ตอนที่ 446 นโยบายลดหย่อน

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 446 นโยบายลดหย่อน

หลินม่ายส่ายหน้า “ฉันมีเวลาไปด่านศุลกากรที่ไหนกัน เคอจื่อฉิงช่วยฝากสินค้าทั้งหมดส่งทางรถไฟมาเจียงเฉิงให้ฉันต่างหาก ครั้งนี้เอาสินค้ามาทั้งหมด3อย่าง ก็คือลูกกวาดคุ้กกี้และแฮมกระป๋องที่ให้นายนั่นแหละ แฮมกระป๋องมีหนึ่งหมื่นกระป๋อง ลูกกวาดและคุ้กกี้เองก็ไม่น้อย นายคิดว่าต้องติดต่อกับพ่อค้าคนกลางในเครือข่ายของนาย แล้วเอาไปขายสักส่วนหนึ่งไหม?

เฉินเฟิงครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วพูด “ลองขายดูในตลาดสดก่อน ถ้าขายดีเราก็ขายในตลาดสด เราจัดการเองจะได้กำไรมากกว่าขายให้กับพ่อค้าคนกลางพวกนั้นในราคาส่งมาก ถ้าขายที่ตลาดสดได้ไม่ดี ฉันค่อยติดต่อหาผู้ซื้อก็ยังไม่สาย”

หลินม่ายพยักหน้า

ในตอนนั้นเอง ผู้อาวุโสเจิ้งก็เอาแบบแปลนกลับมาพอดี

หลินม่ายและเฉินเฟิงหุบปากฉับไม่พูดถึงสินค้าล็อตนั้นที่ซื้อมาจากด่านศุลกากรอย่างรู้กัน

เฉินเฟิงรอให้ผู้อาวุโสเจิ้งนั่งลง แล้วจึงหันพัดลมให้พัดไปทางเขา

ผู้อาวุโสเจิ้งยื่นแบบแปลนที่วาดเสร็จแล้วให้หลินม่าย

หลินม่ายพูดอย่างจริงใจ “ขอบคุณค่ะผู้อาวุโสเจิ้ง ลำบากคุณแล้วล่ะ”

ปัญญาชนในยุคนี้ต่างก็มีนิสัยเรียบง่ายมาก รู้จักเพียงอุทิศตัวเพื่อศึกษาในสาขาของตนอย่างซื่อสัตย์ตรงไปตรงมา

ผู้อาวุโสเจิ้งเองก็ไม่เว้น เขาไม่รู้จักการเอารัดเอาเปรียบผู้อื่นเลยแม้แต่น้อย

เขาโบกมือให้หลินม่าย พูดตามความจริง “ไม่ลำบากหรอก การวาดแบบแปลนสำหรับฉันแล้วก็เป็นเพียงงานผ่อนคลายอารมณ์ หัวสมองของฉันได้แล่นสักหน่อย ชีวิตนี้ก็คงไม่เป็นโรคสมองเสื่อมแล้วล่ะ”

หลินม่ายหัวเราะ แล้วเปิดแบบแปลนนั้นออกดู อย่างไรมันก็ถูกวาดโดยมืออาชีพ สถาปัตยกรรมทั้งหมดบนนั้นมองเพียงปราดเดียวก็เข้าใจได้

ผู้อาวุโสเจิ้งยื่นกระดาษที่ดูเหมือนรายงานบัญชีให้เธออีกครั้ง “นี่คืองบประมาณค่าก่อสร้างของสิ่งปลูกสร้างทั้งหมด เช่นอาคารโรงงาน อาคารสำนักงานใหญ่ โรงอาหารหรืออื่นๆ พวกนี้ที่ฉันทำให้น่ะ”

หลินม่ายพูดอย่างตกตะลึง “ผู้อาวุโสเจิ้งคำนวณงบประมาณเป็นด้วยเหรอคะ!”

เธอยังเตรียมจะเอาแบบแปลนไปให้ใครสักคนคำนวณงบประมาณให้อยู่เลย!

ผู้อาวุโสเจิ้งได้ยินคำพูดของหลินม่าย ไม่เพียงไม่โมโหแต่ยังหัวเราะขึ้นมาอีกด้วย

เขาใช้นิ้วชี้หลินม่ายไปอย่างไม่จริงจัง “หนูนี่คงจะไม่รู้สินะ พวกเราน่ะสร้างอาคารสถาปัตยกรรมไม่เพียงวาดแบบเป็นเท่านั้น ยังทำงบประมาณค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างเป็นด้วย นี่ล้วนเป็นทักษะพื้นฐานทั้งนั้นเลย”

“มิน่าล่ะคะ” หลินม่ายพูดอย่างเก้อเขิน

เธอก้มหน้าลงอ่านงบประมาณค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างสองสามใบนั้น

งบประมาณค่าก่อสร้างของผู้อาวุโสเจิ้งนั้นเขียนไว้อย่างละเอียดชัดเจน ว่าต้องซื้อทรายกรวดหินประมาณเท่าไร ราคาตลาดในปัจจุบันเท่าไร รวมแล้วเป็นเงินเท่าไร

ต้องใช้เหล็กเส้นขนาดไหนจำนวนเท่าไร ราคาต่อหน่อย ราคารวม…ทั้งหมดมองแค่ครั้งเดียวก็เข้าใจได้ทันที

หลินม่ายอ่านไปจนถึงหน้าสุดท้าย เห็นว่านอกจากเงินสำหรับซื้อที่ดินที่ไม่ได้นับรวมเข้าไปด้วย ค่าใช้จ่ายทั้งหมดต้องใช้เงินหนึ่งล้านหยวนต้นๆ

ในปัจจุบันเงินทุนของบริษัทมีอยู่กว่าห้าล้านหยวน ค่าใช้จ่ายนี้ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อเงินทุนหมุนเวียนของบริษัท เธอยอมรับได้อย่างสมบูรณ์

ยิ่งไปกว่านั้นยังมีสินค้าที่เอากลับมาจากศุลกากรในครั้งนี้ด้วย ขอแค่พวกเขาขายหมด ก็ชักกำไรคืนมาได้ไม่น้อย

หลังจากหลินม่ายอ่านงบประมาณค่าใช้จ่ายจบ ก็เงยหน้าขึ้นพูดกับผู้อาวุโสเจิ้งอย่างสงสัย “ฉันเห็นในแบบแปลนของท่านระบุว่าการสร้างอาคารโรงงานจำเป็นต้องใช้พื้นที่300หมู่ ก่อนหน้านี้บอกว่าว่าแค่50หมู่ก็พอแล้วไม่ใช่เหรอคะ? ในแบบแปลนยังมีอีกไม่น้อยที่ท่านวาดเป็นกรีนเบลท์(1) โรงงานไม่จำเป็นต้องมีกรีนเบลท์เยอะขนาดนั้นนะคะ”

ผู้อาวุโสเจิ้งหัวเราะพร้อมอธิบาย “ก่อนหน้านี้ฉันออกแบบโรงงานตามจำนวนพนักงานหนึ่งพันกว่าคน ดังนั้นจึงบอกว่าใช้พื้นที่แค่150หมู่ก็พอแล้ว แต่หลังจากนั้นมาคิดอีกที โรงงานของหนูต่อไปจะต้องก้าวหน้าขึ้นอีกแน่ พนักงานก็จะมากขึ้น อย่างนั้นก็ต้องสร้างโรงงานเพิ่มขึ้นอีก ดังนั้นเมื่อกำหนดพื้นที่ของฐานการสร้างเอาไว้300หมู่ ก็เลยออกแบบกรีนเบลท์ไว้มากขนาดนั้น ในขณะที่โรงงานยังไม่ขยายตัว กรีนเบลท์พวกนี้ก็สามารถเอาไว้เป็นสภาพแวดล้อมดีๆ ให้เจริญหูเจริญตาของโรงงาน เมื่อโรงงานจำเป็นต้องขยับขยาย แค่ขุดพื้นที่กรีนเบลท์พวกนั้นทิ้งไป ก็สามารถโรงงานได้แล้ว หนูจะได้ไม่ต้องกังวลใจเรื่องการซื้อที่ดิน และสร้างโรงงานใหม่อีก”

เมื่อได้ฟังผู้อาวุโสเจิ้งพูด ว่าต่อไปโรงงานของตนจะขยายขึ้นอีก หลินม่ายก็พลันเบิกบานดีใจ

การทำธุรกิจนั้น ใครจะไม่ชอบฟังคำอันเป็นศิริมงคลบ้าง เธอเองก็ไม่ยกเว้น

หลินม่ายพูดอย่างขวยเขิน “ผู้อาวุโสเจิ้งพิจารณารอบคอบจริงๆ”

พูดพลางเธอก็หยิบเอาซองแดงที่เตรียมไว้นานแล้วออกมาจากกระเป๋า ก่อนยื่นให้ผู้อาวุโสเจิ้งอย่างนอบน้อม “น้ำใจเล็กน้อย ไม่ต้องเกรงใจหรอกค่ะ”

ผู้อาวุโสเจิ้งสีหน้าตะลึง “ทำไมหนูถึงให้ซองแดงฉันล่ะ?”

เฉินเฟิงอธิบายอยู่ข้างๆ “ท่านช่วยออกแบบแบบแปลนให้ม่ายจื่ออยู่ตลอด ทั้งยังทำงบประมาณค่าใช้จ่ายให้ด้วย หล่อนจะให้ซองแดงท่านก็เป็นเรื่องธรรมดาไม่ใช่เหรอครับ?”

ผู้อาวุโสเอ่ยอย่างซื่อสัตย์จริงใจ “โธ่เอ๊ย ตอนนั้นฉันก็บอกแล้วว่าจะช่วย จะไปรับซองแดงได้ยังไง ฉันไม่เอาหรอก หนูรีบเอากลับไปเถอะ!”

หลินม่ายพูดด้วยรอยยิ้ม “แต่ฉันเกรงใจที่จะให้ท่านเอาแต่ช่วยเรื่องใหญ่ขนาดนี้อยู่ตลอดนะคะ ท่านยอมออกแบบและคำนวณงบมาณให้ฉัน ฉันก็ซาบซึ้งใจแย่แล้ว”

สุดท้าย ผู้อาวุโสเจิ้งก็รับซองแดงนั้นด้วยการหว่านล้อมของหลินม่ายและเฉินเฟิง

เมื่อกลับมาที่ห้องพักผ่อนของตน ผู้อาวุโสเจิ้งก็เปิดซองแดงออกดู ในนั้นมีเงิน500หยวนยัดเต็มซอง มิน่าเล่าซองแดงถึงหนาขนาดนี้!

เขารู้สึกตื้นตันในใจ แม่หนูน้อยช่างทำอะไรใจกว้างเสียจริง

เมื่อก่อนเขาออกแบบแบบแปลนรวมทั้งคำนวณงบประมาณที่องค์กร เบื้องบนก็ให้รางวัลเขาอย่างมากก็100หยวน

หลินม่ายถือแบบแปลนและงบประมาณค่าใช่จ่ายไปที่สำนักงานเขต

ในมือของผอ.เขตโอวหยางกำลังถือเอกสารฉบับหนึ่ง และออกคำสั่งอะไรบางอย่างกับเลขาอยู่พอดี

เมื่อเห็นหลินม่ายมาแล้ว เขาก็พูดด้วยรอยยิ้ม “กำลังจะให้เลขาไปเรียกคุณอยู่เลย คุณก็มาเสียแล้ว”

เขาเชิญหลินม่ายนั่งลง แล้วยื่นเอกสารในมือให้เธออ่าน “หลังจากที่ผมเอาปัญหาของคุณไปรายงานต่อเบื้องบน เมื่อวานตอนบ่ายเบื้องบนก็ได้ส่งเอกสารลงมา องค์กรเอกชนใดที่ต้องการซื้อที่ดินสร้างโรงงาน ก็จำเป็นต้องเอาเงินมาซื้อ แต่สิ่งที่รัฐบาลขายให้นั้นคือสิทธิ์ในการใช้สอย ไม่ใช่กรรมสิทธิ์ทั้งหมด คุณเข้าใจความหมายของผมใช่ไหม?”

หลินม่ายยิ้มพลางพยักหน้า “เข้าใจค่ะ ก็เหมือนกับการเช่าสิ่งของของคนอื่น สิ่งของนี้ตนทำได้เพียงใช้สอยในระยะเวลาการเช่า ไม่ใช่เจ้าของเดิม”

ผอ.เขตโอวหยางพยักหน้า “คุณเข้าใจได้ถูกต้องเลย ไม่ได้ใช้ได้โดยไม่มีกำหนด แต่มีระยะเวลาอยู่ เหมือนกับที่ดินที่คุณใช้สร้างโรงงานแบบนี้ เรียกว่าที่ดินอุตสาหกรรม มีระยะเวลา50ปี”

หลินม่ายพลิกเอกสารที่ผอ.เขตโอวหยางให้เธอมาดูอย่างเร็วๆ รอบหนึ่ง แล้วเงยหน้าขึ้นถาม “ราคาเท่าไรเหรอคะ?”

“1หมู่200หยวน”

หลินม่ายตกตะลึง

เธอไม่นึกเลยว่าราคาที่ดินอุตสาหกรรมในยุค80จะแพงขนาดนี้

“อย่างนั้น…ที่ดินสำหรับสร้างที่อยู่อาศัยล่ะคะ” หลินม่ายถามหยั่งเชิง

ระหว่างทางขามา เธอก็เคยคิดบ้างว่าหากสามารถซื้อที่ดินอุตสาหกรรมมาได้อย่างง่ายๆ เธอก็จะลองถามดูสักหน่อยว่าสามารถซื้อที่ดินสำหรับที่อยู่อาศัยได้ไหม

ในเมื่อจะทำอสังหาริมทรัพย์ งั้นก็ต้องล้อมคอกก่อนวัวหาย ทำความเข้าใจกับแต่ละสถานการณ์อย่างชัดเจน

ผอ.เขตโอวหยางถามด้วยรอยยิ้ม “คุณยังคิดจะสร้างบ้านขายด้วยเหรอครับ?”

หลินม่ายมีความคิดนี้อยู่จริงๆ แต่เธอไม่ยอมรับ

เธอยิ้มอย่างเอียงอาย “ฉันอยากได้ที่ดินสำหรับอยู่อาศัยสักผืน เพื่อใช้สร้างอาคารหอพักให้กับพนักงานค่ะ”

“ที่ดินสำหรับอยู่อาศัยเองก็ราคาประมาณนี้เหมือนกัน มีข้อแตกต่างกันเพียงอย่างเดียวคือ ที่ดินอยู่อาศัยมีระยะเวลาในการใช้สอย70ปี”

หลินม่ายถาม “ที่ดินอุตสาหกรรมสร้างโรงงานที่ฉันซื้อ เป็นที่ที่ฉันเลือกเองหรือว่าทางรัฐบาลให้ผืนไหนก็ผืนนั้นเหรอคะ?”

“เป็นที่ที่คุณเลือกเองครับ แต่ว่าสามารถเลือกได้จากพื้นที่ที่กำหนดไว้ไม่กี่แห่งเท่านั้น”

ผอ.เขตโอวหยางหยิบเอกสารปึกหนาออกมาจากลิ้นชัก “ที่ดินในนี้คือที่ดินที่ได้สุ่มเลือกมาให้คุณ องค์กรเอกชนในตอนนี้มีแต่องค์กรของคุณเท่านั้นที่ได้รับการปฏิบัติแบบนี้”

หลินม่ายรู้ว่า ที่คือรางวัลสำหรับการจัดจ้างคนพิการที่เบื้องบนให้เธอ

แต่เธอกลับจงใจยกความดีความชอบไว้ที่ตัวผอ.เขตโอวหยาง

เธอยิ้มพลางพูด “หากไม่ใช่เพราะผอ.เขตออกหน้าให้ ฉันจะได้รับเกียรติเช่นนี้ได้ที่ไหนกันคะ?”

ผอ.เขตชอบคำพูดนี้มาก แต่เขาก็ไม่ได้เอาหน้า “เพราะคุณทำออกมาได้ดีต่างหาก ก็เหมาะสมแล้ว ไม่เกี่ยวอะไรกับผมเลย ฮ่าๆ!”

หลินม่ายเปิดเอกสารฉบับนั้น ภายในมีที่ดินทั้งหมด5ผืน มีทั้งใหญ่ทั้งเล็ก

เธอเลือกที่ดินมาสองผืนตามคำแนะนำของผู้อาวุโสเจิ้งที่ให้เธอซื้อที่ดิน300หมู่

ผืนหนึ่งตั้งอยู่ที่ถนนซินหัว มีเนื้อที่30หมู่

อีกผืนหนึ่งอยู่ที่ถนนกู่เถียน มีเนื้อที่300หมู่

แม้ว่ารวมแล้วจะเกิน300หมู่ แต่หลินม่ายก็ซื้อไหว

ที่ดิน30หมู่ผืนนั้น หลินม่ายวางแผนจะใช้สร้างสำนักงานใหญ่

ถนนซินหัวอยู่ห่างจากถนนเจี่ยเฟิงเพียงแค่5สถานีเท่านั้น ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางเมือง

แม้ว่าใจกลางเมืองของเจียงเฉิงจะไม่ได้มีแค่ที่เดียว และยังมีที่ดีๆ อีกหลายที่

แต่ใจกลางเมืองแห่งนี้เป็นศูนย์กลางที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดในเจียงเฉิง เพราะมีถนนฮั่นเจิ้งอยู่ด้วย

สำนักงานใหญ่สร้างที่ใจกลางเมือง ภาพลักษณ์ไม่เท่าไหร่ ยังสะดวกกับลูกค้าที่จะมาเจรจาธุรกิจอีกด้วย

ที่ดิน300หมู่ผืนนั้นที่ถนนกู่เถียนใช้สร้างโรงงานเสื้อผ้าและโรงงานอาหาร

เมื่อครู่นี้ผอ.เขตโอวหยางเสนอราคาที่ดินอุตสาหกรรมไว้ว่าต่อให้เป็นพื้นที่ใดก็มีราคาเดียวกันคือหมู่ละ200หยวน ซึ่งหลินม่ายรู้สึกว่าไม่ถูกเลย แต่ก็ยังพอรับไหวอยู่

ตอนนี้ซื้อที่ดิน330หมู่นั้นมา ต้องใช้เงินราวเจ็ดหมื่นหยวน ทำให้เธอตระหนักได้อย่างแท้จริงถึงคำว่าที่ดินทุกตารางนิ้วมีค่า

ตอนนี้เป็นช่วงต้นยุค80 ครัวเรือนที่มีรายได้หรือทรัพย์ถึงหมื่นหยวนนั้นหายากมาก เงินเจ็ดหมื่นหยวนไม่ใช่จำเงินน้อยๆ เลยจริงๆ มีไม่กี่คนเท่านั้นมีจ่ายไหว

หลินม่ายเริ่มสงสัยชั่วแวบหนึ่งว่าตนคิดผิดหรือเปล่า แล้วคำนวณดูในใจซ้ำอยู่หลายครั้ง มันมากมายขนาดนี้จริงๆ

ซื้อที่ดินที่เกือบเจ็ดหมื่นแล้ว บวกกับการก่อสร้างโรงงานและสำนักงานใหญ่อีก ต้องใช้เงินราวๆ 1.2ล้านเลยทีเดียว

และยังต้องซื้ออุปกรณ์อะไรอีก ถ้าไม่มีสัก1.5ล้านก็คงเอาไม่อยู่

แม้หลินม่ายจะจ่ายเงินมากมายขนาดนั้นได้ แต่ก็ยังเข้าเนื้ออยู่บ้าง

ผอ.เขตโอวหยางเห็นเช่นนั้น จึงถามอย่างเป็นห่วง “เป็นกังวลเรื่องเงินอยู่เหรอ?”

แม้ว่าโรงงาน ตลาดสด ร้านอาหารกินเล่นและธุรกิจอื่นๆ ของหลินม่ายจะหาเงินได้มากมาย แต่การซื้อที่ดินสร้างสำนักงานสร้างโรงงานก็ต้องใช้เงินกว่าหนึ่งล้านหยวนขึ้นไป ซึ่งในยุคนี้ก็เป็นตัวเลขสูงเสียดฟ้าเลยทีเดียว

ผอ.เขตโอวหยางไม่ได้คิดเลยสักนิดว่าหลินม่ายจะสามารถจ่ายเงินมากขนาดนั้นไหว ดังนั้นจึงถามเช่นนั้น

หลินม่ายพลันนึกขึ้นได้กะทันหัน ว่าการที่เธอว่าจ้างคนงานผู้พิการนั้นมีนโยบายลดหย่อนอยู่

ดังนั้นจึงแสร้งพยักหน้าด้วยสีหน้าหม่นหมอง อยากให้ผอ.เขตโอวหยางเสนอนโยบายลดหย่อนขึ้นมาเองเพื่อให้เธอยกเว้นค่าใช้จ่ายไปได้สักหน่อย

ผอ.เขตโอวหยางหัวเราะยิ้มกว้างพลางพูด “เรื่องเงินคุณไม่ต้องเป็นกังวลมากนักหรอก องค์กรที่จัดจ้างผู้พิการแบบคุณ สามารถยื่นขอเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำได้”

หลินม่ายถามอย่างสงสัย “ดอกเบี้ยต่ำนั้นต่ำขนาดไหนเหรอคะ? แล้วสามารถกู้ได้เท่าไหร่?”

“พอๆ กับดอกเบี้ยกระแสรายวัน เหมือนว่าจะกู้ได้มากที่สุดห้าล้านนะ”

ก่อนหน้านี้หลินม่ายไม่ยอมกู้เงิน เพราะดอกเบี้ยเงินกู้สูงเกินไป ไม่คุ้มค่า

พอตอนนี้สามารถกู้เงินจากธนาคารได้ด้วยดอกเบี้ยต่ำ เธอย่อมไม่พลาดอยู่แล้ว

แต่เธอรู้ว่าการกู้เงินดอกเบี้ยต่ำแบบนี้มีจำนวนจำกัด

ต่อให้ตามระเบียบแล้วเธอสามารถใช้สิทธิลดหย่อนนี้ได้ แต่หากธนาคารให้โควต้ากับคนรู้จักหรือผู้มีความสัมพันธ์ด้านผลประโยชน์ ตนเองก็หมดหนทางจะกู้เงินดอกเบี้ยต่ำได้เช่นกัน

เธอเล่าความกังวลใจให้ผอ.เขตโอวหยางฟัง

ผอ.เขตโอวหยางโบกมือใหญ่เล็กน้อย “เรื่องนี้คุณไม่ต้องกังวล ผมจะขอโควตากับทางธนาคารไว้ก่อน คุณเอาหนังสือแนะนำของผมไปก็สามารถกู้ได้แล้วล่ะ”

หลินม่ายดีใจอย่างยิ่ง พลันถือโอกาสตีเหล็กตอนร้อนๆ ยื่นขอราคาที่ดินสำหรับอยู่อาศัยหมู่ละ100หยวนกับผอ.เขตโอวหยาง

ผอ.เขตโอวหยางเขียนจดหมายแนะนำแล้วให้เธอไปยื่นขอที่สำนักงานที่ดินด้วยตัวเอง เพราะในมือเขาไม่มีที่ดินสำหรับอยู่อาศัย

มีจดหมายแนะนำของผอ.เขตโอวหยางอยู่ หลินม่ายก็ได้พบกับผู้รับผิดชอบที่ดูแลเรื่องการซื้อขายที่ดินได้อย่างง่ายดาย

ผู้รับผิดชอบเอาที่ดินมากมายหลายผืนออกมาให้หลินม่ายเลือก

ในยุคนี้ การซื้อขายที่ดินเป็นเรื่องแปลกใหม่ เบื้องบนเองก็ยังคลำหินข้ามแม่น้ำอยู่เช่นกัน ดังนั้นจึงไม่เหมือนกับอีกหลายสิบปีให้หลัง ที่ราคาที่ดินจะแบ่งกันไปตามทำเลพื้นที่

ที่ดินอุตสาหกรรมเป็นแบบไหน ที่ดินสำหรับอยู่อาศัยเองก็เป็นแบบเดียวกัน

ในเมื่อราคาเท่ากัน หลินม่ายก็ย่อมต้องเลือกซื้อที่ดินในทำเลที่คนพลุกพล่านที่สุด

เธอเลือกที่ดินหนึ่งร้อยกว่าหมู่ที่ตั้งอยู่ที่ถนนชิงเหนียนผืนหนึ่งอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย

ที่ดินผืนนี้ห่างจากห้างเจียงเฉิงเพียงไม่กี่สถานีเท่านั้น นับว่าเป็นทำเลทองเลย

เมื่อคุยกับผู้รับผิดชอบเสร็จแล้ว พรุ่งนี้ก็มาทำสัญญา ทั้งสองฝ่ายมือหนึ่งจ่ายเงิน มือหนึ่งจับที่ดิน

งานยุ่งเสียขนาดนี้ ตอนที่หลินม่ายกลับมาถึงวิลล่าก็เป็นเวลาเที่ยงกว่าแล้ว ทุกคนจึงกำลังรอเธอกลับมากินมื้อเที่ยงด้วยกันอยู่

ขณะกินข้าว ฟางจั๋วหรานก็ถามว่าการขึ้นศาลในตอนบ่ายอยากให้เขาไปด้วยไหม

คุณปู่คุณย่าฟางทั้งสองคนเองก็อยากให้เขาไปด้วย

แต่ก็ถูกหลินม่ายปฏิเสธอย่างนุ่มนวล ว่าแค่การฟ้องร้องคดีหนึ่งเท่านั้นเอง ไม่เห็นต้องระดมคนไปให้มากมายเลย!

…………………………………………………………………………………………………………………………

(1) กรีนเบลท์ “greenbelt” หมายถึงพื้นที่ใด ๆ ของพื้นที่ธรรมชาติที่ยังไม่ได้พัฒนาซึ่งได้รับการจัดสรรไว้ใกล้กับที่ดินในเมืองหรือที่พัฒนาแล้วเพื่อให้มีพื้นที่ว่างเปิดโอกาสในการพักผ่อนหย่อนใจหรือมีการพัฒนา

สารจากผู้แปล

ให้ใครไปเป็นพยานด้วยสักหน่อยเถอะม่ายจื่อ อย่าลุยเดี่ยวเลย ฝ่ายนั้นเขี้ยวลากดินอยู่นะ ไม่รู้ว่าจะเล่นลูกไม้อะไรตลบหลังเธอบ้าง

ไหหม่า(海馬)