแข็งนับไม่ถ้วนบนยอดเขาแปรเปลี่ยนเป็นม่านหมอก ดินทรายอันถูกแช่แข็งและชั้นหิมะปริแตกถล่มลงไปด้วยกันพร้อมหินผา

หุบเขาสั่นไหวโอดครวญ ดวงตาของเขาลืมขึ้น ฝ่ามือมโหฬารเกินเปรียบเทียบทะลวงออกมาจากขุนเขา ตามด้วยร่างใหญ่โต

ราชันย์ยักษ์ตื่นขึ้นอีกครั้ง!

สิ่งที่ปลุกเขาขึ้นในตอนนี้คือการพังทลายของกำแพงหมอกซึ่งเขาอารักขาอยู่

“ซิลเวอร์หรือ?” ดวงตาที่เกือบกลายเป็นหินของสลาเตอร์ ออกัสทัสฉายเค้าลางความประหลาดใจ “เจ้าหรือที่ทำลายกำแพงหมอก?”

สลาเตอร์ ออกัสทัสมองกำแพงหมอกซึ่งค่อย ๆ ปรากฏรอยร้าวดั่งใยแมงมุม อีเธอร์นับไม่ถ้วนกระจัดกระจาย หนาแน่นกว่าโลกแห่งความจริงหลายร้อยเท่าตัว

เมื่อประตูสู่แดนนิมิตเปิดออก อาซีร์จะเข้าสู่ยุคสมัยใหม่

เป็นยุคแห่งโอกาสและอันตราย…

สลาเตอร์ ออกัสทัสอยู่มาหลายหมื่นปี และเห็นอาซีร์ในรุ่นต่าง ๆ มาเนิ่นนาน

ความรุ่งเรืองของมนุษยชาติก่อเกิดจากกำแพงสูงอันแบ่งแยกนิมิตและความเป็นจริงที่ซิลเวอร์สร้าง และแม่มดไลฟ์สร้างกองเพลิงเพื่อปกป้องมนุษย์…

ขณะนี้แม่มดไลฟ์ตายลง แม่มดแห่งพฤกษาก็ถูกซิลเวอร์กลืนกิน ยุคสมัยของมนุษย์กำลังจะสูญสิ้นหรือ?!

สลาเตอร์ ออกัสทัสไม่กล้าคาดเดาว่ายุคสมัยของมนุษยชาติซึ่งทำให้เขาได้พบมนุษย์ที่น่าสนใจมากมายจะดำรงอยู่ได้อีกนานแค่ไหน บางทีหากซิลเวอร์เฝ้ามองต่อไปอีกสักนิด เธอก็อาจชอบมันขึ้นมาก็ได้

โดยเฉพาะเมื่อเขายังคงคิดถึงศิษย์ตัวจ้อยของเขา สลาเตอร์มองไปยังท้องฟ้าอันเต็มไปด้วยดวงดาว และเห็นตัวตนอันเฉิดฉายที่สุดท่ามกลางหมู่ดาว

ดวงดาวชะตาของไวลด์สาดแสงแรงกล้าอย่างผิดปกติ

สลาเตอร์ ออกัสทัสอดถอนหายใจอย่างโล่งอกไม่ได้…เจ้าตัวน้อยยังไม่ทำให้ข้าผิดหวัง

เขายืนขึ้นจากหุบเขาและนั่งลงบนบัลลังก์ของตนอีกครั้ง มองเมืองหลวงแห่งผู้คนและบ้านเกิดของตน ดึงดาบศักดิ์สิทธิ์ขึ้นสนิมออกมาและเอนร่างพิงมัน

เขาเหลือบมองดวงดาวของไวลด์อีกครั้ง และในที่สุดก็หลับตาลงอย่างโล่งใจ

ในขณะเดียวกัน ร่างอันชราเกินไปของเขาก็ค่อย ๆ แข็งเป็นรูปปั้นศิลา หลอมรวมเป็นหนึ่งกับบัลลังก์ไร้เทียมทานของเขา

ในที่สุด ราชันย์ยักษ์ผู้แข็งแกร่งยืนยงก็บรรลุภารกิจชั่วชีวิตของเขา

กำแพงหมอกสูงตระหง่านซึ่งค้ำจุนนอร์ซินอยู่เนิ่นนานพังทลายลงในเสี้ยววินาที อีเธอร์อันหนาแน่นกว้างใหญ่ดุจทะเลทะลักไหลเหมือนคลื่นเข้าสู่โลกแห่งความเป็นจริง ซัดสาดร่างของราชันย์ยักษ์และบัลลังก์ของเขาจมหายสู่กระแสอีเธอร์