ตอนที่ 791 เริ่มศึกประลองภูติวิญญาณ (6) / ตอนที่ 792 สำนักศึกษาเฟิงหัวฟื้นคืนชีพอีกครั้ง (1)
ตอนที่ 791 เริ่มศึกประลองภูติวิญญาณ (6)
จวินอู๋เสียเดินทอดน่องออกจากลานประลองเขตที่หนึ่ง นางเดินไปได้ไม่ไกลนัก ก็ได้ยินเสียงฝีเท้ารีบวิ่งตามมาจากทางด้านหลัง จวินอู๋เสียหันกลับไปและเห็นศิษย์จากสำนักศึกษาพิชิตมังกรวิ่งเต็มฝีเท้าตรงมาหานาง
“เรื่องที่เกิดขึ้นคืนนั้น ข้า…” หลินฉีไล่ตามจวินอู๋เสียทันจนได้ เขากำลังจะขอโทษสำหรับเรื่องในคืนนั้นและจะวิงวอนขอจวินอู๋เสียไม่ให้ซ้อมเขาหนักเกินไปในการประลองที่จะมาถึง
แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้พูดจบประโยค หญิงงามนางหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นคั่นกลางระหว่างหลินฉีกับจวินอู๋เสีย
“การประลองของเจ้ายังไม่เริ่ม ในระหว่างนั้นตามกฎของศึกประลองภูติวิญญาณ ไม่อนุญาตให้ต่อสู้กันเด็ดขาด” จู่ๆ ชวีหลิงเย่ว์ก็โผล่มายืนอยู่ตรงหน้าจวินอู๋เสีย ขวางนางไว้จากหลินฉีพร้อมกับจ้องหลินฉีที่ดูยุ่งยากใจเขม็ง
หลินฉีประหลาดใจอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็นึกได้ว่าชวีหลิงเย่ว์เป็นใคร เขารู้สึกสับสนขึ้นมาทันที
คนของสำนักศึกษาธงศึกมาทำอะไรที่นี่
แล้ว…ที่นางพูดเมื่อสักครู่หมายความว่าอย่างไร
ทำไมถึงฟังดูเหมือนเขากำลังมาหาเรื่องจวินอู๋เสียกันเล่า
จวินอู๋เสียมองหลินฉีกับชวีหลิงเย่ว์ที่จู่ๆ ก็โผล่มาทีละคนพร้อมกับเลิกคิ้วขึ้น ก่อนที่นางจะพูดอะไรออกมา นางก็พบว่าถูกชวีหลิงเย่ว์ดึงแขนเอาไว้
“ถ้าเจ้ากล้าทำอะไรผิดกฎ ข้ารายงานเจ้าแน่!” ดวงตาเรียวยาวของชวีหลิงเย่ว์หรี่ลงขณะที่จ้องมองหลินฉีอย่างน่ากลัว จากนั้นก็ลากจวินอู๋เสียเดินต่อไปทันทีโดยที่หลินฉีไม่มีโอกาสได้พูดอะไรเลย
หลินฉียืนอึ้งอยู่กับที่ เขามองชวีหลิงเย่ว์ลากจวินอู๋เสียจากไปอย่างเหม่อลอย สักพักเขาก็ได้สติขึ้นมา
เดี๋ยวนะ!
แม่สาวจากสำนักศึกษาธงศึกต้องเข้าใจข้าผิดแน่!
ข้าไม่ได้มาหาเรื่องเด็กนั่นนะเว้ย! ข้าจะมาอ้อนวอนขอความเมตตาในการประลองต่างหากเล่า!
อนิจจา ตอนที่เขาได้สติขึ้นมา ชวีหลิงเย่ว์ก็ดึงตัวจวินอู๋หายไปจากสายตาแล้ว…
หลินฉีอยากจะทึ้งผมตัวเองเสียตรงนั้นเดี๋ยวนั้นเลย!
จวินอู๋เสียถูกชวีหลิงเย่ว์ลากผ่านถนนหลายสาย ก่อนจะเลี้ยวเข้าสู่ถนนที่ไม่ค่อยมีคน สายตาสงบนิ่งของนางกวาดมองใบหน้าที่ขึ้นสีแดงเล็กน้อยของชวีหลิงเย่ว์ และเมื่อพวกเขามาอยู่ในจุดที่ไม่มีคน ชวีหลิงเย่ว์ก็หยุดเดิน นางหันมามองจวินอู๋เสียและกำลังจะอ้าปากพูดก็สังเกตเห็นจวินอู๋เสียกำลังมองนางอยู่ ตอนนั้นเองชวีหลิงเย่ว์ที่ห้าวหาญอยู่เมื่อครู่ก็ดูเหมือนจะสังเกตเห็นบางอย่างจึงรีบดึงมือกลับมาทันที สองแก้มของนางแดงก่ำอย่างรวดเร็ว
“เจ้า…เจ้า…เจ้าอย่าเข้าใจผิดนะ…ข้า…ข้าไม่ใช่คนดี…ไม่ใช่…ไม่ใช่คนไม่ดี…ข้ากลัวว่าคนของสำนักศึกษาพิชิตมังกร…จะสร้างปัญหาให้เจ้า…ข้าก็เลย…” พอประหม่าชวีหลิงเย่ว์ก็พูดตะกุกตะกักในทันที นางดูลุกลี้ลุกลนมากและมองจวินอู๋เสียที่เตี้ยกว่านางครึ่งศีรษะอย่างเหนียมอาย ดูเหมือนสัตว์ตัวเล็กๆ ที่ได้รับบาดเจ็บ
“ทำไมเจ้าถึงช่วยข้า” จวินอู๋เสียสงบนิ่งไร้ความรู้สึก ถึงแม้นางจะไม่รู้ว่าทำไมศิษย์ของสำนักศึกษาพิชิตมังกรถึงไล่ตามนางมา แต่การกระทำและคำพูดของชวีหลิงเย่ว์นั้นเห็นได้ชัดว่ากำลังพยายามปกป้องนาง
นั่นทำให้จวินอู๋เสียสงสัยมาก นางไม่เชื่อว่าชวีหลิงเย่ว์กับนางรู้จักกันมาก่อน
ชวีหลิงเย่ว์สะดุ้ง ในใจนางนึกถึงภาพของชายหนุ่มผู้หล่อเหลาจนน่าเหลือเชื่อที่ปรากฏตัวในโรงประมูลภูติอัคคีในวันนั้น ใบหน้าของนางกลายเป็นสีแดงจนดูเหมือนจะมีควันออกจากหูได้แล้ว!
การที่นางคอยสังเกตจวินอู๋เสียก็เนื่องมาจากวันนั้น นางเห็นชายหนุ่มหน้าตาดีคนนั้นที่โรงประมูลภูติอัคคีและจากคำพูดของเหลยเชินบอกว่าเขามาจากสำนักศึกษาเฟิงหัว และในวันนั้นจวินอู๋เสียก็อยู่ข้างๆ ชายหนุ่มคนนั้น! ตอนที่นางเห็นจวินอู๋เสียที่ลานประลอง มันทำให้นางนึกถึงใบหน้าหล่อเหลาสมบูรณ์แบบนั้นขึ้นมาทันที
ตอนที่ 792 สำนักศึกษาเฟิงหัวฟื้นคืนชีพอีกครั้ง (1)
จวินอู๋เสียมองใบหน้าที่แดงก่ำจนเกือบสุกของชวีหลิงเย่ว์พร้อมกับเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง หลังจากรออยู่ครู่หนึ่ง จวินอู๋เสียก็เห็นว่าชวีหลิงเย่ว์ยังไม่ยอมพูดอะไร เอาแต่ยืนหน้าแดงอยู่อย่างนั้นก่อนจะหันหลังวิ่งหนีไปพร้อมกับยกมือขึ้นปิดหน้า
“…” จวินอู๋เสียพบว่านางไม่สามารถเข้าใจการกระทำของผู้คนได้เลยจริงๆ
“เหมียว”
นางเป็นอะไรของนาง
เจ้าแมวดำตัวน้อยกระโดดขึ้นมาบนไหล่ของจวินอู๋เสียพร้อมกับแกว่งหางไปมาอย่างเกียจคร้าน
จวินอู๋เสียยกมือขึ้นเกาคางเจ้าแมวดำตัวน้อย พร้อมกับสลัดความคิดเรื่องท่าทางแปลกๆ ของชวีหลิงเย่ว์ออกจากสมอง
เมื่อจวินอู๋เสียกลับมาที่โรงเตี๊ยมตำหนักเซียน มีเพียงฟ่านจิ่นอยู่ที่นั่นเพียงคนเดียว ส่วนคนอื่นๆ ยังไม่กลับมา ทำให้จวินอู๋เสียคิดว่าหมายเลขที่พวกเขาจับสลากได้ต้องเป็นหมายเลขหน้าๆ แน่ จวินอู๋เสียที่ไม่มีอะไรทำจึงไปหลอมโอสถต่อ
ขณะที่จวินอู๋เสียขังตัวเองอยู่ในห้องยุ่งอยู่กับการหลอมโอสถของนาง ลานประลองหลายแห่งในเมืองหลวงรัฐเหยียนก็พลันเกิดเหตุไม่คาดฝันที่ทำเอาผู้คนแทบคลั่งกันทีเดียว!
ศึกประลองภูติวิญญาณในปีนี้ สำนักศึกษาเฟิงหัวเป็นสำนักศึกษาที่ไม่มีใครเห็นว่าน่ากลัว ผู้เยาว์ทุกคนที่จับสลากได้ศิษย์ของสำนักศึกษาเฟิงหัวเป็นคู่ต่อสู้ก็ไม่รู้สึกกดดันเหมือนปีก่อนๆ เลยแม้แต่น้อย แต่ท่าทางผ่อนคลายและกระตือรือร้นของคู่ต่อสู้ของพวกเขาทุกคนก็ถูกบดขยี้อย่างรวดเร็ว
ทุกลานประลองที่มีศิษย์ของสำนักศึกษาเฟิงหัวเข้าแข่งขันเร่าร้อนขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ! ฮวาเหยากับคนอื่นๆ ที่ทุกคนพากันดูถูกได้แสดงฝีมือด้วยการเอาชนะคู่ต่อสู้ของพวกเขาในเวลาแค่วินาทีเดียวเท่านั้น!
ทุกคนโดยไม่มีข้อยกเว้นและไม่อาจจะคัดค้านได้ด้วย!
ถ้าเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นแค่เขตเดียว อาจจะพูดได้ว่าเป็นแค่เรื่องบังเอิญ แต่เมื่อเกิดขึ้นถึงห้าเขต สำนักศึกษาอื่นๆ ก็พากันตกตะลึงกันหมด!
แม้แต่ตอนที่สำนักศึกษาเฟิงหัวอยู่ในช่วงที่แข็งแกร่งที่สุด ก็ยังไม่สามารถรวบรวมศิษย์ที่แข็งแกร่งจนเหลือเชื่อขนาดนี้ได้ ต้องรู้ด้วยว่าผู้เข้าแข่งขันทั้งห้าคนของสำนักศึกษาเฟิงหัวนั้นเป็นผู้ใช้พลังวิญญาณขั้นสีน้ำเงินทั้งหมด! ไม่มียกเว้นแม้แต่คนเดียว!
อายุเพียงสิบหกสิบเจ็ดปี แต่กลับมีพลังอยู่ในขั้นสีน้ำเงิน!
นั่นมันเรื่องบ้าอะไรกัน!
ในตอนที่ฮวาเหยากับคนอื่นๆ แสดงพลังวิญญาณออกมา ทั่วทั้งลานประลองก็เงียบกริบทันที สิ่งที่ตามมาก็คือการพ่ายแพ้อย่างยับเยินของคู่ต่อสู้ของพวกเขาอย่างไม่ต้องสงสัยเลย ซึ่งทั้งหมดนั้นเกิดขึ้นในชั่วพริบตา คนห้าคนห้าการประลองในห้าเขต เอาชนะคู่ต่อสู้ของพวกเขาแบบถล่มทลาย ตบหน้าคนที่ดูถูกเหยียดหยามสำนักศึกษาเฟิงหัวได้อย่างเจ็บแสบ!
และนั่นเป็นการตบหน้าที่สั่นสะเทือนไปทั้งเมืองหลวง!
ภายในระยะเวลาสั้นๆ แค่ครึ่งวันเท่านั้น ชื่อเสียงของสำนักศึกษาเฟิงหัวก็แพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวงแห่งรัฐเหยียน ตอนที่เหลยเชินที่นั่งอยู่ในตำหนักรัชทายาทได้รับข่าว พู่กันที่เขาถืออยู่ในมือถึงกับหักครึ่ง
ผู้ใช้พลังวิญญาณขั้นสีน้ำเงินที่อายุสิบหกสิบเจ็ดปีห้าคนอย่างนั้นหรือ
เป็นไปได้อย่างไร!
ในวันแรกของการประลองความแข็งแกร่งของฮวาเหยาและคนอื่นๆ ก็ทำให้ทุกคนต้องอ้าปากค้าง ในตอนนี้สำนักศึกษาเฟิงหัวได้กลายมาเป็นหัวข้อสนทนากันอย่างร้อนแรงในทุกๆ สำนักศึกษา
ความยากลำบากในการบ่มเพาะพลังวิญญาณเป็นสิ่งที่ทุกคนรู้ดี ไม่จำเป็นต้องพูดถึงการไปถึงขั้นสีน้ำเงินในตอนที่อายุสิบหกสิบเจ็ดปีเลย แค่การไปถึงจุดสูงสุดของขั้นสีส้มที่อายุเท่านั้นก็ต้องใช้พรสวรรค์ขั้นสูงแล้ว การเลื่อนขึ้นไปยังขั้นสีเหลืองก็หมายความว่าคนผู้นั้นเป็นอัจฉริยะในหมู่อัจฉริยะ ทั่วทั้งสำนักศึกษาจำนวนมากยกเว้นสำนักศึกษาธงศึกและสำนักศึกษาพิชิตมังกร ไม่มีศิษย์ที่สามารถทะลวงเข้าสู่ขั้นสีเหลืองได้เลยสักคน
แต่บัดนี้ สำนักศึกษาเฟิงหัวได้ทำลายมาตรฐานทั้งหมด และไม่ใช่แค่คนเดียว แต่เป็นผู้เยาว์ถึงห้าคนที่มีพลังวิญญาณขั้นสีน้ำเงิน!
จากนี้ไปศึกประลองภูติวิญญาณจะเป็นอย่างไรต่อไป
ด้วยความแตกต่างของระดับขั้นพลังวิญญาณ และด้วยความเหนือชั้นกว่าอย่างเทียบไม่ติด ชื่อเสียงเกียรติยศจึงกลับคืนสู่สำนักศึกษาเฟิงหัวดังเดิมอย่างรวดเร็ว ตบหน้าพวกที่รอดูสำนักศึกษาเฟิงหัวอับอายขายหน้าได้อย่างรุนแรง การปรากฏตัวของผู้ใช้พลังวิญญาณขั้นสีน้ำเงินห้าคนอย่างฉับพลัน ทำให้พวกแมวมองที่ตระกูลและสำนักที่มีอำนาจทั้งหลายทั่วดินแดนส่งมาซ่อนตัวอยู่ในเมืองหลวงทุกคนต้องตกใจและประหลาดใจเป็นอย่างมาก!