บทที่ 441 เจ้าของร้านหลินไปแล้ว

เจ้าของร้านพิศวง

บทที่ 441 : เจ้าของร้านหลินไปแล้ว…

นอร์ซินเขตกลาง

วินเซนต์ผู้เอาชนะกรมตำรวจเขตกลางได้อย่างหมดจด เขาเกือบสังหารผู้ดีทั้งหมดที่ไม่ได้อยู่ใต้การควบคุมของจี้จือซู่ การปฏิวัติครั้งนี้เกือบจะสมบูรณ์แบบแล้ว

วินเซนต์เหลือบมองเหล่าคนงานและสามัญชนที่ถูกควบคุม ทั้งการบอกใบ้และปลุกเร้าใจต่างจบสิ้น การโจมตีเหล่าผู้ดีและต่อสู้ตอบโต้โลกอันไม่ยุติธรรมนี้ก็ขึ้นกับทางเลือกของคนจนเหล่านี้เอง

หลังจากพวกเขาตาสว่าง คนมากมายก็ยังคิดว่าสิ่งที่มนุษยชาติทำนั้นถูกต้อง และพวกเขาจะไม่มีทางหยุด

ยุคสมัยของอาซีร์เปลี่ยนไปแล้วจริง ๆ และยุคสมัยใหม่ได้มาถึงในทุกแง่มุม

วินเซนต์ มูเอน จี้ป๋อหนงและลูกสาวของเขาก็ชนะเดิมพัน

การปฏิวัติครั้งนี้ถูกวางแผนมาเนิ่นนาน นับแต่ตอนที่ศาสนาแห่งตะวันตั้งรกรากในเขตกลาง จี้จือซู่ประมูลหนังสือให้กับผู้ดีและผู้มีพลังเหนือธรรมชาติส่วนใหญ่ และจากนั้นก็เป็นการควบคุมของมูเอนในการบุกสู่เขตกลางเพื่อปลุกแม่มดแห่งพฤกษา ทุกอย่างถูกกรุยทางมาแสนนานได้จบลงเสียที

วินเซนต์มองไปที่หัวของอดีตผู้กำกับการกรมตำรวจเขตกลางซึ่งดูถูกเขามาตลอดบนกิโยติน เขาถือตนว่าเป็นลูกหลานขุนนาง แต่กลับทำตัวเสเพลไปวัน ๆ ในที่สุดหัวของเขาก็กลิ้งลงดุจลูกฟุตบอล โลหิตทะลักจากลำคอ

วินเซนต์เดินยิ้มจากไป ซุกซ่อนทั้งชื่อและผลงานตน

เขาเดินลัดเลาะตามหลืบ ปะปนในฝูงชนหนาแน่นสู่ร้านหนังสือ

มูเอนกำลังเช็ดแก้ว ร้านหนังสือทั้งร้านเงียบงันแตกต่างกับโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง และยังมีนกสีฟ้าไม่ทราบชนิดเกาะอยู่ที่ขอบหน้าต่างด้วย

เมื่อคิดสักนิด เขาก็เข้าใจได้ว่านี่คือจี้จือซู่

จี้จือซู่ไม่เคยมาหามูเอนอย่างเป็นทางการ แม้เธอจะกลัวถูกเขตกลางจับได้ แต่เพื่อการปฏิวัติที่ราบรื่น จี้จือซู่จึงยังระแวงอยู่นิดหน่อย

“หลังจากนี้สองวัน ฉันจะสามารถรายงานทุกอย่างต่อเจ้าของร้านหลินได้ ฉันคิดว่าเขาน่าจะมีความสุขมากค่ะ”

มูเอนวางแก้วที่เช็ดจนใสปิ๊ง สะท้อนใบหน้าจิ้มลิ้มงดงามดุจตุ๊กตาของเธอลง และเมื่อกล่าวถึงหลินเจี๋ย รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบาง ๆ

เธอเลื่อนแก้วที่บรรจุเครื่องดื่มเย็นไปตรงหน้าวินเซนต์

วินเซนต์ก้มหน้าลงยิ้ม ๆ และกำลังจะเอื้อมมือไปรับแก้ว ทว่าก่อนที่เครื่องดื่มโปร่งใสอันนิ่งสงบจะถูกแตะต้อง วงคลื่นกระเพื่อมวงหนึ่งก็ปรากฏขึ้นดุจรัศมี

วินเซนต์ลืมตาขึ้นมองมูเอนโดยไม่รู้ตัว ซึ่งอีกฝ่ายก็แปลกใจเช่นกัน

“เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ?” เสียงแหบพร่าของวินเซนต์ดังขึ้นอย่างสงสัย หลังจากครุ่นคิดสักพัก มูเอนก็มองขึ้นไปยังท้องฟ้าซึ่งค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีม่วง

เธอสูดหายใจลึก เรียกสติคืนมา และกล่าวว่า “กำแพงหมอกถูกทำลายแล้ว”

วินเซนต์ก็รู้สึกเช่นกัน

“นี่ก็เป็นแผนของเจ้าของร้านหลินเหรอครับ/คะ?” วินเซนต์และนกสีฟ้าที่จี้จือซู่สิงสู่ถามขึ้นพร้อมกัน

ทว่ามูเอนกลับกุมอกซ้ายของตน ความรู้สึกประหลาดปรากฏขึ้นในใจ มือของเธอกำขอบประตูอย่างกระสับกระส่าย

เมื่อเห็นการตายของมิคาเอล โจเซฟก็กำมือแน่น ในขณะเดียวกันก็เล่าให้อดีตเพื่อนร่วมงานของเขาฟังความจริงทั้งหมดที่ตนสืบมาของวาลเลซ

แคลร์แสดงสีหน้าไม่เชื่อหู คงยากหากจะกล่อมให้เธอเชื่อว่าวาลเลซเป็นคนเลว เขาจึงขอให้เธอแค่อย่ามากวนก็พอ

เมื่อเห็นว่าแคลร์ยังอยากอธิบายบางอย่าง โจเซฟก็ผลักเธอออกไป ส่งงานช่วยเหลือผู้คนให้เธอแทนทั้งหมด

“เจ้าของร้านหลิน โปรดอนุญาตให้ผมไปช่วยเมลิสซ่าด้วยเถอะครับ” โจเซฟวิ่งไปหามังกรหลินเจี๋ยและถามเสียงดัง

หลินเจี๋ยมองลงมาที่เขา และกล่าวว่า “ไม่เป็นไรหรอกครับ ซิลเวอร์ชอบเด็กคนนั้นจริง ๆ”

ซ…ซิลเวอร์? โจเซฟกลืนน้ำลายเอื๊อกใหญ่อย่างอดไม่ได้ แม่มดบรรพกาลน่ะนะ?

“ถ้าคุณอยากไปไหน ไปช่วยพวกจี้จือซู่เถอะครับ” หลินเจี๋ยผู้ได้รับพลังบางส่วนรู้ว่าจี้จือซู่ มูเอน และคนอื่น ๆ ทำอะไรกันอยู่ได้แทบทันที

หรือก็คือ รู้ว่าก่อนที่เขาและเจ้าดำจะรวมเป็นหนึ่ง พวกเขาคิดอะไรกันอยู่

หลินเจี๋ยอับจนคำพูด เขาเพิ่งมาตระหนักเอาตอนนี้เองว่าคนเหล่านี้ทำสิ่งต่าง ๆ สำเร็จมากมายโดยพึ่งพาความสามารถของตนเอง

ทว่าการต่อต้านเขตกลางของพวกเขาก็ยังนับได้ว่าเป็นปริศนาชิ้นสุดท้าย…แน่นอน พวกเขาสามารถรักษาการปฏิวัติได้โดยถือหลินเจี๋ยเป็นพระเจ้าหนึ่งเดียวแห่งศาสนาแห่งตะวัน แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่หลินเจี๋ยต้องการ

เหมือนที่เขาเคยพูดกับจี้จือซู่และคนอื่น ๆ มาก่อน สิ่งที่หลินเจี๋ยต้องการคือวิทยาศาสตร์และการปกครองตนเองแบบประชาธิปไตย นี่คืออาวุธวิเศษสำหรับมนุษยชาติในการเอาตัวรอดหลังการหลอมรวมของนิมิตและความเป็นจริงในอนาคต

ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เขายังต้องกลับสู่ร่างเดิมในเมืองเขตล่าง ความทรงจำยี่สิบกว่าปีของเขาบนโลกคือสิ่งสำคัญที่สุดในการก่อบุคลิกของหลินเจี๋ย แต่ยี่สิบปีมันสั้นเกินไป

กระทั่งเทพเจ้าผู้แข็งแกร่งอย่างเรายังดูพึ่งพาไม่ได้เลย…หลินเจี๋ยหัวเราะให้ตนเอง…ดังนั้นโจเซฟจึงเหมาะสมที่สุดต่อบทบาทผู้นำมนุษยชาติ

หลังจากให้คำชี้แนะและอธิบายเรื่องราวต่าง ๆ ต่อโจเซฟ โจเซฟก็ลากตัวเฟจและเผ่นไปยังเมืองเขตกลางทันที และมนุษย์ทั้งหมดในซอย 23 ก็ถูกหอพิธีกรรมต้องห้ามซึ่งนำโดยแคลร์กำลังอพยพออกไป

หลังจากหลินเจี๋ยคุ้นชินกับร่างมังกรของตนโดยสมบูรณ์ เขาก็เริ่มกระพือปีกทะยานขึ้นด้านบน

อัศวินแห่งแสงแคลร์ขมวดคิ้วกับความเปลี่ยนแปลงของหลินเจี๋ย เธอหยุดทั้งโจเซฟและหลินเจี๋ยไม่ได้ ดังนั้นจึงได้แต่ทำสิ่งที่เธอควรทำในฐานะอัศวิน

หลินเจี๋ยโบกสะบัดปีกสู่เวหา มองลงมายังนอร์ซินและร้านหนังสือซอมซ่อที่ถล่มเละของเขา ทุกอย่างผันผ่านราวความฝัน ไขว่คว้าไม่ได้เหมือนเมฆหมอก แต่เขาก็ยังยิ้มอย่างโล่งในใจ

เขาพูดเบา ๆ “ฟรังก้า รีบกลับบ้านนะครับ”

ฟรังก้าชุดแดงผู้แอบอยู่ในร้านหนังสือ เธอกำตาชั่งไว้แน่น ลืมตาขึ้น ในเวลาเพียงไม่กี่นาที คนข้างนอกก็ไม่เหลือใครราวกับไม่เคยมีศัตรูปรากฏตัวมาก่อน

เจ้าของร้านหลินเองก็ไปแล้ว

โจเซฟเองก็ได้ยินเสียงเดียวกัน เขาชะงักแล้วมองกลับมายังหลินเจี๋ย จู่ ๆ เขาก็คิดว่าหลินเจี๋ยดูสูงส่งหนักอึ้งขึ้นมาชั่วขณะ และคิดเศร้า ๆ ประมาณว่า ‘นี่อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะได้เห็นเจ้าของร้านหลินก็ได้ เขาจะไปแล้ว’ โดยไม่อาจเข้าใจที่มาที่ไปได้

อันที่จริง เขายังรู้สึกด้วยว่าบางที ครั้งนี้เขาอาจจะเข้าใกล้เจ้าของร้านหลินขึ้นมาจริง ๆ ก็ได้

“เจ้าของร้านหลิน…”

เขาเรียกเบา ๆ แต่หลินเจี๋ยบินจากไปแล้ว

หลินเจี๋ยโบยบินไปทั่วนอร์ซิน ในฐานะโอตาคุทะลุโลก นี่คือครั้งแรกที่เขาได้เห็นภาพรวมของนอร์ซิน

ทันใดนั้น เมื่อเกิดความคิด เขาก็ติดต่อมูเอนและกล่าวด้วยน้ำเสียงรัดกุมมาก “มูเอน ผมมีสองสามเรื่องต้องอธิบายกับคุณนะ”

มูเอนซึ่งอยู่ไกลออกไปในเขตกลางเข้าใจเหตุผลที่เขาใจหายลนลานเป็นอย่างดี เมื่อได้ยินเสียงของเจ้าของร้านหลิน เธอก็กลับสู่สถานะปกติ

“เจ้าของร้านหลิน บอกหนูเถอะค่ะ” มูเอนในชุดเดรสสีขาวบริสุทธิ์วางมือกุมอกซ้ายแล้วเดินออกจากร้านหนังสืออย่างรวดเร็ว ยิ้มอย่างคาดหวังพลางมองขึ้นไปบนฟ้า

อันที่จริง มูเอนไม่ได้ชอบสีขาวมากนักหรอก เพราะในตอนที่เธอยังเป็นเพียงมนุษย์ประดิษฐ์ ตรงหน้าสายตาของเธอก็มีเพียงสีขาว ทั้งเครื่องมือสีขาว อุปกรณ์สีขาว ผิวขาว และห้องปลอดเชื้อ…

ทั้งหมดนี้ล้วนทำให้เธออึดอัด จนกระทั่งหลินเจี๋ยสวมเสื้อเชิ้ตผู้ชายสีขาวลงบนร่างของเธอ

เธอและหลินเจี๋ยมีเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับสีขาว เธอกระทั่งฟังเขาอธิบายนิสัยการละลายหิมะเพื่อดื่มชา ทั้งสองจึงเก็บรวบรวมหิมะเพื่อชงชาร่วมกัน แต่ก็แทบอ้วกกันทั้งคู่ เพราะหิมะในนอร์ซินมีการปนเปื้อนอย่างน่าหัวเราะ

บาดแผลที่เธอได้รับจากสีขาวมาครึ่งชีวิตถูกหลินเจี๋ยใช้สีขาวรักษาหายในทันที

เธอยังคงเก็บเสื้อตัวนั้นไว้อยู่เลย

“ผมจะไปเขตล่างนะ ร้านหนังสือจะถูกส่งต่อให้คุณในอนาคต” หลินเจี๋ยกล่าวยิ้ม ๆ “จากนี้ไป คุณไม่ใช่ผู้ช่วยอีกต่อไป แต่เป็นผู้จัดการร้านหนังสืออย่างเต็มตัว ร้านหนังสือนี้เป็นของคุณโดยสมบูรณ์ครับ”

“…”

เมื่อมูเอนได้ยินเช่นนี้ ดวงตาของเธอก็หม่นแสง สีหน้าของเธอแข็งค้าง

“ไม่…ไม่เอา…หนูไม่อยากได้แบบนี้…” มูเอนกระวนกระวายเสียจนยกมือขึ้นปัดป่ายไปมาตรงหน้า ของเหลวสีใสเริ่มผุดขึ้นในดวงตา แต่เธอยังคงไม่รับรู้และกล่าวว่า “หนูไม่ได้อยากได้ร้านหนังสือ หนูยังอยู่โดยไม่มีเจ้าของร้านหลินไม่ได้นะคะ!”

หลินเจี๋ยยกมุมปากขึ้นเงียบ ๆ “คุณโตขึ้น และมีคุณสมบัติพอจะเป็นเจ้าของร้านได้แล้วล่ะครับ”

มูเอนก้มหน้าลง เส้นผมยาวสีดำของเธอร่วงลงระอก ตัดกับชุดสีขาวของเธออย่างรุนแรง

“ถ้าคุณประสบอุปสรรคใด ไปหาซิลเวอร์นะครับ” หลินเจี๋ยพูดต่อ “…ผมไปล่ะ”

ซิลเวอร์…?

มูเอนผู้รับสืบทอดพลังและความทรงจำทั้งหมดของวัลเพอร์กิสย่อมรู้จักซิลเวอร์ แม่มดตนนั้นสนิทกับเจ้าของร้านหลินเหรอ?

“…” มูเอนอ้าปาก อยากจะรั้งหลินเจี๋ยไว้ แต่เธอไม่รู้ว่าตัวตนและเหตุผลของเขาคืออะไร นี่เป็นครั้งแรกที่คอของเธอรู้สึกอึดอัดดั่งมีก้อนหินใหญ่กีดขวาง

บางสิ่งเติบโตอย่างบ้าคลั่งและเงียบงันในหัวใจของมนุษย์ประดิษฐ์

เธอก้มหัวลงและเห็นวงน้ำเปียกชื้นที่พื้นสีเทาอย่างไม่อาจอธิบาย เธอเงยหน้าขึ้นมองฟ้า ซึ่งยังมีดวงอาทิตย์สาดแสงแรงกล้า สาดส่องลงมายังรอยน้ำบนใบหน้างดงามของเธอโดยไม่รู้ตัว

เธอเหมือนได้ยินเสียงมังกรกระพือปีกลอยมาตามลม

เจ้าของร้านหลินของเธอจากไปแล้ว…

บทที่ 441 : เจ้าของร้านหลินไปแล้ว…

นอร์ซินเขตกลาง

วินเซนต์ผู้เอาชนะกรมตำรวจเขตกลางได้อย่างหมดจด เขาเกือบสังหารผู้ดีทั้งหมดที่ไม่ได้อยู่ใต้การควบคุมของจี้จือซู่ การปฏิวัติครั้งนี้เกือบจะสมบูรณ์แบบแล้ว

วินเซนต์เหลือบมองเหล่าคนงานและสามัญชนที่ถูกควบคุม ทั้งการบอกใบ้และปลุกเร้าใจต่างจบสิ้น การโจมตีเหล่าผู้ดีและต่อสู้ตอบโต้โลกอันไม่ยุติธรรมนี้ก็ขึ้นกับทางเลือกของคนจนเหล่านี้เอง

หลังจากพวกเขาตาสว่าง คนมากมายก็ยังคิดว่าสิ่งที่มนุษยชาติทำนั้นถูกต้อง และพวกเขาจะไม่มีทางหยุด

ยุคสมัยของอาซีร์เปลี่ยนไปแล้วจริง ๆ และยุคสมัยใหม่ได้มาถึงในทุกแง่มุม

วินเซนต์ มูเอน จี้ป๋อหนงและลูกสาวของเขาก็ชนะเดิมพัน

การปฏิวัติครั้งนี้ถูกวางแผนมาเนิ่นนาน นับแต่ตอนที่ศาสนาแห่งตะวันตั้งรกรากในเขตกลาง จี้จือซู่ประมูลหนังสือให้กับผู้ดีและผู้มีพลังเหนือธรรมชาติส่วนใหญ่ และจากนั้นก็เป็นการควบคุมของมูเอนในการบุกสู่เขตกลางเพื่อปลุกแม่มดแห่งพฤกษา ทุกอย่างถูกกรุยทางมาแสนนานได้จบลงเสียที

วินเซนต์มองไปที่หัวของอดีตผู้กำกับการกรมตำรวจเขตกลางซึ่งดูถูกเขามาตลอดบนกิโยติน เขาถือตนว่าเป็นลูกหลานขุนนาง แต่กลับทำตัวเสเพลไปวัน ๆ ในที่สุดหัวของเขาก็กลิ้งลงดุจลูกฟุตบอล โลหิตทะลักจากลำคอ

วินเซนต์เดินยิ้มจากไป ซุกซ่อนทั้งชื่อและผลงานตน

เขาเดินลัดเลาะตามหลืบ ปะปนในฝูงชนหนาแน่นสู่ร้านหนังสือ

มูเอนกำลังเช็ดแก้ว ร้านหนังสือทั้งร้านเงียบงันแตกต่างกับโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง และยังมีนกสีฟ้าไม่ทราบชนิดเกาะอยู่ที่ขอบหน้าต่างด้วย

เมื่อคิดสักนิด เขาก็เข้าใจได้ว่านี่คือจี้จือซู่

จี้จือซู่ไม่เคยมาหามูเอนอย่างเป็นทางการ แม้เธอจะกลัวถูกเขตกลางจับได้ แต่เพื่อการปฏิวัติที่ราบรื่น จี้จือซู่จึงยังระแวงอยู่นิดหน่อย

“หลังจากนี้สองวัน ฉันจะสามารถรายงานทุกอย่างต่อเจ้าของร้านหลินได้ ฉันคิดว่าเขาน่าจะมีความสุขมากค่ะ”

มูเอนวางแก้วที่เช็ดจนใสปิ๊ง สะท้อนใบหน้าจิ้มลิ้มงดงามดุจตุ๊กตาของเธอลง และเมื่อกล่าวถึงหลินเจี๋ย รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบาง ๆ

เธอเลื่อนแก้วที่บรรจุเครื่องดื่มเย็นไปตรงหน้าวินเซนต์

วินเซนต์ก้มหน้าลงยิ้ม ๆ และกำลังจะเอื้อมมือไปรับแก้ว ทว่าก่อนที่เครื่องดื่มโปร่งใสอันนิ่งสงบจะถูกแตะต้อง วงคลื่นกระเพื่อมวงหนึ่งก็ปรากฏขึ้นดุจรัศมี

วินเซนต์ลืมตาขึ้นมองมูเอนโดยไม่รู้ตัว ซึ่งอีกฝ่ายก็แปลกใจเช่นกัน

“เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ?” เสียงแหบพร่าของวินเซนต์ดังขึ้นอย่างสงสัย หลังจากครุ่นคิดสักพัก มูเอนก็มองขึ้นไปยังท้องฟ้าซึ่งค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีม่วง

เธอสูดหายใจลึก เรียกสติคืนมา และกล่าวว่า “กำแพงหมอกถูกทำลายแล้ว”

วินเซนต์ก็รู้สึกเช่นกัน

“นี่ก็เป็นแผนของเจ้าของร้านหลินเหรอครับ/คะ?” วินเซนต์และนกสีฟ้าที่จี้จือซู่สิงสู่ถามขึ้นพร้อมกัน

ทว่ามูเอนกลับกุมอกซ้ายของตน ความรู้สึกประหลาดปรากฏขึ้นในใจ มือของเธอกำขอบประตูอย่างกระสับกระส่าย

เมื่อเห็นการตายของมิคาเอล โจเซฟก็กำมือแน่น ในขณะเดียวกันก็เล่าให้อดีตเพื่อนร่วมงานของเขาฟังความจริงทั้งหมดที่ตนสืบมาของวาลเลซ

แคลร์แสดงสีหน้าไม่เชื่อหู คงยากหากจะกล่อมให้เธอเชื่อว่าวาลเลซเป็นคนเลว เขาจึงขอให้เธอแค่อย่ามากวนก็พอ

เมื่อเห็นว่าแคลร์ยังอยากอธิบายบางอย่าง โจเซฟก็ผลักเธอออกไป ส่งงานช่วยเหลือผู้คนให้เธอแทนทั้งหมด

“เจ้าของร้านหลิน โปรดอนุญาตให้ผมไปช่วยเมลิสซ่าด้วยเถอะครับ” โจเซฟวิ่งไปหามังกรหลินเจี๋ยและถามเสียงดัง

หลินเจี๋ยมองลงมาที่เขา และกล่าวว่า “ไม่เป็นไรหรอกครับ ซิลเวอร์ชอบเด็กคนนั้นจริง ๆ”

ซ…ซิลเวอร์? โจเซฟกลืนน้ำลายเอื๊อกใหญ่อย่างอดไม่ได้ แม่มดบรรพกาลน่ะนะ?

“ถ้าคุณอยากไปไหน ไปช่วยพวกจี้จือซู่เถอะครับ” หลินเจี๋ยผู้ได้รับพลังบางส่วนรู้ว่าจี้จือซู่ มูเอน และคนอื่น ๆ ทำอะไรกันอยู่ได้แทบทันที

หรือก็คือ รู้ว่าก่อนที่เขาและเจ้าดำจะรวมเป็นหนึ่ง พวกเขาคิดอะไรกันอยู่

หลินเจี๋ยอับจนคำพูด เขาเพิ่งมาตระหนักเอาตอนนี้เองว่าคนเหล่านี้ทำสิ่งต่าง ๆ สำเร็จมากมายโดยพึ่งพาความสามารถของตนเอง

ทว่าการต่อต้านเขตกลางของพวกเขาก็ยังนับได้ว่าเป็นปริศนาชิ้นสุดท้าย…แน่นอน พวกเขาสามารถรักษาการปฏิวัติได้โดยถือหลินเจี๋ยเป็นพระเจ้าหนึ่งเดียวแห่งศาสนาแห่งตะวัน แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่หลินเจี๋ยต้องการ

เหมือนที่เขาเคยพูดกับจี้จือซู่และคนอื่น ๆ มาก่อน สิ่งที่หลินเจี๋ยต้องการคือวิทยาศาสตร์และการปกครองตนเองแบบประชาธิปไตย นี่คืออาวุธวิเศษสำหรับมนุษยชาติในการเอาตัวรอดหลังการหลอมรวมของนิมิตและความเป็นจริงในอนาคต

ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เขายังต้องกลับสู่ร่างเดิมในเมืองเขตล่าง ความทรงจำยี่สิบกว่าปีของเขาบนโลกคือสิ่งสำคัญที่สุดในการก่อบุคลิกของหลินเจี๋ย แต่ยี่สิบปีมันสั้นเกินไป

กระทั่งเทพเจ้าผู้แข็งแกร่งอย่างเรายังดูพึ่งพาไม่ได้เลย…หลินเจี๋ยหัวเราะให้ตนเอง…ดังนั้นโจเซฟจึงเหมาะสมที่สุดต่อบทบาทผู้นำมนุษยชาติ

หลังจากให้คำชี้แนะและอธิบายเรื่องราวต่าง ๆ ต่อโจเซฟ โจเซฟก็ลากตัวเฟจและเผ่นไปยังเมืองเขตกลางทันที และมนุษย์ทั้งหมดในซอย 23 ก็ถูกหอพิธีกรรมต้องห้ามซึ่งนำโดยแคลร์กำลังอพยพออกไป

หลังจากหลินเจี๋ยคุ้นชินกับร่างมังกรของตนโดยสมบูรณ์ เขาก็เริ่มกระพือปีกทะยานขึ้นด้านบน

อัศวินแห่งแสงแคลร์ขมวดคิ้วกับความเปลี่ยนแปลงของหลินเจี๋ย เธอหยุดทั้งโจเซฟและหลินเจี๋ยไม่ได้ ดังนั้นจึงได้แต่ทำสิ่งที่เธอควรทำในฐานะอัศวิน

หลินเจี๋ยโบกสะบัดปีกสู่เวหา มองลงมายังนอร์ซินและร้านหนังสือซอมซ่อที่ถล่มเละของเขา ทุกอย่างผันผ่านราวความฝัน ไขว่คว้าไม่ได้เหมือนเมฆหมอก แต่เขาก็ยังยิ้มอย่างโล่งในใจ

เขาพูดเบา ๆ “ฟรังก้า รีบกลับบ้านนะครับ”

ฟรังก้าชุดแดงผู้แอบอยู่ในร้านหนังสือ เธอกำตาชั่งไว้แน่น ลืมตาขึ้น ในเวลาเพียงไม่กี่นาที คนข้างนอกก็ไม่เหลือใครราวกับไม่เคยมีศัตรูปรากฏตัวมาก่อน

เจ้าของร้านหลินเองก็ไปแล้ว

โจเซฟเองก็ได้ยินเสียงเดียวกัน เขาชะงักแล้วมองกลับมายังหลินเจี๋ย จู่ ๆ เขาก็คิดว่าหลินเจี๋ยดูสูงส่งหนักอึ้งขึ้นมาชั่วขณะ และคิดเศร้า ๆ ประมาณว่า ‘นี่อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะได้เห็นเจ้าของร้านหลินก็ได้ เขาจะไปแล้ว’ โดยไม่อาจเข้าใจที่มาที่ไปได้

อันที่จริง เขายังรู้สึกด้วยว่าบางที ครั้งนี้เขาอาจจะเข้าใกล้เจ้าของร้านหลินขึ้นมาจริง ๆ ก็ได้

“เจ้าของร้านหลิน…”

เขาเรียกเบา ๆ แต่หลินเจี๋ยบินจากไปแล้ว

หลินเจี๋ยโบยบินไปทั่วนอร์ซิน ในฐานะโอตาคุทะลุโลก นี่คือครั้งแรกที่เขาได้เห็นภาพรวมของนอร์ซิน

ทันใดนั้น เมื่อเกิดความคิด เขาก็ติดต่อมูเอนและกล่าวด้วยน้ำเสียงรัดกุมมาก “มูเอน ผมมีสองสามเรื่องต้องอธิบายกับคุณนะ”

มูเอนซึ่งอยู่ไกลออกไปในเขตกลางเข้าใจเหตุผลที่เขาใจหายลนลานเป็นอย่างดี เมื่อได้ยินเสียงของเจ้าของร้านหลิน เธอก็กลับสู่สถานะปกติ

“เจ้าของร้านหลิน บอกหนูเถอะค่ะ” มูเอนในชุดเดรสสีขาวบริสุทธิ์วางมือกุมอกซ้ายแล้วเดินออกจากร้านหนังสืออย่างรวดเร็ว ยิ้มอย่างคาดหวังพลางมองขึ้นไปบนฟ้า

อันที่จริง มูเอนไม่ได้ชอบสีขาวมากนักหรอก เพราะในตอนที่เธอยังเป็นเพียงมนุษย์ประดิษฐ์ ตรงหน้าสายตาของเธอก็มีเพียงสีขาว ทั้งเครื่องมือสีขาว อุปกรณ์สีขาว ผิวขาว และห้องปลอดเชื้อ…

ทั้งหมดนี้ล้วนทำให้เธออึดอัด จนกระทั่งหลินเจี๋ยสวมเสื้อเชิ้ตผู้ชายสีขาวลงบนร่างของเธอ

เธอและหลินเจี๋ยมีเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับสีขาว เธอกระทั่งฟังเขาอธิบายนิสัยการละลายหิมะเพื่อดื่มชา ทั้งสองจึงเก็บรวบรวมหิมะเพื่อชงชาร่วมกัน แต่ก็แทบอ้วกกันทั้งคู่ เพราะหิมะในนอร์ซินมีการปนเปื้อนอย่างน่าหัวเราะ

บาดแผลที่เธอได้รับจากสีขาวมาครึ่งชีวิตถูกหลินเจี๋ยใช้สีขาวรักษาหายในทันที

เธอยังคงเก็บเสื้อตัวนั้นไว้อยู่เลย

“ผมจะไปเขตล่างนะ ร้านหนังสือจะถูกส่งต่อให้คุณในอนาคต” หลินเจี๋ยกล่าวยิ้ม ๆ “จากนี้ไป คุณไม่ใช่ผู้ช่วยอีกต่อไป แต่เป็นผู้จัดการร้านหนังสืออย่างเต็มตัว ร้านหนังสือนี้เป็นของคุณโดยสมบูรณ์ครับ”

“…”

เมื่อมูเอนได้ยินเช่นนี้ ดวงตาของเธอก็หม่นแสง สีหน้าของเธอแข็งค้าง

“ไม่…ไม่เอา…หนูไม่อยากได้แบบนี้…” มูเอนกระวนกระวายเสียจนยกมือขึ้นปัดป่ายไปมาตรงหน้า ของเหลวสีใสเริ่มผุดขึ้นในดวงตา แต่เธอยังคงไม่รับรู้และกล่าวว่า “หนูไม่ได้อยากได้ร้านหนังสือ หนูยังอยู่โดยไม่มีเจ้าของร้านหลินไม่ได้นะคะ!”

หลินเจี๋ยยกมุมปากขึ้นเงียบ ๆ “คุณโตขึ้น และมีคุณสมบัติพอจะเป็นเจ้าของร้านได้แล้วล่ะครับ”

มูเอนก้มหน้าลง เส้นผมยาวสีดำของเธอร่วงลงระอก ตัดกับชุดสีขาวของเธออย่างรุนแรง

“ถ้าคุณประสบอุปสรรคใด ไปหาซิลเวอร์นะครับ” หลินเจี๋ยพูดต่อ “…ผมไปล่ะ”

ซิลเวอร์…?

มูเอนผู้รับสืบทอดพลังและความทรงจำทั้งหมดของวัลเพอร์กิสย่อมรู้จักซิลเวอร์ แม่มดตนนั้นสนิทกับเจ้าของร้านหลินเหรอ?

“…” มูเอนอ้าปาก อยากจะรั้งหลินเจี๋ยไว้ แต่เธอไม่รู้ว่าตัวตนและเหตุผลของเขาคืออะไร นี่เป็นครั้งแรกที่คอของเธอรู้สึกอึดอัดดั่งมีก้อนหินใหญ่กีดขวาง

บางสิ่งเติบโตอย่างบ้าคลั่งและเงียบงันในหัวใจของมนุษย์ประดิษฐ์

เธอก้มหัวลงและเห็นวงน้ำเปียกชื้นที่พื้นสีเทาอย่างไม่อาจอธิบาย เธอเงยหน้าขึ้นมองฟ้า ซึ่งยังมีดวงอาทิตย์สาดแสงแรงกล้า สาดส่องลงมายังรอยน้ำบนใบหน้างดงามของเธอโดยไม่รู้ตัว

เธอเหมือนได้ยินเสียงมังกรกระพือปีกลอยมาตามลม

เจ้าของร้านหลินของเธอจากไปแล้ว…