ตอนที่ 291 เหอะๆ (1)

บางครั้งถ้อยคำโป้ปดนับพันคำ เทียบไม่ได้กับคำพูดจริงใจประโยคเดียว

แม้มีความจริงใจนับพัน ก็มิอาจต้านทานกลอุบายได้…

ในเรื่องการตรัสรู้ของปรมาจารย์ฟู่กุ้ย หลี่ฉางโซ่วได้พิจารณาและวางแผนอย่างรอบคอบ และพบว่าไม่ว่าจะใช้ข้ออ้างใดๆ ก็ตาม ในการขอให้อาจารย์ลุงจิ่วอูนำเสนอภาพวาดนั้น เขาควรบอกเรื่องนี้กับอาจารย์ลุงจิ่วอูโดยตรงจะดีกว่าการลากอาจารย์ลุงจิ่วอูให้ลงไปในน้ำด้วยกัน

ดังนั้น กระเรียนกระดาษจึงบินไปส่งสารให้อาจารย์ลุงจิ่วอูที่ยอดเขาพิชิตสวรรค์ หลังจากนั้น อาจารย์ลุงจิ่วอูก็ขี่เมฆบินมาที่ยอดเขาหยกน้อย

หลี่ฉางโซ่วรออยู่หน้าหอโอสถ

หลี่ฉางโซ่วก็รู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นในใจทันทีที่มองเห็นใบหน้าเบิกบานแจ่มใสของอาจารย์ลุงจิ่วอู แล้วเริ่มส่งเสียงร้องเพลงดังเก่าๆ ที่เคยได้ยินมาจากชาติก่อนของเขาเบาๆ…

อาฮะ ขอน้ำลืมรัก[1]ให้ข้าสักถ้วยเพื่อให้ลืมความรู้สึกของข้าว่า ข้าชื่อ หวังฟู่กุ้ย! อ๋าย อ๋าย~

แค่กๆ ข้าต้องจริงจังและนิ่งสงบ

บางทีอาจเป็นเพราะหลี่ฉางโซ่วไม่ได้ชี้แนะอาจารย์ลุงจิ่วอูมาเป็นเวลานาน เขาจึงระวังตัวน้อยลงมาก ในขณะนั้น เขาก็ร่อนเมฆลงมาอยู่ตรงหน้าหลี่ฉางโซ่ว จากนั้นก็แย้มยิ้มและกล่าวว่า “ฉางโซ่ว เมื่อไม่นานมานี้ การฝึกบำเพ็ญของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? เจ้าอยู่ในขอบเขตคืนกลับเต๋าวิถีขั้นเจ็ดแล้วหรือยัง? ไม่เลว ไม่เลว เมล็ดพันธุ์เซียนที่อยู่ตรงหน้าเจ้าได้เริ่มเตรียมข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์แล้ว เจ้าควรใส่ใจระวังให้มากขึ้นเสียแต่เนิ่นๆ”

หลี่ฉางโซวยิ้มเล็กน้อยและกล่าวว่า “การข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์เป็นเรื่องใหญ่จริงๆ”

หลี่ฉางโซ่วคิดคำนวณใหม่ด้วยโอสถทองคำเก้าแปรเปลี่ยนสองเม็ดว่า คงใช้เวลาอีกสักสองสามร้อยปี เขาจึงจะสามารถข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์เซียนจิน “ว่าแต่ว่า ฉางโซ่ว เจ้าหาข้าด้วยเหตุใดหรือ?”

“ท่านอาจารย์ลุง เข้าไปคุยกันข้างในกันเถิดขอรับ”

หลี่ฉางโซ่วผายมือเชื้อเชิญชวน จิ่วอูไม่ได้สงสัยอะไรเขาและกระโดดเข้าไปในหอโอสถพร้อมกับไพล่มือเอาไว้ด้านหลัง

หลี่ฉางโซ่วเปิดใช้งานค่ายกลใหญ่รอบๆ หอโอสถแล้วเสื่อเบาะนั่งสมาธิสองผืนมา จากนั้น เขาก็เชิญจิ่วอูให้นั่งลง แล้วใคร่ครวญ…

เขาซ่อนเรื่องน้ำเสน่หา และเล่าให้จิ่วอูฟังถึงเรื่องความกระดากอายระหว่างท่านปรมาจารย์หว่างฉิงผู้สูงส่งและท่านปรมาจารย์ใหญ่ของเขาเมื่อวานนี้

“จริงหรือ?” จิ่วอูเบิกตากว้างพลางถาม

“จริงขอรับ” หลี่ฉางโซ่วพยักหน้า “พวกเขาทั้งสองคนอยู่ใต้ต้นไม้ตลอดทั้งบ่าย ท่านปรมาจารย์ใหญ่ของข้าแสดงท่าทีออกมาอย่างชัดเจนว่า นางปรารถนาจะก้าวไปอีกขั้น และท่านปรมาจารย์หว่างฉิงก็เห็นด้วย แต่แล้ว…ก็ไม่มีอะไรหลังจากนั้น”

“ฟู่…”

จิ่วอูสูดลมหายใจเข้าลึก ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความตกใจ

“ไม่แปลกใจเลยที่เมื่อคืนนี้ ท่านอาจารย์มาหาข้าและถามคำถามที่ทำให้ข้าคิดอยู่นาน แต่คิดไม่ออก ทว่าบัดนี้ ข้าก็เข้าใจแล้ว!”

“โอ้?” ดวงตาของหลี่ฉางโซ่วเปล่งประกายทันทีแล้วเอ่ยถามว่า “ท่านอาจารย์ลุง ท่านถามอะไรหรือขอรับ?”

“ท่านอาจารย์ถาม เหอะๆ” จิ่วอูยักไหล่พลางยิ้มพร้อยเผยสีหน้าอายๆ ออกมาเล็กน้อย ขณะกล่าวต่อว่า “เขาถามว่า ข้าทำกับอะไรกับซือซือเป็นประจำ”

หลี่ฉางโซ่วยิ้มและกล่าวถามว่า “ท่านอาจารย์ลุง แล้วท่านตอบว่าอย่างไรขอรับ?”

“ข้าพูดไม่ได้จริงๆ… เหอะๆ ข้าพูดจาหยาบคายไม่สมควรเช่นนั้นอย่างเปิดเผยไม่ได้”

จากนั้น จิ่วอูถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “ข้าแค่พูดว่า ตามปกติแล้ว เราสื่อสารกันอย่างไรในแต่ละวัน ข้าไม่ได้… เหอะๆ ในยามนั้น ข้ายังไม่เข้าใจว่าท่านอาจารย์หมายถึงอะไร แต่แม้จะรู้ว่าพูดถึงเรื่องนี้ ข้าก็ไม่กล้าชี้แนะท่านอาจารย์ ข้าไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ท่านอาจารย์จะมุ่งมั่นฝึกบำเพ็ญเพียรอย่างสุดใจเพียงนี้ เขาทำให้ข้ารู้สึกละอายใจที่เป็นศิษย์ของท่านจริงๆ”

จิ่วอูหยุดกล่าวไปชั่วขณะหนึ่งและถามอีกครั้งว่า “ฉางโซ่ว เจ้ามักคิดหากลเม็ดแปลกๆ แหวกแนวมาได้ตลอด เจ้ามีวิธีจัดการเรื่องนี้หรือไม่?”

“ขอรับ” หลี่ฉางโซ่วหยิบ ‘ตำราบันทึกสมบัติชุดคู่บ่าวสาวใหม่’ ออกมาแล้วมอบให้ จิ่วอูพลางกล่าวว่า “ท่านอาจารย์ลุงดูเถิด”

“นี่เป็นภาพวาดเริงรมย์หรือไม่?”

“ไม่ขอรับ มันเป็นวิธีการมากกว่า ยังมีรายละเอียดไม่เพียงพอ… แค่กๆ!”

ขณะกล่าว หลี่ฉางโซ่วก็อดจะหน้าแดงไม่ได้

เมื่อคิดถึงตัวเองก็เป็นเรื่องหนึ่ง และเมื่อแสดงให้ผู้อื่นเห็นก็เป็นอีกความคิดหนึ่ง

จิ่วอูเปิดตำราภาพประกอบอย่างเคร่งขรึม แล้วจู่ๆ ก็หรี่ตามองดูอย่างรวดเร็ว

“ฉางโซ่ว เจ้ารู้มากจริงๆ! เมื่อมองเพียงแวบเดียว ก็เห็นได้ว่า ภาพวาดนั้นละเอียดและชัดเจนมาก มันเป็นสมบัติ มันเป็นสมบัติ เหอะๆ”

หลี่ฉางโซ่วกล่าวอย่างจริงจังว่า “นี่เป็นสิ่งที่ควรทำอย่างจริงจัง ท่านอาจารย์ลุงโปรดอย่าหัวเราะเลยขอรับ”

“เรามีอายุนับพันปีแล้ว ยังไม่เข้าใจสิ่งเหล่านี้อีกหรือ?”

จิ่วอูหยุดไปครู่หนึ่งแล้วฝืนยิ้มขมขื่นพลางถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “เฮ้อ ข้าเกือบลืมไปเลย ท่านอาจารย์ของข้าไม่ค่อยเข้าใจของสิ่งนี้

ต้องบอกว่า ถึงแม้ของสิ่งนี้จะดี แต่มันก็ควรจะเป็นแค่ฉบับขั้นเริ่มต้นเท่านั้น… เหอะๆ ว่าแต่ เจ้ามีฉบับขั้นต่อไปหรือไม่?”

หลี่ฉางโซ่วถึงกับอึ้งไปในทันที

“ศิษย์ทำของชิ้นนี้ขึ้นมาก็เพราะเรื่องระหว่างท่านปรมาจารย์ใหญ่และปรมาจารย์ลุงเท่านั้นขอรับ” หลี่ฉางโซ่วกล่าวอย่างจริงจัง “ยามนี้ ศิษย์กำลังจะข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ จึงไม่ควรฟุ้งซ่าน”

“ข้าเข้าใจ เข้าใจแล้ว” จิ่วอูรีบพยักหน้าอย่างรวดเร็ว “เจ้ากล่าวได้ถูกต้องแล้ว เพียงสงบใจและตั้งใจเตรียมรับทัณฑ์สวรรค์ เช่นนั้น ข้าจะนำของสิ่งนี้กลับไปให้ท่านอาจารย์”

จากนั้นหลี่ฉางโซ่วก็ย้ำเตือนจิ่วอูไม่ให้บอกปรมาจารย์หว่างฉิงว่า เขาเป็นผู้วาดมัน ทำให้จิ่วอูรู้สึกฉงนในทันที

“หากบอกให้ท่านปรมาจารย์ลุงรู้ว่า ของสิ่งนี้เป็นฝีมือของศิษย์ เขาย่อมจะนึกถึงท่านปรมาจารย์ใหญ่ของศิษย์ และจะต้องเข้าใจอะไรบางอย่างผิดไปอย่างแน่นอนขอรับ” หลี่ฉางโซ่วกล่าว “ท่านปรมาจารย์ใหญ่ของศิษย์เพียงแค่เป็นห่วงเรื่องนี้ และแค่เคยได้ยินเรื่องนี้มาในระดับหนึ่งเท่านั้น…”

จิ่วอูครุ่นคิดกับตัวเองอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “ฉางโซ่ว วางใจเถิด ข้าจะบอกเขาว่า ได้รับของสิ่งนี้เป็นของขวัญมาจากผู้อาวุโสในสำนักเอง”

ทันใดนั้น หลี่ฉางโซ่วก็ยกนิ้วให้เขา จิ่วอูจึงหัวเราะเบาๆ และขี่เมฆบินกลับไปที่ยอดเขาพิชิตสวรรค์ทันที

แม้จิ่วอูจะจากไป แต่เสียงหัวเราะ เหอะๆ ของเขาก็ยังคงก้องกังวานวนเวียนอยู่รอบๆ และดำเนินต่อไปเป็นเวลาสามชั่วยาม ดังนั้น หลี่ฉางโซ่วจึงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเหอะๆ ตามไปสองสามครั้งด้วยเช่นกัน

ครึ่งวันต่อมา จิ่วอูก็รีบขี่เมฆบินกลับมาอย่างรีบร้อน และขยิบตาให้หลี่ฉางโซ่วพลางกล่าวว่า “เรียบร้อยแล้ว”

“ท่านปรมาจารย์ลุงดูแล้วหรือขอรับ”

“ดูแล้วสิ” จิ่วอูกล่าวอย่างมีความสุข “ข้าเห็นท่านอาจารย์เปิดตำราสมบัติภาพประกอบด้วยตาของข้าเอง ในเวลาเดียวกัน ข้าก็ยังให้ม้วนภาพวาดเริงรมย์สองสามม้วนที่มาจากศิษย์หลานแก่ท่านอาจารย์ด้วย เพื่อให้ท่านประจักษ์ชัดด้วยตัวของเขาเอง”

หลี่ฉางโซ่วค่อยๆ ถอนหายใจอย่างโล่งอก แล้วมองสบสายตากับจิ่วอู พวกเขาทั้งสองคนเป็นคู่สหายร่างสูงเตี้ย และทันใดนั้น…ก็หัวเราะ เหอะๆ

เสียงหัวเราะหมายถึงความปรารถนาดีของเขาที่มีต่อผู้อาวุโสทั้งสอง

เสียงหัวเราะนี้เต็มไปด้วยความปรารถนาแสนวิเศษต่อความสัมพันธ์

ตราบใดที่ทุกคนส่งเสียงหัวเราะ โลกบรรพกาลย่อมจะมีวันพรุ่งนี้ที่สดใสสวยงามกว่า

เมื่อส่งภาพสมบัติออกไปแล้ว เดิมทีหลี่ฉางโซ่วก็คิดจะหยุดยื่นมือไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เขาจะทำอะไรได้อีกเล่า?

เขาไม่อาจเป็นเหมือนแม่เฒ่าในบางพื้นที่ของโลกมนุษย์ได้ตลอดเวลาที่จะคอยกำกับฉากเข้าหอสดๆ อยู่ข้างๆ ในคืนวิวาห์ของเหล่าคุณหนูคุณชายใช่หรือไม่?

จากนั้นเขาก็ส่งเสียงไปเตือนหลิงเอ๋อร์ว่า ในช่วงสองสามวันหลังจากนี้ อย่ากลับไปที่กระท่อมมุงจากอีก และให้นางฝึกบำเพ็ญอยู่ในห้องเดินหมากและเล่นไพ่ข้างๆ กรงสัตว์วิญญาณ ด้วยเกรงว่าจะกระทบต่อการปฏิบัติงานของท่านปรมาจารย์ใหญ่ตัวน้อยของพวกเขา

หลี่ฉางโซ่วเพ่งจิตไปที่งานเลี้ยงของวังมังกร และละความสนใจลงเล็กน้อยเพื่อให้ความสนใจกับการเปลี่ยนแปลงของยอดเขาหยกน้อย

ทว่าสิ่งที่หลี่ฉางโซ่วไม่คาดคิดก็คือ… สามถึงสี่วันต่อมา เขาก็ไม่เห็นท่านปรมาจารย์หว่างฉิงผู้สูงส่ง

และอีกสามถึงสี่วันหลังจากนั้น เขาก็ยังไม่เห็นร่องรอยของปรมาจารย์หว่างฉิงผู้สูงส่ง จนเมื่องานเลี้ยงอภิเษกของวังมังกรใกล้สิ้นสุดลง แขกก็เริ่มออกจากสถานที่และทางด้านของปรมาจารย์หว่างฉิงผู้สูงส่ง…

เขาก็ยังไม่เคลื่อนไหว

หรือว่า เป็นเพราะภาพสมบัติของเขาเองที่ทำให้ปรมาจารย์ฟู่กุ้ยเอ๋อร์รู้สึกเขินอายอยู่สักหน่อย?

หลี่ฉางโซวไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้น เขาจึงเศร้าใจในเรื่องนี้เล็กน้อย เขาใช้ความพยายามอย่างมาก จึงไม่อาจปล่อยให้มันเสียเปล่าไปเช่นนั้นได้โดยไม่รู้ว่าด้วยเหตุใด

หลี่ฉางโซ่วรอคอยอย่างอดทนอีกสองวัน แต่ก็ยังไม่พบท่านปรมาจารย์หว่างฉิงผู้สูงส่งและท่านปรมาจารย์ใหญ่ของเขา

ขณะนั้น เจียงหลินเอ๋อร์ยังคงงุนงงเล็กน้อย นางคิดว่าเหตุการณ์ครั้งล่าสุดนั้น ทำให้ปรมาจารย์หว่างฉิงไม่พอใจ จึงไปที่ยอดเขาพิชิตสวรรค์ด้วยตนเอง

ในท้ายที่สุด นางก็ได้รับแจ้งจากจิ่วอี้อี ศิษย์คนโตของปรมาจารย์หว่างฉิงผู้สูงส่งว่า ปรมาจารย์หว่างฉิงเกิดความเข้าใจ ตระหนักรู้ถึงบางสิ่งและเข้าปิดด่านแล้ว

เขาเข้าปิดด่าน…

…………………………………………………………..

[1] ผู้เขียนปรับมาจากเพลงจีนชื่อ ขอน้ำลืมรักของหลิวเต๋อหัวในปี ค.ศ.1994