ตอนที่ 445 หน้าร้านที่ถนนฮั่นเจิ้ง

แม่ปากร้ายยุค​ 80

วันพุธมาถึงอย่างรวดเร็ว

ทั้งเป็นวันเปิดศาลพิจารณาคดีหมิ่นประมาทของหลินม่ายและกวนหย่งหัว และยังเป็นวันรับสมัครพนักงานของว่านทงกรุ๊ปอีกด้วย

ทว่าการเปิดพิจารณาคดีจะมีขึ้นในช่วงบ่าย ส่วนการรับสมัครมีขึ้นในช่วงเช้า

หลินม่ายตื่นแต่เช้า อาบน้ำแต่งตัวเสร็จสรรพ ตอนที่ลงไปซื้ออาหารเช้านั้น ก็ซื้อหนังสือพิมพ์ฉู่เป้าติดมือมาด้วย

เมื่อกลับมาถึงบ้าน เธอก็กินอาหารเช้าไปพลาง พลิกอ่านหนังสือพิมพ์ไปพลาง

หนิวลี่ลี่ไม่ทำให้เธอผิดหวังเลยสักนิดเดียว

ไม่เพียงรายงานเรื่องที่ผู้อำนวยการหูทำการทุจริตและถูกไล่ออกจากราชการเท่านั้น ยังพูดถึงเรื่องการติดสินบนผู้อำนวยการหูของโรงงานเสื้อผ้าซีม่านด้วย แต่ก็เพียงแค่ไม่กี่คำเท่านั้น

หลินม่ายเดาว่า สำนักหนังสือพิมพ์คงจะไม่ให้หนิวลี่ลี่เขียนมากไป ถึงอย่างไรซีม่านก็เป็นบริษัทที่ได้รับการสนับสนุนจากฮ่องกง

เมื่อถึงเวลาแปดโมงเช้า หลินม่ายก็มาถึงโรงงานเสื้อผ้า

เหรินเป่าจูและคนอื่นๆ ต่างรู้ว่าวันนี้เธอต้องไปพิจารณาคดีที่ศาล ทุกคนจึงถามอย่างเป็นห่วงว่าเธอกลัวการขึ้นศาลหรือไม่

คนในยุคนี้กลัวการขึ้นโรงขึ้นศาลมาก

หลินม่ายที่มาจากชาติก่อนเห็นเรื่องการขึ้นโรงขึ้นศาลจนชินตา จึงไม่กลัวเลยแม้แต่น้อย

เธอพูดด้วยรอยยิ้ม “พวกเราจะต้องชนะ ฉันมีอะไรต้องกลัวกัน”

ในตอนที่พูดประโยคนี้ ก็เหลือบไปเห็นโดยบังเอิญว่าในขณะที่เถาจืออวิ๋นมองมาที่เธอ สายตานั้นทั้งเป็นห่วงและหลบเลี่ยงด้วยความกังวลใจ

เมื่อวานหลังจากเลิกงานในช่วงบ่าย ขณะเถาจืออวิ๋นไปรับฉีฉีกลับบ้านที่โรงเรียนอนุบาล คุณครูของฉีฉีกำลังชี้ไปที่หญิงวัยกลางคนที่ดูใจดีมากๆ คนหนึ่ง แล้วถามฉีฉีว่า หล่อนเป็นเพื่อนร่วมงานของแม่เขาใช่ไหม

ฉีฉีที่กำลังไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไรดีเห็นเถาจืออวิ๋นเข้า ก็พลันเรียกคุณแม่อย่างดีใจ

หญิงวัยกลางคนที่ดูใจดีคนนั้นเห็นเถาจืออวิ๋นมาแล้ว ก็หันหน้าวิ่งหนีไปทันที แค่เห็นก็รู้ว่าต้องมีปัญหา

เถาจืออวิ๋นรู้สึกเคร่งเครียดขึ้นมาในทันที หล่อนวิ่งเหยาะๆ ไปหาคุณครู แล้วถามว่าเกิดอะไรขึ้น

คุณครูบอกกับเธอว่า เมื่อครู่ผู้หญิงคนนั้นแอบอ้างว่าเป็นเพื่อนร่วมงานคนสนิทของหล่อน บอกว่าได้รับการไหว้วานจากหล่อนให้มารับฉีฉีตอนเลิกเรียน

เถาจืออวิ๋นตื่นตระหนกจนเหงื่อเย็นผุดขึ้นทั่วร้าง หากหล่อนมาช้าไปสักสองสามนาที ไม่แน่ว่าฉีฉีอาจถูกผู้หญิงคนนั้นพาไปแล้ว

หล่อนกำชับกับคุณครูย้ำๆ หลายครั้ง ว่าครอบครัวของหล่อนนอกจากตากับยายของเด็กแล้ว ก็ไม่มีใครอื่นมารับฉีฉีเลิกเรียนอีกแล้ว

ให้คุณครูอย่าส่งเด็กให้กับคนอื่นนอกเหนือจากหล่อนและพ่อแม่ของหล่อน

คุณครูเองก็ตกใจไม่น้อย และพยักหน้าหลายครั้งอย่างจริงจัง

เถาจืออวิ๋นพาฉีฉีกลับบ้านด้วยความเสียขวัญ แต่กลับเห็นผู้หญิงคนนั้นเข้าระหว่างทาง

ผู้หญิงคนนั้นยิ้มให้เธออย่างน่าสะพรึง ขณะที่เดินเฉียดผ่านหล่อนไป ยังเอ่ยขึ้นว่า “ถ้าไม่อยากให้ลูกชายของเธอเป็นอะไร เธอก็ทำตัวให้ดีๆ แล้วกัน”

เถาจืออวิ๋นเข้าใจในทันทีว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น หล่อนตกใจกลัวจนขวัญหนีดีฝ่อ

หล่อนคร่ำเครียดอยู่ตลอดทั้งคืน แม้แต่นอนหลับก็ยังหลับไม่สนิท จนต้องมาทำงานด้วยขอบตาแพนด้า

โชคดีที่ทุกคนต่างกำลังสนใจเรื่องการขึ้นศาลของหลินม่าย จึงไม่มีใครใส่ใจสีหน้าซีดเซียวของหล่อน ไม่อย่างนั้นหล่อนคงต้องตอบคำถามด้วยคำโกหก

ทว่าสิ่งที่เถาจืออวิ๋นไม่รู้ก็คือ ทังชุ่นอิงที่กำลังยืนอยู่ในจุดที่ไม่เตะตานั้น ไม่เพียงสังเกตหล่อนอยู่ ยังจับตามองพวกหลินม่ายและคนอื่นๆ อยู่ด้วย

บริษัทซีม่าน ห้องผู้อำนวยการ

กวนหย่งหัวถามผู้ช่วยของเขา “ทั้งหมดไม่มีอะไรผิดพลาดใช่ไหม?”

เขาถามคำถามนี้กับผู้ช่วยของเขาเป็นครั้งที่สองแล้ว

ครั้งแรกคือเมื่อสามวันก่อน

ผู้ช่วยพยักหน้าอย่างมั่นใจเต็มที่ “ไร้ข้อผิดพลาดอย่างแน่นอนครับ เมื่อครู่นี้ ผมยังถามสายข่าวภายในที่ Unique เกี่ยวกับสถานการณ์ของเถาจืออวิ๋นด้วยตัวเองแล้วด้วย หล่อนบอกว่าหล่อนคอยจับตามองเถาจืออวิ๋นทุกวัน รับประกันได้ว่าเถาจืออวิ๋นไม่ได้เปิดเผยข้อมูลกับหลินม่ายแน่นอน อีกทั้งเมื่อวานตอนบ่านผมได้ส่งคนไปข่มขู่เถาจืออวิ๋นแล้ว หากหล่อนไม่ทำตามที่ผมบอก ก็ให้ระวังลูกชายของหล่อนไว้ได้เลย สีหน้าของหล่อนตอนนั้นกลัวจนซีดเผือดแทบจะคำนับ ผมรับประกันว่าหล่อนจะเชื่อฟังแน่นอน”

กวนหย่งหัวลูบคางพลางถาม “หลินม่ายไม่นึกสงสัยอะไรเลยงั้นเหรอ? ผู้หญิงคนนั้นฉลาดมากทีเดียวนะ”

“น่าจะไม่ได้เอะใจอะไรครับ” ผู้ช่วยพูด “คนที่ผมส่งไปตามติดประธานหลินบอกว่า ประธานหลินได้ยินว่าเถาจืออวิ๋นกำลังจิตใจว้าวุ่นเพราะแม่ของหล่อนจะให้หล่อนไปดูตัว จึงตั้งใจไปคุยกับแม่เถามาแล้ว ถ้าหล่อนเกิดสงสัยเถาจืออวิ๋น ก็คงไม่ไปหาแม่เถาเพื่อคลายเรื่องกวนใจของเถาจืออวิ๋นหรอกครับ คนที่หลินม่ายเชื่อใจที่สุดก็คือเถาจืออวิ๋น เธอไม่มีทางคิดว่าเถาจืออวิ๋นจะทรยศเธอได้หรอกครับ”

กวนหย่งหัวกระหยิ่มยิ้มย่อง “นายบอกกับศาลตอนนี้ได้เลย ว่าฉันขอให้มีการพิจารณาคดีโดยเปิดเผย(1) และต้องเชิญนักข่าวมาติดตามและรายงานข่าวด้วย นักข่าวมายิ่งเยอะก็ยิ่งดี”

ผู้ช่วยรับคำสั่งแล้วออกไป

กวนหย่งหัวยิ้มเย็นพร้อมพูดรำพึงกับตนเอง “คิดอยากจะรวบหัวรวบหางฉันเหรอ ไม่รู้เสียแล้วว่าใครกันแน่ที่จะป่นปี้!”

……

หลินม่ายจัดประชุมขนาดย่อมขึ้นเป็นเวลาสั้นๆ ก่อนการรับสมัคร

จุดประสงค์ก็เพื่อต้องการรู้ว่างานที่มอบหมายให้กับพวกเหรินเป่าจูนั้นคืบหน้าไปถึงไหนแล้ว

เหรินเป่าจูบอกว่าหล่อนได้เช่าอาคารโรงงานแห่งหนึ่งเอาไว้แล้ว แต่กำลังเตรียมที่จะรับสมัครคนงานผู้พิการมาฝึกอบรมในไม่ช้า

พอซื้อสายพานสำหรับกระบวนการผลิตมาและจ้างนักออกแบบเรียบร้อยแล้ว คนงานเองก็ฝึกอบรมไปพอสมควรแล้ว ถึงตอนนั้นก็สามารถเริ่มเดินเครื่องได้เลยค่ะ

เจิ้งซวี่ตงบอกว่าเขาได้ซื้ออาคารสำหรับเป็นหน้าร้านที่อยู่ใกล้กับห้างลิ่วตู้เฉียวหลังนั้นเอาไว้แล้ว ขั้นต่อไปก็คือหาคนมาตกแต่งปรับปรุง

ไม่เพียงอาคารหน้าร้านหลังนั้นเท่านั้นที่ต้องปรับปรุง หน้าร้านที่ซื้อไว้ก่อนหน้านี้เองก็ต้องปรับปรุงเช่นกัน โดยจะพยายามเปิดกิจการให้ได้ก่อนวันชาติ

วังเสี่ยวลี่เองก็ซื้อหน้าร้านที่หล่อนเล็งเอาไว้สองแห่งนั้นแล้ว

หลินม่ายให้เจิ้งซวี่ตงรับหน้าที่การปรับปรุงตกต่างหน้าร้านทั้งหมด สไตล์ในการตกแต่งนั้นเธอจะออกแบบกับเขาอีกทีในภายหลัง และยังแนะนำเขาว่า เรื่องการปรับปรุงนั้นให้ไปหานายช่างจางได้เลย

นายช่างจางเคยปรับปรุงหน้าร้านหลังนั้นที่เธออยู่ในปัจจุบันมาก่อน จึงนับว่ามีประสบการณ์ที่แน่นอนในด้านการปรับปรุงตกแต่ง

เจิ้งซวี่ตงพยักหน้า แล้วถามขึ้นอีกครั้งว่าเขาเห็นมีคนจะขายหน้าร้านที่ถนนฮั่นเจิ้ง ถามหลินม่ายว่าต้องการจะซื้อเอาไว้ไหม

มีคนจะขายหน้าร้านที่ถนนฮั่นเจิ้ง นั่นมันโอกาสทองที่หาได้ยากสุดๆ เลยนะ

หลินม่ายพยักหน้าทันทีทันใด “แน่นอนว่าต้องซื้อไว้สิคะ ยังต้องถามอีกเหรอ!”

ปกติแล้วเจิ้งซวี่ตงทำงานค่อนข้างเชื่อถือได้ แต่ทำไมเขากลับลังเลกับเรื่องนี้ได้นะ?

ในขณะที่หลินม่ายกำลังงุนงง ก็ได้ยินเจิ้งซวี่ตงพูดขึ้นอย่างลังเล “หน้าร้านนั้นเล็กมาก มีพื้นที่ใช้สอยแค่ 24 ตารางเมตรเท่านั้นเองครับ”

หลินม่ายพูด “24 ตารางเมตรก็ไม่เล็กแล้วค่ะ คุณซื้อมาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้เลย เมื่อเสื้อผ้า Unique มีหน้าร้านขายส่งที่ถนนฮั่นเจิ้งแล้ว ก็ไม่ต้องให้เถ้าแก่เกามาเป็นตัวแทนจำหน่ายให้เราแล้วล่ะค่ะ”

ถ้าเถาแก่เกามาจากต่างมณฑลอยากเป็นร้านค้าตัวแทนจำหน่ายของ Unique หลินม่ายก็คงตอบตกลงไปนานแล้ว

แต่ที่เจียงเฉิง เธอไม่หาร้านตัวแทนจำหน่ายอย่างไรก็ได้ทั้งนั้น

ร้านตัวแทนจำหน่ายก็คือพ่อค้าคนกลาง ไม่เพียงเถ้าแก่ที่รับสินค้าไปจะขึ้นราคาสินค้าสินค้าเท่านั้น Unique ยังได้กำไรน้อยลงด้วย

เจิ้งซวี่ตงอธิบายเหตุผลที่เขาสองจิตสองใจ “24 ตารางเมตรนี้แบ่งเป็นสองชั้น ชั้นบนและล่างชั้นละ 12 ตารางเมตร หน้าร้านด้านล่าง 12 ตารางเมตร กว้าง 2 เมตร ยาว 6 เมตร ดูเหมือนกับทางเดินอย่างไรอย่างนั้น ไม่เหมาะจะขายเสื้อผ้าเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการใช้เป็นหน้าร้านขายส่ง หน้าร้านนี้มีจุดเด่นเพียงอย่างเดียวก็คือทำเลดีเป็นพิเศษ อยู่ที่หัวมุมถนนเส้นเดียวกับร้านขายของจุกจิกครับ”

เขายิ้มเหยเกเล็กน้อย “พูดตามตรง หน้าร้านนี้ก็เหมือนได้ซี่โครงไก่ ซื้อมาก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรมาก ไม่ซื้อก็ไม่รู้สึกเสียดาย”

“ซื้อไว้เลยค่ะ”

หลินม่ายเอ่ยอย่างเฉียบขาด “หน้าร้านที่เหมือนกับทางเดินแบบนี้ ก็ไม่ได้จะทำเป็นร้านเสื้อผ้าขายส่งเสียหน่อย เพียงแค่หน้าร้านแคบไป ต่อให้เข้ามาไม่กี่คนก็แออัดมากแล้ว ก็อาจทำให้เถ้าแก่ที่ซื้อสินค้าบางคนเห็นแล้วยั้งฝีเท้าไปเท่านั้น แต่ว่าหน้าร้านซี่โครงไก่แบบนี้เหมาะสมกับการเปิดร้านเครื่องประดับขายส่งอย่างมากแค่แขวนตัวอย่างเครื่องประดับแต่ละอย่างไว้บนผนังก็ได้แล้ว ไม่ได้ใช้พื้นที่เยอะเลย หน้าร้านยาว 6 เมตร กว้าง 2 เมตร สามารถแขวนตัวอย่างเครื่องประดับได้ไม่น้อย สินค้าก็เก็บไว้ที่ชั้นสอง ฉันจะติดโทรศัพท์ไว้ในร้าน พอสินค้าที่ชั้นสองขายไปพอสมควรแล้ว ก็ให้พนักงานร้านโทรมาที่โรงงาน โรงงานจะจัดคนไปเพิ่มสินค้าให้”

ตั้งแต่ตัดสินใจเปลี่ยนไป๋เหอโถวซื่อเป็นร้านเครื่องประดับไป๋เหอ ขยายขอบเขตธุรกิจ หลิยม่ายก็กำลังคิดอยู่ว่าควรจะทำตลาดอย่างไรดี

ถ้าซื้อหน้าร้านที่แคบและยาวนั้นที่ถนนฮั่นเจิ้งมาได้ ก็ไม่ต้องกลุ้มใจกับช่องทางการจำหน่ายแล้ว

ในยุคนี้ ต่อให้วางก้อนอึสุนัขขายในถนนฮั่นเจิ้งก็ยังขายออก นับประสาอะไรกับเครื่องประดับสวยๆ

หลังจบการประชุม ต่อมาก็คือการรับสมัครพนักงาน

หลินม่ายรับสมัครเฉพาะบุคลากรในแผนกบุคคลและแผนกบัญชี

เธอคัดเลือกผู้สมัครรอบแรกเป็นจำนวนสองเท่าของจำนวนผู้รับสมัครตามแผนการเดิม

เรื่องการรับสมัครพนักงานในร้านสาขาของ Unique เปาห่าวชือและเหรินเจียนเยียนหั่วทั้งหมดถูกมอบหมายให้กับแผนกบุคคลที่เพิ่งรับสมัครมา เพื่อทดสอบความสามารถในการทำงานของพวกเขา

ในด่านนี้จะเป็นการคัดเลือกซ้ำอีกครั้ง โดยมีเจิ้งซวี่ตงเป็นผู้ควบคุมดูแล

คนที่ความสามารถในการปฏิบัติงานดีก็เก็บไว้ คนที่ทำไม่ได้ก็คัดออก

แผนกบัญชีเองก็ทำเหมือนกัน ต้องผ่านการคัดเลือกซ้ำเช่นเดียวกัน

การคัดเลือกรอบสองของแผนกบัญชีมีเหรินเป่าจูเป็นผู้รับผิดชอบ

หัวข้อในการคัดเลือกซ้ำก็คือการตรวจสอบบัญชี

ตอนที่พนักงานบัญชีผู้ผ่านการคัดเลือกรอบแรกเหล่านั้นตรวจสอบบัญชีที่แผนกบัญชี ทั้งไช่เจาตี้และจินชุ่นเปี่ยวต่างก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

จะตรวจก็ตรวจไปสิ อย่างแรกพวกหล่อนไม่ได้ทำบัญชีผิดพลาด สองไม่ได้ปลอมบัญชี หากมีการยักยอกก็ตรวจสอบได้ตามสบาย

จะมีก็แต่ทังชุ่นอิงที่สีหน้าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาไม่อาจคาดเดา

ไม่ใช่เพราะหล่อนกลัวว่าจะตรวจเจอบัญชีปลอมของหล่อน

ตั้งแต่เรื่องการยักยอกเงินถูกเปิดโปง หลังจากถูกหลินม่ายเรียกไปสั่งสอนที่ห้องทำงาน หล่อนก็ไม่กล้ายักยอกเงินอีกแม้แต่เฟินเดียว

แต่สิ่งที่หล่อนไม่พอใจก็คือ หล่อนเองก็กลับเนื้อกลับตัวแล้ว ทว่าหลินม่ายกลับไม่ยอมให้โอกาส ยืนกรานจะไล่หล่อนออกให้ได้

พนักงานบัญชีผู้ผ่านการคัดเลือกรอบแรกเหล่านั้นกำลังตรวจสอบบัญชี พวกทังชุ่นอิงทั้งสามคนที่ไม่มีอะไรทำจึงพากันออกไปนอกห้องทำงาน

ทังชุ่นอิงมองคนพวกนั้นซึ่งกำลังจดจ่ออยู่กับการตรวจสอบบัญชีในห้องทำงานเล็กน้อย

แล้วเอ่ยเสียงเบาพูดกับจินชุนเปี่ยว “ฉันบอกเธอแล้ว ว่าการรับสมัครพนักงานบัญชีนั้นมุ่งเป้ามาที่พวกเรา เธอก็ยังไม่เชื่อ! ตอนนี้เธอคงจะเชื่อแล้วสินะ”

จินชุนเปี่ยวไม่ได้รับรู้เรื่องการยักยอกเงินบริษัทของทังชุ่นอิงแม้แต่น้อย แต่ไช่เจาตี้กลับรู้ชัดเจนแจ่มแจ้ง

เพียงแต่ทังชุ่นอิงไม่รู้ว่าไช่เจาตี้รู้เรื่องฉาวโฉ่ของหล่อน เอาแต่คิดว่านอกจากตัวเองแล้วก็มีแค่เหรินเป่าจูกับหลินม่ายเท่านั้นที่รู้

ไม่อย่างนั้นก็คงไม่ยุยงเสี้ยมสอนอย่างไร้ยางอายได้

ไช่เจาตี้ชำเลืองมองทังชุ่นอิงราวกับมองตัวตลกต่ำทราม “ทำไมฉันไม่เห็นจะรู้สึกว่ามุ่งเป้ามาที่พวกเราเลย? หัวหน้าโรงงานหลินม่ายอยากจะตรวจสอบบัญชีก็เป็นเรื่องธรรมดาไม่ใช่เหรอ ที่ทำงานเมื่อก่อนของพวกเราเองก็ตรวจสอบบัญชีเหมือนกันไม่ใช่หรือไง?”

จินชุนเปี่ยวพยักหน้า “ใช่แล้วๆ !”

ทังชุ่นอิงก่อเรื่องล้มเหลวอีกครั้ง ในใจจึงรู้สึกหดหู่สุดๆ

หลินม่ายไม่ได้อยู่ที่โรงงานนานนัก

ช่วงเช้าวันนี้เธอมีเรื่องต้องจัดการไม่น้อยเลย

เมื่อออกมาจากโรงงาน เธอก็ไปที่สถานีขนส่งทางรถไฟ

เมื่อสองวันก่อนเคอจื่อฉิงโทรมาบอกเธอว่า แฮมกระป๋อง คุกกี้และลูกกวาดที่ช่วยเธอซื้อจะมาถึงในช่วงเช้าวันนี้ เธอต้องไปเซ็นรับของ

ตอนที่หลินม่ายขี่จักรยานมาถึงสถานีขนส่งทางรถไฟด้วยความเร่งรีบ จ้าวเลี่ยงก็ขับรถบรรทุกพาลูกน้องอีกสามสี่คนมาถึงอยู่ก่อนแล้ว และกำลังรอเธออยู่

หลังดำเนินการเซ็นรับของเสร็จแล้ว พนักงานของสถานีขนส่งทางรถไฟสามสี่คนก็ส่งมอบสินค้าของหลินม่ายให้กับเธอ

สินค้าถูกขนกลับไปที่ตลาดสดฝูตัวตัว เรื่องแรกที่หลินม่ายทำก็คือเอาแฮมกระป๋องกับคุ้กกี้ลูกกวาดออกมาให้ทุกคนลิ้มชิมรสกันเล็กน้อย รสชาติไม่เลวเลยทีเดียว

หลินม่ายสั่งให้จ้าวเลี่ยงเอาแฮมกระป๋อง300กระป๋อง คุ้กกี้500กล่อง และลูกกวาด50กิโลกรัมทดลองขายในตลาดสดทันที

จ้าวเลี่ยงหันไปมอบหมายงานนี้ให้กับลูกน้องคนหนึ่ง

ไม่ว่าจะเป็นแฮมกระป๋อง หรือว่าคุ้กกี้และลูกกวาด ต่างมีจำนวนที่ไม่น้อย

หากเอามาวางขายในตลาดสด ก็ได้เพียงส่วนเล็กมากๆ ส่วนหนึ่งเท่านั้น

ตอนนี้สภาพอากาศของเจียงเฉิงยังร้อนมาก นอกจากคุ้กกี้ที่สามารถเก็บไว้ในโกดังได้แล้ว แฮมกระป๋องกับลูกกวาด น่ากลัวว่าวางไว้สักสิบวันสิบห้าวันก็เสียแล้ว

หลินม่ายให้จ้าวเลี่ยงไปเช่าห้องแช่แข็งของรัฐตรงถนนต้าจื้อที่อยู่ห่างจากตลาดสดฝูตัวตัวไปเจ็ดแปดสถานี แล้วเอาลูกกวาดกับแฮมกระป๋องไปเก็บแช่แข็งไว้ เท่านี้ก็ไม่ต้องกลัวสินค้าจะเสียคุณภาพแล้ว

จ้าวเลี่ยงขี่จักรยานไปที่ห้องแช่แข็งของรัฐวิสาหกิจเพื่อเจรจาขอเช่าในทันที

หลินม่ายให้ลูกน้องคนหนึ่งเหลือแฮมกระป๋องกับคุ้กกี้และลูกกวาดเก็บไว้ให้เธอไม่น้อย แบ่งบรรจุเป็นถุงของขวัญใบใหญ่หลายใบ

เธอหิ้วถุงของขวัญใบใหญ่สองใบขี่จักรยานไปที่ไซต์ก่อสร้าง

ผู้อาวุโสเจิ้งและเฉินเฟิงตระเวนดูพื้นที่ก่อสร้างเสร็จแล้ว เพิ่งจะกลับมาตากพัดลม ดื่มซุปถั่วเขียวที่ห้องทำงาน หลินม่ายก็ถือถุงของขวัญใบใหญ่สองใบมาหา ให้ผู้อาวุโสเจิ้งกับเฉินเฟิงคนละถุง

ผู้อาวุโสเจิ้งยังคงรักษาท่าทางแล้วเปิดถุงของขวัญอย่างเก้อเขิน ส่วนเฉินเฟิงนั้นคุ้นเคยกับหลินม่ายเป็นอย่างดีแล้ว จึงเปิดถุงของขวัญตรงนั้นทันทีต่อหน้าเธออย่างไม่เกรงใจ มองดู ทั้งแฮมกระป๋องทั้งคุ้กกี้และลูกกวาด

เขาไม่ได้สนใจอะไรกับลูกกวาดคุ้กกี้นัก แต่เมื่อเห็นแฮมกระป๋องที่เขียนด้วยภาษาต่างประเทศกลับดีใจแทบไม่ไหว

เขาอยากจะถามหลินม่ายมากว่าแฮมกระป๋องอะไรพวกนี้ได้มาจากด่านศุลกากรใช่ไหม เอามาเท่าไร แล้วต้องให้เขาหาผู้ซื้อให้ไหม

แต่ผู้อาวุโสเจิ้งก็อยู่ตรงนี้ เขาจึงไม่สะดวกที่จะถาม

ผู้อาวุโสเจิ้งรู้ว่าหลินม่ายมาที่ไซต์ก่อสร้างเพื่อเอาแบบแปลน เมื่อดื่มซุปถั่วเขียวเสร็จ เขาก็ไปหยิบแบบแปลนที่ห้องพักผ่อนของตัวเอง

เมื่อนั้นเฉินเฟิงจึงถามหลินม่าย ว่าเธอไปที่ด่านศุลกากรมาเมื่อไร? เอาสินค้าอะไรมาบ้าง แต่ละอย่างมีเท่าไร ต้องให้เขาหาผู้ซื้อให้หรือเปล่า

………………………………………………………………………………………………………………………….

(1)การพิจารณาคดีโดยเปิดเผย คือการพิจารณาคดีโดยมีสาธารณชนเป็นผู้รับรู้ บุคคลทั่วไปสามารถเข้าฟังการพิจารณาคดีได้ เป็นการปกป้องจำเลยจากการใช้อำนาจโดยมิชอบ ในขณะเดียวกันก็ให้สาธารณชนที่สังเกตการณ์อยู่เป็นประจักษ์พยานให้กับศาลได้ด้วย

สารจากผู้แปล

คลื่นใต้น้ำแรงมากเลยม่ายจื่อ แถมยังเป็นคนใกล้ตัวเสียด้วย ไม่รีบอุดรอยรั่วตรงนี้ไว้จะเสียหายหนักมากนะ

ไหหม่า(海馬)