บทที่ 408 จะไม่ให้ร้อนใจได้อย่างไร

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม

บทที่ 408 จะไม่ให้ร้อนใจได้อย่างไร

บทที่ 408 จะไม่ให้ร้อนใจได้อย่างไร

สองสามวันนี้อาการป่วยของเหยาซูยังคงเรื้อรัง เดี๋ยวดีเดี๋ยวแย่ ยากจะข่มตานอนได้

ความอ่อนแอทางร่างกายทำให้นางต้องพับเก็บความคิดที่จะไปซีเป่ยไว้ชั่วคราวอย่างจนปัญญา

จนถึงตอนนี้ก็ยังไร้วี่แววข่าวคราวของหลินเหรา ทำให้หญิงสาวอดเป็นห่วงไม่ได้ แต่อาการป่วยของนางก็ยังแย่ลงเรื่อย ๆ

พี่สะใภ้ทั้งสองคนของตระกูลเหยาผลัดเวรกันมาดูแลหญิงสาว เจี่ยงฉีและเซวียหรงก็มาเยี่ยมนางเป็นครั้งคราว ทุกคนต่างไม่พูด แต่ในใจกลับเป็นห่วงมาก

วันนี้เจี่ยงฉีต้องพาเถิงเอ๋อไปจวนของเหยาซู ระหว่างทางเด็กชายและผู้เป็นแม่นั่งรถม้าคันหนึ่ง ครั้นเห็นหน้านิ่วคิ้วขมวดของมารดา เขาจึงพูดปลอบโยน “ท่านแม่ เมื่อสองสามวันก่อนเราไปเยี่ยมท่านน้าซูมาแล้วไม่ใช่หรือขอรับ? นางเองก็ดีขึ้นมากแล้ว คิดว่าวันนี้ร่างกายคงไม่น่าแย่ลง ท่านแม่ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกขอรับ”

เจี่ยงฉีส่ายหน้า แล้วทอดถอนใจ “เจ้าไม่เข้าใจ…ท่านน้าซูของเจ้ามีร่างกายที่แข็งแรงมาตลอด กลับป่วยเช่นนี้มาตั้งแต่สองสามวันก่อน จะไม่ให้ข้าร้อนใจได้อย่างไร?”

เถิงเอ๋อยิ้มแล้วเริ่มปลอบใจผู้เป็นแม่ “ท่านแม่ ท่านหมอก็บอกแล้วไม่ใช่หรือขอรับว่าคนที่มีร่างกายแข็งแรงไม่ค่อยป่วยยามป่วยขึ้นมาจะหนักหนาดั่งฟ้าถล่มดินทลาย แต่ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกขอรับ ถึงอย่างไรก็รู้สาเหตุ ไม่นานก็น่าจะดีขึ้น”

เจี่ยงฉีพยักหน้า ความรู้สึกไม่สบายใจและความกระวนกระวายใจค่อย ๆ ลดลงมากทีเดียว

ปีนี้เถิงเอ๋อที่ติดตามตัวเองดูโตขึ้นมากโดยไม่รู้ตัว

ก่อนหน้านั้นเขามักจะได้รับความทรมานจากอาการป่วย อ่อนแอ บอบบาง แต่ร่างกายของเขาในตอนนี้ได้รับการบำรุงฟื้นฟูอยู่เรื่อย ๆ เด็กชายจึงได้แสดงอากัปกิริยาของเด็กโตอย่างไม่รู้ตัว

ประกอบกับการไปมาหาสู่ของเด็ก ๆ อย่างอาซือ เถิงเอ๋อจึงไม่ได้เคร่งขรึมเหมือนก่อนหน้านั้น แม้เขาในตอนนี้จะยังไม่ค่อยมีชีวิตชีวา แต่กลับแข็งแกร่งและทรหดมากกว่าเมื่อครั้งอดีต

การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ได้นำมาซึ่งการปลอบประโลมให้แก่เจี่ยงฉีเป็นอย่างมาก หญิงสาวตีมือของเถิงเอ๋อเบา ๆ แล้วพูดกับเขา “อยู่คุยเป็นเพื่อนกับอาซือหน่อยไป ได้ยินว่าสองสามวันนี้นางแอบไปร้องไห้อยู่นานสองนาน”

เถิงเอ๋อพยักหน้า

สองแม่ลูกเดินทางมาถึงจวนเหยา เจี่ยงฉีเข้าไปพูดคุยเป็นเพื่อนเหยาซู ส่วนเถิงเอ๋อนั่งอยู่บนม้านั่งหินอ่อนในลานบ้านกับอาซือ

ทั้งสองคนพูดคุยกันไม่กี่ประโยค แล้วต่างคนต่างจมอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง

ฤดูร้อนมีระยะเวลายาวนาน ดวงอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้ามาตั้งแต่เช้าตรู่ แสงแดดยังคงแผดเผาร้อนแรงอย่างไม่เกรงใจ

เถิงเอ๋อชำเลืองมองไปยังดวงอาทิตย์ คำนวณว่าร่มเงาของพวกเขาจะถูกแสงแดดสาดส่องอีกนานเพียงใด

ครั้นอาซือเห็นเขาเหม่อมองออกไปยังร่มเงาของต้นไม้ จึงอ้าปากถามเขา “พี่เถิง พี่กำลังคิดอะไรอยู่?”

เถิงเอ๋อดึงสติกลับมามองอาซือ ก่อนจะส่ายหน้าพลางคลี่ยิ้ม “ไม่มีอะไร แค่มองว่าแสงแดดตอนนี้ช่างร้อนระอุยิ่งนักเท่านั้น”

ปกติแล้วเถิงเอ๋อไม่ชอบพูด และไม่ชอบทำกิจกรรมมากมายนัก แต่เรื่องรอบตัวช่างประทับอยู่ในใจของเขาได้ง่ายเสียเหลือเกิน อาซือชอบฟังเถิงเอ๋อพรรณนาถึงสิ่งแวดล้อมที่ต้องประสบพบเจอและเรื่องที่เกิดขึ้น ทุกครั้งที่ฟังเด็กน้อยก็มักเกิดความปรารถนาอยากจะปกป้องอย่างน่าประหลาดใจเสมอ

เด็กหญิงรู้สึกว่าความรู้สึกของพี่เถิงเอ๋อช่างละเอียดอ่อนยิ่งนัก

แต่ความรู้สึกเช่นนี้ มันน่าทะนุถนอมและควรจะได้รับการปกป้อง

อาซือเองก็มองไปยังแสงแดดครู่หนึ่ง พยายามทำความเข้าใจความหมายในคำพูดของเถิงเอ๋อ ไม่นานก็ยิ้มออกมา “ในสายตาของพี่เถิง ไม่ว่าแสงแดดร้อนระอุในฤดูคิมหันต์หรือแสงแดดอันหม่นหมองในฤดูเหมันต์ต่างก็มีจุดเด่นในตัวเอง เช่นนั้นก็แสดงว่าดอกไม้ในฤดูวสันต์ ดวงจันทร์ในฤดูสารท นกที่โผบิน ปลาที่แหวกว่าย ก็ล้วนแต่มีความหมายทั้งสิ้นนะสิเจ้าคะ?”

รอยยิ้มของอาซือช่างสดใส และมันช่างอบอุ่นยิ่งกว่าแสงอาทิตย์ในฤดูร้อนที่ร้อนระอุเสียอีก

นัยน์ตาของเถิงเอ๋อแฝงไปด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะพูดเสียงเบาว่า “ใช่ อาซือ เรื่องเหล่านี้ล้วนมีความหมาย การใช้ชีวิตบนโลกใบนี้ เรื่องเล็กน้อยที่ต้องประสบพบเจอหรือเสียงความวุ่นวาย สีอ่อนและสีเข้ม ล้วนแล้วแต่มีความหมายทั้งสิ้น”

เด็กหญิงพยักหน้า ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้มว่า “พี่เถิงช่างพิเศษจริง ๆ ข้าไม่เคยคิดมากเพียงนั้น”

เถิงเอ๋อกระตุกมุมปาก ก่อนจะส่ายหน้าแล้วพูดว่า “บางทีอาจเพราะอาการป่วย จึงชอบคิดอะไรเงียบ ๆ คนเดียว เหมือนกับข้าที่แม้แต่จะวิ่งก็วิ่งไม่ได้ กระโดดก็กระโดดไม่ได้ ไม่สามารถเล่นหิมะนอกบ้านในฤดูเหมันต์ หรือปีนต้นไม้ในฤดูวสันต์เหมือนกับผู้อื่นได้ ไม่รู้จะมีชีวิตไปเพื่ออะไร?”

อาซือฟังเขาพูดอย่างเงียบ ๆ แต่แล้วก็โพล่งถามออกไป “แล้วต่อมาพี่เถิงพบว่าชีวิตมันมีความหมายขึ้นบ้างหรือไม่?”

เถิงเอ๋อพูด “อื้อ ทั้งสี่ฤดูนอกบ้านมีทิวทิศน์ที่แตกต่างกัน ซึ่งมันไม่มีการเปลี่ยนแปลงเพียงเพราะข้าได้เข้าร่วมหรือไม่ได้เข้าร่วมแต่อย่างใด ข้ามีชีวิตเพื่อจะได้เห็นทิวทัศน์เช่นนี้ นี่คือความหมายที่ข้าคิดไว้แล้ว”

เด็กหญิงตั้งใจฟังคำพูดของเจี่ยงเถิงอย่างเงียบ ๆ พร้อมกับรินน้ำชาให้ทั้งสองคน

นางเม้มปากเล็กน้อย จากนั้นก็เสมองไปทางเถิงเอ๋อแล้วพูดว่า “ท่านแม่ข้าเคยกล่าวไว้ พี่เถิงเกิดมาเพื่อเป็นนักกวี ความคิดและความรู้สึกที่ละเอียดอ่อนนี้ มีแค่นักกวีเท่านั้นที่จะทำได้”

เถิงเอ๋อตื่นตกใจเล็กน้อย พร้อมกับมองเข้าไปในดวงตาคู่นั้นของอาซือ

กระทั่งเห็นเด็กน้อยยิ้ม พยักหน้าและพูดว่า “แต่ข้ารู้สึกว่า ถึงพี่เถิงจะเป็นนักกวี ก็ต้องไม่ใช่ผู้ที่ชอบแต่งกวีแน่นอน เพราะในตอนที่อ่านหนังสือในร้านหนังสือนั้น พี่ดูหลงใหลในบทกวีรวมเล่ม ข้าเลยจินตนาการถึงรูปแบบของบทกวีที่พี่แต่งไม่ได้”

เถิงเอ๋อครุ่นคิด แล้วพูดว่า “ข้าไม่ชอบแต่งกวีจริง ๆ แต่ข้าก็ไม่เคยบอก อาซือรู้ได้อย่างไร?”

ดวงตาที่สุกสกาวของเด็กหญิงกะพริบปริบ ๆ แพขนตาที่เรียงตัวสวยคล้ายกับผีเสื้อกระพือปีกไปตามแรงลม แผ่วเบาและไหวระริก

นางพูดอย่างไม่คิดว่า “นักกวีล้วนแต่คาดหวังให้ผู้อื่นเข้าใจไม่ใช่หรือ? ไม่อย่างนั้นไม่มีทางรู้สึกเศร้ารู้สึกเสียใจแม้แต่น้อย อยากจะให้ผู้คนใต้หล้าได้รับรู้แทบขาดใจ พี่เถิงไม่ชอบแสดงออก ดังนั้นก็น่าจะไม่ชอบแต่งบทกวีแน่นอน”

ครั้นเถิงเอ๋อได้ยิน จึงได้หันไปมองอาซือด้วยความประหลาดใจ

อาซือเห็นเขาเป็นเช่นนี้ จึงอดยิ้มไม่ได้ “ข้าพูดผิดหรือ?”

เถิงเอ๋อพูด “อาซือพูดถูก”

ดวงตาสุกสกาวของเด็กหญิงโค้งเป็นเสี้ยวพระจันทร์ ก่อนจะพึมพำ “แล้วเหตุใดพี่ถึงต้องมองหน้าข้าเช่นนี้? ข้าคิดว่าข้าเดาผิดเสียอีก!”

สายลมในฤดูคิมหันต์พัดผ่านต้นไม้ที่แน่นขนัด เสียงลมหวีดหวิวประสานกันดีกับเสียงจักจั่นร้องระงมบนต้นไม้ ส่งให้บรรยากาศอันร้อนระอุนี้ดูเพลิดเพลินมีชีวิตชีวามากขึ้น

เถิงเอ๋อรู้สึกว่า หัวใจที่เคยชินกับความเงียบสงบ จู่ ๆ ก็ฮึกเหิมขึ้นมา แม้แต่คลื่นความร้อนผ่าวที่คุกรุ่นอยู่นอกร่มเงา ก็ได้แทรกซึมเข้าไปในหัวใจของเขาตอนไหนก็ไม่อาจรู้ได้ ทำให้ฝ่ามือทั้งสองข้างของเขาเปียกชื้นไปด้วยเหงื่อ

นี่หรือสหายแบบเหมยเขียวม้าไม้ไผ่ที่เขาเรียกกัน? คือการมีอีกคนมาเข้าใจกันและกันโดยไม่รู้ตัว อยู่เป็นเพื่อนกันและเติบโตไปด้วยกัน…

สายตาของเถิงเอ๋อดูอ่อนลงอย่างมาก โดยที่ไม่รู้ว่าจะสาธยายความดีใจที่พรั่งพรูอยู่ในใจกะทันหันออกมาได้อย่างไร นอกจากพูดกับอาซือด้วยเสียงเบาว่า “อาซือเดาถูกต้อง ท่านน้าซูบอกว่าข้าคือนักกวี แต่กลับไม่เคยคิดว่า การที่ข้าต้องอยู่ต่อหน้าผู้ที่ไม่เกี่ยวข้อง ข้าจะไม่ยอมปริปากพูด แต่อาซือ เจ้าคิดว่านิสัยเงียบงันเช่นนี้มันน่าเบื่อมากหรือไม่?”

สองสามวันนี้อาซือสูงขึ้นไม่น้อย ขนาดนั่งอยู่บนม้านั่ง ขาทั้งสองข้างก็ไม่ได้แกว่งไปแกว่งมาไม่ติดพื้นเหมือนเมื่อก่อน

นางหันไปมองเถิงเอ๋อ แล้วอ้าปากพูดออกไปโดยไม่คิดว่า “ไม่เบื่อ พี่เถิงเป็นแบบนี้ก็ดีแล้ว ถ้าพูดมากแบบพี่รอง ถึงจะเรียกว่าเสียงดังโดยแท้จริง…”

ยามที่เด็กสาวเอ่ยถึงญาติผู้พี่ ใบหน้าเล็ก ๆ ที่ขาวเนียนได้ย่นลงเล็กน้อย ท่าทางนั้นช่างน่ารักมากทีเดียว

แม้จะบอกว่าเถิงเอ๋อมามาอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนอาซือ และช่วยนางแก้ไขปัญหา แต่ระหว่างที่พูดคุยนั้น เขารู้สึกว่าอารมณ์ของอาซือไม่ได้เศร้าหมองมากเพียงนั้นแล้ว

ทั้งสองคนพูดคุยกันถึงเรื่องอาการป่วยของเหยาซู เด็กสาวได้เอ่ยขึ้น “ท่านหมอบอกว่า ท่านแม่กำลังป่วยใจ จึงกระทบต่อร่างกาย อีกอย่างอาการป่วยก็มาดั่งภูเขาทลาย การจะหายป่วยก็ยากเย็นเหมือนดึงไหมออกจากรัง การจะฝืนให้ท่านแม่ดีขึ้นทันทีนั้นก็ไม่ถูกต้องนัก”

เถิงเอ๋อพยักหน้า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าก็อย่ากังวลไปเลย”

อาซือตอบรับเบา ๆ หนึ่งเสียง ไม่นานก็พูดอีกครั้งว่า “ท่านพ่อไม่ได้ส่งข่าวมาที่บ้านหลายวันแล้ว ท่านแม่และท่านพี่ล้วนแต่ไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องนี้ ข้าคิดว่าท่านพ่ออาจจะบาดเจ็บ ท่านแม่ก็เลยเป็นห่วงจนล้มป่วยเช่นนี้”

เถิงเอ๋อประหลาดใจที่อาซือมีความคิดเช่นนี้ แต่เมื่อคิดทบทวนหนึ่งรอบ ถือว่านางค่อนข้างฉลาดและมีไหวพริบมาก สังเกตว่าเรื่องนี้ต้องมีเหตุผล

ครั้นเห็นสายตาที่เปล่งประกายของนาง ในใจของเถิงเอ๋อก็เจ็บปวด ต่อให้ต้องปลอบโยนมากแค่ไหน ก็คงเป็นเพียงแค่คำพูดที่ไร้ประโยชน์

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เขาจึงพูดได้แค่ว่า “ซีเป่ยไม่มีข่าวคราวส่งมา ถือว่าเป็นข่าวดีเสียอีก ท่านอาหลินคงไม่เป็นอะไร”

อาซือพยักหน้า แล้วพูดอย่างจริงจัง “ท่านพ่อของข้าเป็นวีรบุรุษผู้ไม่เป็นสองรองใคร! ต่อให้บาดเจ็บก็ยังคงยืนหยัดต่อไป เมื่อสงครามสิ้นสุด เขาจะต้องกลับมา…”

เด็กสาวกำหมัดด้วยมือทั้งสองข้างแน่นโดยไม่รู้ตัว พลังในร่างกายไหลรวมมาอยู่บนมือเป็นที่เดียว เหมือนกับกำลังใช้พลังของตัวเองกับคำพูดเหล่านี้ และใช้พลังเพียงส่วนหนึ่งเพื่อทำให้ความคาดหวังนี้เป็นความจริง

เถิงเอ๋อกุมมือของนางไว้ น้ำเสียงแผ่วเบา แต่กลับเด็ดขาด “อื้อ แน่นอน”

เขาไม่อยากให้ดวงตาที่สุกสกาวคู่นี้ต้องเอ่อล้นไปด้วยหยาดน้ำตา สิ่งของอันงดงามประณีต ก็เหมือนกับแสงจันทร์ที่เจิดจรัส มันต้องส่องแสงต่อไปถึงจะถูกต้อง

…………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

ดูเด็กๆ สองคนนี้แล้วโตขึ้นคงไม่พ้นต้องกลายเป็นคู่รักกันแน่ๆ แลเข้าใจซึ่งกันและกันมากเลย

ไหหม่า(海馬)