ตอนที่ 414 พี่รองมีสติปัญญาล้ำเลิศ
หลินจื่อเหยียนอธิบายด้วยความตื่นเต้น “ร่วมกินหม้อไฟก็คือนั่งล้อมวงโดยมีหม้อทองแดงอยู่กลางโต๊ะ จากนั้นก็คีบเนื้อจุ่มลงในน้ำแกงที่กำลังเดือด น้ำแกงรวมเข้ากับวัตถุดิบเป็นหนึ่งเดียว เผ็ดร้อน หอมสดชื่น ไอร้อนพรั่งพรู ทุกคนได้มีความสุขร่วมกัน ! ”
เมื่อหันกลับไปก็เห็นท่าทางสนอกสนใจของหยานจิงหยู เขาจึงพูดต่อด้วยรอยยิ้ม “พี่หยาน เวลากินหม้อไฟ จำนวนคนยิ่งเยอะยิ่งสนุก ไม่สู้มื้อเที่ยงนี้ท่านมากินด้วยกันหรือไม่ ? ”
หยานจิงหยูดูสับสนขึ้นมาทันที “แต่…ข้าจองห้องอาหารที่หยวนเค่อหลายไว้…”
หยวนเค่อหลายเป็นหนึ่งในร้านอาหารที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงของเมืองจงโจว เมื่อเทียบกับหอจุ้ยเกาแล้ว สามารถพูดได้ว่าแต่ละร้านมีเอกลักษณ์เฉพาะตน อยู่ในระดับใกล้เคียงกัน ในวันประกาศผลสอบเช่นนี้ร้านอาหารประเภทนี้จองห้องได้ยากมาก !
เมิ่งจิ่งหงเข้าไปคว้าหัวไหล่ของเขาทั้งสองข้างแล้วฉีกยิ้มพูดอย่างอารมณ์ดี “ห้องอาหารที่จองไว้ก็ให้บ่าวไปยกเลิก ! ร้านอาหารจะเทียบกับฝีมือหลินกู่เหนียงได้อย่างไร ? หากพลาดคราวนี้ไปแล้วจะหากินอีกไม่ได้ ! ”
เมื่อหยานจิงหยูได้ยินเช่นนั้นก็พูดต่อทันที “ถ้าอย่างนั้น…ข้าก็น้อมรับคำเชิญ ! ”
ขณะนี้พวกเขายังอยู่ไกลจากบ้านเช่ามาก แต่ก็ได้กลิ่มหอมอันแสนเย้ายวนแล้ว ผู้เข้าสอบที่เช่าบ้านละแวกนี้พากันบ่นระงม “กลิ่นลอยมาจากบ้านหลังไหน ? เริ่มทรมานคนอื่นอีกแล้ว ! ปล่อยกลิ่นหอมน่าหลงใหลออกมาทุกวันแบบนี้ ใครจะทนไหว ? ”
หลินจื่อเหยียนหัวเราะฮ่าฮ่า “นี่ต้องเป็นกลิ่นน้ำแกงหม้อไฟที่พี่รองกำลังทำแน่นอน! น้ำแกงรสเผ็ดและชา พี่หยาน ท่านลองดมสิ หอมหรือเปล่า ? หม้อไฟที่พี่รองเป็นคนปรุงย่อมไม่มีใครลอกเลียนขึ้นมาได้อีก ! ไป ไปกัน ! พยาธิในกระเพาะข้าเริ่มกรีดร้องแล้ว ! ”
เมิ่งจิ่งหงพูดหยอก “พยาธิในกระเพาะเจ้าเป็นไก่หรือ ถึงได้กรีดร้องเหมือนโดนเชือด ? ”
หลินจื่อเหยียนรีบเถียง “ท่านได้กลิ่นแล้วท้องไม่ร้องหรือไร ? ”
หยานจิงหยูชอบนิสัยของคนกลุ่มนี้มาก พวกเขาไม่มีความปากหวานก้นเปรี้ยว ไม่ใช้อุบายต่อกัน เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าต้องแข่งขันกันเรื่องการสอบ แต่มีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวถึงเพียงนี้ เขาจึงถามด้วยรอยยิ้ม “น้องจื่อเหยียน พี่รองของเจ้าดูมั่นใจในตัวน้องชายไม่น้อยเลย ! ผลสอบยังไม่ทันออก นางก็เตรียมอาหารไว้ล่วงหน้าแล้ว ! ”
หลินจื่อเหยียนก็พูดด้วยรอยยิ้ม “พี่รองบอกว่าหากมีชื่อบนป้ายประกาศก็ถือว่าอาหารมื้อนี้เป็นการเลี้ยงฉลอง แต่หากไม่มีชื่อก็ถือเป็นงานเลี้ยงปลอบประโลมหัวใจอันแสนเปราะบางของพวกเรา คติของพี่รองคือ ‘ไม่มีปัญหาใดที่อาหารเลิศรสหนึ่งมื้อรับมือไม่ได้ ถ้ามีก็สองมื้อ ! ’ ”
มุมปากของหยานจิงหยูกระตุกทันที “น้องจื่อเหยียน คำพูดนี้ของนางมีเหตุผลมาก ! ”
หลินจื่อเหยียนต้องเข้าข้างพี่สาวอยู่แล้ว “แน่นอน ! พี่รองของข้ามีสติปัญญาล้ำเลิศ ! ”
“เจ้าตัวแสบ นินทาอะไรข้าอีก ? ” หลินเว่ยเว่ยได้ยินเสียงจึงออกมาจากห้องครัว ในมือยังถือมีดทำครัวอยู่ด้วย พอเห็นสีหน้าของคนกลุ่มนี้ หัวใจที่กังวลของนางก็คลายออกทันที…ในวันประกาศผลสอบ ผู้ปกครองเครียดยิ่งกว่าคนสอบเสียอีก !
หลินจื่อเหยียนฉีกยิ้มหน้าบานให้นาง “เปล่า เปล่า ข้าชมท่านต่างหาก ! ชมว่าท่านเป็นพี่สาวแสนดีที่สุดของที่สุดของที่สุดบนโลกใบนี้ ! ”
หลินเว่ยเว่ยชี้ไปที่ตัวเขา แต่แล้วทันใดนั้นนางก็ตระหนักได้ว่าท่าทางถือมีดของตนดูน่ากลัวไปหน่อย นางจึงลดระดับมีดลงแล้วพูดว่า “หลินต้าฮว๋า เจ้าโดนเอ้อร์ฮว๋าสิงร่างหรือไร ? พูดจาน่าขนลุกแบบนั้นออกมาได้ ! ”
หลินจื่อเหยียนอารมณ์ดีสุดๆ ใบหน้ายังคงเปื้อนยิ้ม “นั่นก็เพราะน้องสี่อายุยังน้อยจึงทำตัวออดอ้อนต่อหน้าท่านและพูดคำน่าฟังแบบไม่ต้องจ่ายเงินจ้างบ่อย ๆ ส่วนข้าแค่ซ่อนความเคารพและการชื่นชมในตัวท่านไว้ในก้นบึ้งของจิตใจ ! พี่รอง การมีท่านเป็นพี่สาวถือว่าเป็นโชคดีที่สุดในชาตินี้ของข้าแล้ว ! ”
เมื่อปีก่อน ครอบครัวประสบความยากลำบาก เขาต้องเผชิญปัญหาด้านการเงิน พอย้อนคิดแล้วชีวิตเช่นปัจจุบันดูทั้งห่างไกลและเพ้อฝันมาก ! ทุกครั้งที่เขาตื่นนอนหรือตกใจตื่นจากฝันร้ายก็มักกลัวว่าชีวิตในปัจจุบันจะเป็นเพียงความฝัน พอตื่นขึ้นมาแล้ว เขาก็ยังเป็นเด็กที่ไม่กล้ากินข้าวจนอิ่มท้องเพื่อประหยัดเงินไว้สำหรับซื้อพู่กันและแท่งหมึก อีกทั้งพยายามคัดลอกตำราของเพื่อนร่วมชั้นตลอดทั้งคืน
ในเวลานั้นตัวเขาก็ไม่รู้ว่าจะทนได้ถึงเมื่อใด ไม่รู้ว่าชีวิตจะไปในทิศทางไหนและไม่รู้ว่าชะตากรรมของคนในครอบครัวจะเป็นอย่างไร
ตอนที่พี่สาวคนโตส่งข่าวมาบอกว่าที่บ้านไม่มีอะไรกิน อีกทั้งท่านแม่ยังล้มป่วย เขาก็แทบหัวใจแตกสลาย จากนั้นหยิบเหรียญทองแดงที่เก็บไว้ซื้อแท่งหมึกออกไปซื้อข้าวมาสองสามชั่งแล้วเดินจนเจ็บเท้าเพราะไม่อยากเสียเงิน 2 อีแปะเป็นค่าโดยสารเกวียน ต้องเดินอยู่ครึ่งวันกว่าจะถึงบ้าน…ท่านแม่นอนสลบไสล พี่สาวคนโตมีน้ำตาอาบใบหน้าและน้องชายคนเล็กที่ตัวผอมอย่างกับอะไรดี…ในชั่วอึดใจนั้นเขาตัดสินใจว่าจะทิ้งการเรียนและหันมาแบกรับหน้าที่ดูแลครอบครัว…
แต่ในเวลานั้นเอง พี่รองที่เป็นตัวถ่วงของครอบครัวก็แบกธัญพืชและเนื้อหมูเข้ามาในบ้าน ร่างของนางที่ปรากฎในความทรงจำดูยิ่งใหญ่มาก
ตั้งแต่พี่รองหายจากอาการ ‘ป่วย’ สถานการณ์ของครอบครัวก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ นางทั้งล่าสัตว์ เก็บผลไม้ป่า ทำผลไม้อบแห้ง ทำของแปรรูปอย่างเช่นเนื้อแผ่น แยมผลไม้ และขายสูตรขนม ต่อมายังช่วยคนในหมู่บ้านก่อตั้งโรงงานแปรรูปเมล็ดสน…
ระยะเวลาสั้น ๆ เพียงครึ่งปี ฐานะทางการเงินของคนในครอบครัวก็เปลี่ยนไปราวฟ้ากับเหว สามารถซื้อโกดังตรงท่าเรือ สามารถแบ่งเงินปันผลกับร้านขายขนมและผลไม้อบหนิงจี้ ช่วงนั้นยังใช้สูตรอาหารแลกเป็นร้านค้าอันแสนเฟื่องฟูในอำเภอฝูอันได้อีกสองสามร้าน…เกิดเรื่องราวขึ้นมากมาย ทว่าแต่ละเรื่องเกิดจากความพยายามและการวางแผนของพี่รองทั้งหมด แล้วพี่สาวแบบนี้จะไม่ให้เขาชื่นชมและเคารพในตัวนางได้อย่างไร ?
หลินเว่ยเว่ยมองเขาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ก่อนจะใช้มือที่ไม่ได้จับมีดมาแตะหน้าผากอีกฝ่าย “ก็ไม่ได้ป่วย ! หรือผลสอบจะไม่ได้ดั่งใจจึงมาประจบข้าแทน ? ว่ามา เจ้าสอบได้ที่เท่าไหร่ ? ข้ารับรองว่าจะไม่ทุบเจ้าแน่นอน !…เจ้าคงไม่ได้ไร้ชื่อบนป้ายประกาศหรอกกระมัง ? ”
ตอนเอ่ยถึงประโยคสุดท้าย นางก็เริ่มพับแขนเสื้อแล้ว หลินจื่อเหยียนเห็นแบบนั้นก็รีบถอยหลังไปสองก้าวและพูดต่อทันที “ใช่ที่ไหน ! มีพี่เขยรองที่โดดเด่นขนาดนี้เป็นอาจารย์ หากข้ายังสอบตกอีกก็ไม่มีหน้าจะกลับมาแล้ว ! ”
เรี่ยวแรงของพี่รอง แค่หมัดเดียวก็ฆ่าหมูป่าตัวหนึ่งได้แล้ว ร่างกายอ่อนแอของเขา แค่นิ้วก้อยของนางก็ทนไม่ไหวแน่ !
ในเวลานี้หยางยี่หรานทำใจได้แล้ว พอเห็นสหายหวาดกลัวพี่สาวขนาดนั้น เขาก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “พี่รองหลิน หลินจื่อเหยียนสอบได้อันดับสูงที่สุดในหมู่พวกเรา อีกแค่นิดเดียวก็จะติดหนึ่งในสิบอันดับแรกแล้ว ! นอกจากข้าแล้ว พวกเขาทั้งสี่คนสอบผ่านหมดเลย ! ”
พอได้ยินแบบนั้น หลินเว่ยเว่ยก็ส่งสายตาปลอบโยนเขาทันที “เมื่อครู่ข้าแค่ล้อเขาเล่น แม้จะสอบไม่ติดก็ไม่เป็นไร เพราะพวกเจ้ายังเด็ก ปีนี้ไม่ติดปีหน้าค่อยสอบใหม่ ! อ้อ คุณชายหยานมาด้วยหรือ ? สอบได้อันดับดีสิท่า”
หลินจื่อเหยียนพูดด้วยความตื่นเต้น “พี่หยานสอบได้อันดับที่หนึ่ง ! ”
หลินเว่ยเว่ยเหลือบมองเขาด้วยความรังเกียจ “เจ้าจะตื่นเต้นขนาดนั้นทำไม ? คนไม่รู้ก็คงหลงคิดว่าเจ้าได้ที่หนึ่งเสียเอง ! ”
หลินจื่อเหยียนหัวเราะฮ่าฮ่า “ข้าดีใจแทนพี่หยานไงเล่า ! เดิมทีพี่หยานคิดจะเลี้ยงข้าวพวกเรา แต่เราจำได้ว่าพี่รองทำหม้อไฟจึงลากเขามาร่วมวงด้วย ! ”
หยานจิงหยูทำมือคารวะแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเขินอายเล็กน้อย “ข้ามารบกวนอีกแล้ว ! ”
“รบกวนอะไรกัน ! กินอาหารข้างนอกแพงจะตายไป รสชาติก็ธรรมดา จะจ่ายเงินมากมายไปเพื่ออะไร ทุกคนเข้าไปรอให้บ้านก่อน ประเดี๋ยวหม้อไฟก็เสร็จแล้ว ! ” หลินเว่ยเว่ยโบกมือให้อย่างไม่ใส่ใจ…คนเพิ่มอาหารไม่เพิ่ม แค่เพิ่มตะเกียบอีกคู่เท่านั้น