บทที่ 409 โน้มน้าวให้ตัวเองวางแผนสำหรับเรื่องที่เลวร้ายที่สุด
บทที่ 409 โน้มน้าวให้ตัวเองวางแผนสำหรับเรื่องที่เลวร้ายที่สุด
อาการป่วยของเหยาซูปั่นป่วนเป็น ๆ หาย ๆ มาเกือบจะหนึ่งเดือน ในที่สุดก็คงที่
ครั้งแรกที่ท่านหมอตรวจอาการก็พบว่าเป็นไข้จากความหนาวเย็น แต่ในฤดูร้อนต่อให้เหยาซูไม่ระวังตัวเพียงใด ก็ยากจะติดโรคที่ร้ายแรง แต่เนื่องจากการนอนไม่ค่อยหลับในเวลากลางคืน อาการป่วยตั้งแต่ต้นจวบจนตอนนี้จึงยังไม่ดีขึ้น กระทั่งกินเวลามายาวนานเพียงนี้
เหยาซูไอโขลกเป็นระยะจนคิดว่าตัวเองเป็นวัณโรคเข้าเสียแล้ว ในที่สุดก็สัมผัสได้ว่าร่างกายค่อย ๆ ผ่อนคลาย อาการไอก็ค่อย ๆ ดีขึ้น
วันนี้นางมีชีวิตชีวาไม่น้อย ร่างกายก็มีเรี่ยวแรงมากขึ้น ด้วยการช่วยประคองของอาซือและอาจื้อจึงเดินมาถึงในลานบ้านได้
ร่มเงาต้นไม้อันหนาทึบในฤดูร้อนตอนนี้ไม่ได้ดูเขียวชอุ่มเหมือนเมื่อสองเดือนก่อนแล้ว แม้แต่สีของใบไม้ก็เหมือนถูกย้อมไปด้วยสีร้อนหนึ่งชั้น ขจัดซึ่งความเขียวขจีไปเสียสิ้น
เหยาซูและเด็กน้อยทั้งสองคนค่อย ๆ เดินเล่นในสวน พลางเอ่ยถามว่า “เหตุใดเพียงพริบตาเดียว ดูเหมือนฤดูสารทกำลังจะมาถึงแล้ว?”
อาจื้อพยักหน้า อาซือเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ท่านแม่ ท่านเก็บตัวในเดือนที่ร้อนระอุของคิมหันต์ตั้งนาน ที่อากาศเย็นลงนั้นก็เพราะจะเข้าสู่ฤดูสารทแล้วไม่ใช่หรือเจ้าคะ?”
เหยาซูยืนอยู่บนระเบียงทางเดิน พร้อมกับสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ซึ่งนางสัมผัสได้ถึงความแห้งในอากาศและกลิ่นอายความเย็นจริง ๆ ทำให้รู้สึกเย็นสบายกว่าความร้อนอบอ้าวในฤดูคิมหันต์มากโข
ฤดูสารทคงมาถึงแล้วจริง ๆ
เมื่ออาจื้อเห็นสีหน้าของเหยาซูดูตกตะลึง จึงรีบดึงมือของผู้เป็นแม่ทันที ก่อนจะพูดว่า “ฤดูสารทก็ดีเหมือนกัน ดอกเบญจมาศในจวนของท่านอาจารย์ต่างก็ผลิบานไม่น้อย สองสามวันนี้ฮูหยินของท่านอาจารย์ตั้งใจจะเชิญสหายมาเยี่ยมชมดอกเบญจมาศด้วย ทั้งยังมีการปิดประกาศ ท่านแม่อยากไปเดินเล่นหรือไม่ขอรับ?”
เหยาซูยิ้ม ก่อนส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ขอบคุณในความหวังดีของนางมาก ฤดูสารทไม่มีอะไรงดงามหรอก จวนไป๋เตรียมดอกเบญจมาศเหล่านี้ด้วยความลำบาก แต่ข้าเป็นเพียงคนธรรมดา ไม่ควรไปสร้างปัญหา”
อาซือและพี่ชายต่างสบตากัน กระทั่งเข้าใจความหมายของเขา
เด็กหญิงโน้มน้าว “ท่านแม่ไปเถิด ข้าอยากไปคุยกับพี่ไป๋ด้วย ปกตินางมักจะถูกจำกัดอิสระอย่างมาก ท่านแม่ป่วยมาหนึ่งเดือนเต็ม พี่ไป๋มาเยี่ยมเยือนท่านแม่เพียงสองครั้ง แต่ท่านแม่หลับอยู่ จึงไม่ได้พบกัน”
เหยาซูได้ยินเรื่องที่ไป๋หรูปิงมาเยี่ยมเยือนแล้ว จึงได้แต่ลูบศีรษะของอาซือ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “หรูปิงเป็นเด็กดีมากคนหนึ่ง อาซือและนางก็ไปมาหาสู่กันเสมอ”
ครั้นอาซือเห็นผู้เป็นแม่ไม่ได้สนใจจะไปจวนไป๋นัก จึงได้พยายามโน้มน้าวต่อ “ท่านแม่บอกเองว่าฤดูสารทไม่มีสิ่งใดงดงาม หากพลาดชมดอกเบญจมาศในฤดูสารทไปก็คงไม่มีสีสันอะไรให้ชื่นชมแล้ว ท่านแม่เจ้าคะ เราไปดูด้วยกันเถอะนะเจ้าคะ”
อาจื้อจึงมองนางด้วยสีหน้าคาดหวัง เหมือนกับว่ากำลังรอให้นางตอบรับอยู่
ถ้าเป็นในวันปกติ ต่อให้เหยาซูไม่สนใจท่าทางเช่นนี้ของเด็ก ๆ นางก็ยังคงไปจวนไป๋ให้พวกเขาดีใจไปแล้ว
แต่ไม่รู้เพราะความอ่อนแอจากอาการป่วยที่กินเวลายาวนานจนทำให้นางไม่มีเรี่ยวแรงจะรับมือกับเรื่องอะไรได้อีก หรือเพราะความห่วงหาหลินเหราที่ไม่รู้ว่าอยู่แห่งหนใด เหยาซูจึงได้แต่ส่ายหน้าปฏิเสธ
“พวกเจ้าสองคนไปดูแทนแม่เถอะ”
ครั้นได้ยินน้ำเสียงราบเรียบของนาง เปรียบเทียบกับความรู้สึกหดหู่ใจเมื่อครั้งอดีตแล้ว ในใจของอาจื้อก็เจ็บปวดรวดร้าวทีเดียว
เขาพยายามข่มความทุกข์นั้นไว้ในใจ ใบหน้าแต้มรอยยิ้ม ก่อนจะพูดเหมือนหยอกเย้าว่า “ดอกเบญจมาศคงไม่งดงามมากหรอก ท่านแม่ไม่อยากไปก็ช่างเถอะ แต่ที่น้องเอ่ยนั้นไม่ถูกต้อง เมื่อดอกเบญจมาศในฤดูสารทผ่านพ้น ฤดูเหมันต์ก็ยังมีดอกเหมยให้ชื่นชม ดอกเหมยขาวงดงามไม่แพ้ดอกเบญจมาศเลยเชียว แค่สีแดงสดของดอกเหมยแดงนั้นก็ดูสะดุดมากแล้วไม่ใช่หรือ?”
อาซือพยักหน้า จากนั้นก็มองไปทางผู้เป็นแม่ แล้วตอบรับว่า “ท่านพี่พูดถูก!”
สองพี่น้องคล้อยตามหัวข้อ ต่างพูดเรื่องดอกไม้ในฤดูสารทและฤดูเหมันต์
นอกจากอาจื้อจะพูดถึงสีสันของดอกเหมยแล้วยังพูดอีกว่าดอกเบญจมาศหอมสู้ดอกเหมยไม่ได้ ส่วนอาซือก็เฝ้ารอหิมะในฤดูเหมันต์ปีนี้ด้วยสีหน้าคาดหวัง จึงโต้ตอบกันไปมาอยู่เนิ่นนาน
เหยาซูฟังเสียงพูดคุยของลูกทั้งสองอย่างเงียบ ๆ ครั้นเห็นพวกเขาหยุดลงหลังจากพูดไปครึ่งค่อนวัน ก็อดยิ้มและพูดไม่ได้ว่า “เมื่อก่อนยามอยู่ด้วยกันทุกวัน ทั้งสองคนมักจะทะเลาะกันเป็นประจำ เหมือนกับเป็นศัตรูกันมาตั้งแต่ชาติปางก่อน เหตุใดวันนี้หลังจากแยกกันไม่กี่วัน สองพี่น้องกลับยิ่งคุยก็ยิ่งเข้าใจกันมากขึ้นได้เล่า?”
อาซือยิ้ม ใบหน้าที่ผุดผ่องเป็นยองใยนั้นเผยลักยิ้มทั้งสองข้าง แล้วแย้งผู้เป็นแม่ว่า “ข้าและท่านพี่ไม่ใช่ศัตรูกันนะเจ้าคะ!”
อาจื้อกระตุกมุมปาก แล้วพูดกับมารดาว่า “ท่านแม่ เราต่างก็โตกันแล้วขอรับ”
ครั้นเหยาซูได้ยินก็อดตะลึงงันไม่ได้ จากนั้นก็พูดด้วยเสียงเบา “ใช่ ไม่รู้ตัวเลย ว่าพวกเจ้าโตกันแล้ว ไม่ทะเลาะกันในเรื่องเล็ก ๆ เหมือนก่อนหน้านั้นอีกแล้ว…”
ตลอดหนึ่งเดือนที่นางนอนซมติดเตียงอยู่ในห้องนอน อาจื้อและอาซือต่างก็เข้ามาพูดกับนางอยู่เสมอ กลางวันคนพี่จะไปร่ำเรียนตำราในสำนักกว๋อจื่อเจี้ยน พลบค่ำก็จะขอลากลับบ้าน ส่วนอาซือเฝ้าอยู่ข้างกายของนางตลอดเวลา บางทีก็เย็บปักถักร้อย คัดตัวอักษร ไม่ก็เล่นปริศนาเก้าห่วงที่นางเล่นไม่เคยเบื่อ
เห็นได้ชัดว่าถึงแม้จะได้เจอกันทุกวัน แต่เหยาซูกลับเกิดความรู้สึกหนึ่งอย่างฉับพลัน อาซือและอาจื้อต่างก็เติบใหญ่กันแล้วจริง ๆ
นางโพล่งออกไป “พวกเจ้าสองคนยืนขึ้นสิ ให้แม่ดูหน่อย”
เด็กทั้งสองต่างก็ทำตามคำสั่งของเหยาซู ยืนหันหลังให้แก่กัน
กระทั่งเห็นเหยาซูเดินถอยไปด้านหลัง หรี่ตามองพิจารณาเด็กทั้งสองคน ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้มว่า “สูงแล้ว อาจื้อและอาซือสูงแล้ว แต่อาจื้อยังสูงเร็วกว่า”
อาซือทำหน้าล้อเลียน แล้วเอ่ยอย่างไม่พอใจ “ท่านแม่ไม่รู้อะไร ตอนนี้ท่านพี่กินอาหารในปริมาณที่มากขึ้น กินข้าวตั้งสามชามในหนึ่งมื้อ เขาย่อมโตเร็วเป็นธรรมดาเจ้าค่ะ”
อาจื้อยังคงสีหน้าเดิม แล้วมองไปยังผู้เป็นน้องสาวแวบหนึ่ง “เจ้าก็ต้องกินข้าวมื้อละสามชามสิ จะได้โตทันข้า”
อาซือเบิกตากว้างในทันที แล้วพูดคัดค้าน “อย่าว่าแต่จะให้ข้ายัดข้าวมากเพียงนั้นเลย ต่อให้กินได้จริง ๆ ก็คงอ้วนอย่างไม่เข้าท่าแน่ ท่านพี่พูดจาเหลวไหล!”
ครั้นเหยาซูเห็นพวกเขาพูดไปพูดมาก็ทะเลาะกันอีกครั้ง จึงอดขำหนึ่งเสียงไม่ได้
น้ำเสียงที่นุ่มนวลของนางแฝงไปด้วยความขบขัน “ไหนบอกว่าโตแล้ว จะไม่ทะเลาะกันแล้ว ดูท่าสันดอนขุดง่ายสันดานแก้ยากสินะ”
เด็กทั้งสองคนต่างพากันหัวเราะ อาซือจึงได้พูดว่า “ไม่ใช่เพราะท่านพี่ชอบแกล้งผู้อื่นหรือ!”
ตอนนี้เด็กผู้ชายถึงวัยกำลังยืดตัว หนึ่งเดือนจึงย่อมสูงขึ้นไม่น้อย เหยาซูมองไปทางลูกชาย แต่กลับเห็นเขาส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ยามเจ้าเด็กได้แกล้งเจ้าสนุกยิ่งนัก”
อาซือเดินตะบึงตะบอนไปทางซ้ายมือของเหยาซูแล้วตีเขา พลางตะโกนเสียงดัง “เอาแต่รังแกผู้อื่น! พี่หรูปิงบอกว่าท่านพี่เป็นสุภาพบุรุษ ข้าล่ะอยากเปิดเผยใบหน้าที่แท้จริงของท่านพี่ต่อหน้านางให้รู้แล้วรู้รอดจริง ๆ!”
อาจื้อเอี้ยวตัวหลบไปด้านข้างอย่างว่องไว ใบหน้าแต้มด้วยรอยยิ้ม ส่วนอาซือที่เห็นอย่างนั้นก็อยากจะไล่ตามไปทึ้งเขา
เด็กทั้งสองคนวิ่งไล่กันไปมาอยู่อีกด้าน ท่าทางไร้เดียงสานั้น ครั้นเหยาซูเห็นแล้วก็พาให้รู้สึกสบายใจ
สองสามวันนี้ต่างก็มีแต่เรื่องกลุ้มใจก่อเกิดขึ้นในใจ มีแต่เสียงหัวเราะของสองพี่น้องนี่กระมังที่ค่อย ๆ ช่วยให้สลายไป
ใบหน้าของนางแต้มด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็ส่ายหน้าแล้วพูดเสียงเบาว่า “ยังจะบอกว่าตัวเองนั้นโตแล้ว… เห็นได้ชัดว่ายังเด็กอยู่ทั้งคู่แท้ ๆ”
สุดท้ายเหยาซูก็ไม่ได้ตอบรับคำเชิญที่ต้องไปจวนไป๋ และให้พี่สะใภ้รองเหยาพาอาจื้อและอาซือทั้งสองคนไปแทน
หลังจากที่ทั้งสามคนกลับมา เด็กทั้งสองคนก็พากันไปเล่น ส่วนสะใภ้รองเหยารีบดึงมือเหยาซูมาระบายความขมขื่นในใจ
“ถ้าไม่ใช่เพราะพี่สะใภ้ใหญ่ตั้งครรภ์ นางควรเป็นฝ่ายไปพบฮูหยินไป๋ผู้นั้น… ข้าไม่ควรไป!”
เหยาซูยิ้ม “พี่สะใภ้รองเป็นอะไรไป? ฮูหยินไป๋เป็นบุตรสาวตระกูลมั่งคั่ง ไม่น่าจะสร้างปัญหาให้ท่านได้กระมัง?”
ตอนนี้สะใภ้รองเหยาครุ่นคิด ในใจก็ยังหวาดผวา ทำได้แค่ทาบอกแล้วพูดว่า “ต่อให้เป็นบุตรสาวตระกูลมั่งคั่งก็จริง แต่ข้ารับนางไม่ได้ เหอะ! สตรีจะต้องแต่งกายงดงามยิ่งกว่ามวลดอกไม้ ยามเดินชื่นชมดอกเบญจมาศรอบ ๆ นั้น นางมักจะพูดอะไรต่อมิอะไรมากมาย….โดยเฉพาะอย่างยิ่งฮูหยินไป๋ผู้นั้น ระเบียบเยอะเสียเหลือเกิน ชื่นชมดอกไม้อย่างไร รินชาอย่างไร เขียนกวีอย่างไร วาดภาพอย่างไร…”
ได้ยินเช่นนั้นเหยาซูพลันหัวเราะ สะใภ้รองเหยาเป็นผู้ที่ไม่จุกจิก ยามถูกขังอยู่ในจวนหลังก็ได้แต่ฟังพวกฮูหยินเหล่านี้นินทาทั้งวี่ทั้งวัน ในใจย่อมอยากหลุดพ้น
แค่คิดก็รู้แล้วว่าสถานะของนางยากจะนิ่งได้
ครั้นเห็นนางบ่นเรื่องกายแต่งกายแล้ว เหยาซูก็เอ่ยถามด้วยความอยากรู้ “วันนี้พี่สะใภ้รองแต่งกายไม่ธรรมดาเลยเชียว ทั้งยังแตกต่างจากเสื้อผ้าในวันปกติเสียอีก พี่สะใภ้ใหญ่ว่าอย่างไรเล่า?”
วันนี้พี่สะใภ้รองเหยาแต่งกายด้วยชุดกระโปรงยาวอันประณีตทั้งตัว เครื่องประดับบนศีรษะก็ดูน้อยชิ้น แต่กลับไม่จืดชืดเกินไปนัก แม้คนทั้งคนจะไม่ค่อยดูโดดเด่น แต่ก็ไม่ได้ดูผิดแปลกแต่อย่างใด
นางทอดถอนใจ แล้วพูดว่า “ไม่ใช่เพราะพี่สะใภ้ใหญ่ช่วยหรอกหรือ! ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าปกติแล้วบรรดาฮูหยินเหล่านี้แต่งกายอย่างไร โชคดีที่พี่สะใภ้ใหญ่ละเอียดอ่อน เคยเห็นว่าผู้อื่นแต่งกายอย่างไร จึงได้จัดชุดนี้มาให้ข้าใส่”
เหยาซูเห็นนางมีสีหน้ากังวล ราวกับถูกทรมานมาทั้งวัน ท่าทางดูหมดเรี่ยวแรงจริง ๆ ก็อดขบขันในใจไม่ได้ แต่ใบหน้ากลับแสดงสีหน้าปวดใจ “เอาละ วันนี้ขอบคุณพี่สะใภ้รองมากที่ยอมรับชะตากรรมแทนข้า ไว้อาการป่วยของข้าดีขึ้น ข้าจะตอบแทนท่านอย่างงามเลย”
ครั้นได้ยินนางพูดเช่นนี้ สะใภ้รองเหยาก็ดึงมือหญิงสาวตัวน้อย จากนั้นก็มองพิจารณานางตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าหนึ่งรอบก่อนจะทอดถอนใจ “อาการป่วยของเจ้าเรื้อรังมาหนึ่งเดือนแล้ว ไม่ง่ายเลยที่จะบำรุงจนมีน้ำมีนวล แต่กลับผอมลงอีกครั้ง มิน่าเล่าสองสามวันนี้ท่านแม่ทั้งกลุ้มใจและปวดใจ”
แม้ว่าเหยาซูจะดีขึ้น แต่สีหน้ากลับไร้เลือดฝาด นางรู้ว่าตัวเองยังไม่ดีขึ้น จึงไม่ค่อยไปเยี่ยมเยือนแม่เฒ่าเหยานัก เพี่อไม่ให้นางรู้สึกแย่ในใจ
นางยิ้มกับสะใภ้รองเหยา แล้วพูดว่า “การจะหายป่วยยากยิ่งกว่าหยิบไหมออกจากรัง คำพูดนี้เป็นคำที่พวกเขามักจะบ่นกรอกหูข้า เพื่อปลอบใจข้าอยู่เสมอ สำหรับข้า ความอ้วนท้วนไม่ได้บำรุงกันได้เพียงวันสองวัน”
สะใภ้รองเหยาได้ยินดังนั้นก็คลี่ยิ้ม “เจ้าช่างใจกว้างนัก สำหรับข้าแล้วเจ้าช่างมีจิตใจที่หนักแน่น เมื่ออาเหรากลับมา พวกเจ้าสองคนก็พากันออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกเสีย หยุดพักให้เต็มที่ไปเลยสองเดือน!”
ตระกูลเหยาต่างก็ไม่รู้เรื่องของหลินเหรา ยามทหารอยู่ในสนามรบมักไม่ค่อยมีข่าวคราว บ้างก็ขาดการติดต่อไปหนึ่งปี ไม่คิดว่าอาการป่วยของเหยาซู จะมีสาเหตุเพราะเป็นห่วงหลินเหรา
นางปิดบังเรื่องนี้กับพ่อเฒ่าเหยาและแม่เฒ่าเหยามาตลอด แม้แต่พี่สะใภ้ทั้งสองคนก็ยังไม่อยากให้พวกนางเป็นกังวล จึงไม่ยอมบอกใคร
ใบหน้าของเหยาซูยังคงเหมือนเดิม แม้แต่รอยยิ้มก็ยังดูฝืนใจ จึงเสมองไปอีกด้านไม่ให้สะใภ้รองเหยาเห็นความรู้สึกในสายตาของตัวเอง พลางพูดว่า “พี่สะใภ้รองพูดถูก ข้าควรพัก จิตใจจะได้สงบลง”
สะใภ้รองเหยาพูดอะไรบางอย่าง เหยาซูกลับฟังไม่ได้ยินแล้ว แค่ตอบรับคำสองคำ ขายผ้าเอาหน้ารอดไปเท่านั้น
สองสามวันนี้นางไม่เคยทำลายจดหมายที่เขียนถึงหลินเหรา แต่กลับเป็นจดหมายของเขาที่ไม่เคยได้รับเลยแม้แต่ฉบับเดียว นับวันดูก็พบว่านางไม่รู้ข่าวคราวของหลินเหรามาหนึ่งเดือนกว่าแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเซี่ยเชียนหรือเหยาเฉา ต่างก็ไม่ได้ยินข่าวคราวแต่อย่างใด….
เหยาซูรู้สึกเงียบเหงาในใจ ไม่รู้ว่าควรจะรักษาความหวังตั้งแต่ต้นจวบจนตอนนี้ หรือจะโน้มน้าวตัวเองให้วางแผนเผื่อไว้สำหรับคราวเลวร้ายที่สุด ต่อให้เรื่องที่เลวร้ายที่สุดจะไม่เกิดขึ้น แต่นางก็ต้องเตรียมตัวไว้
……………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
อาซูตรอมใจหนักเลย ใครก็ได้ส่งข่าวพี่เหรากลับมาที
ไหหม่า(海馬)