ตอนที่ 422

My Disciples Are All Villains

หลังจากที่สีวู่หยาพบกับปริศนา ความอ่อนล้าที่ตัวเขามีก็ได้หายจางไป ตัวเขารู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาอีกครั้ง มันไม่ใช่เรื่องยากเลยที่คนหนุ่มคนสาวจะอดหลับอดนอนได้ แต่อย่างไรก็ตามพลังวรยุทธของสีวู่หยากลับถูกผนึกไว้ ดังนั้นตัวเขาจึงได้รับผลจากการอดหลับอดนอน การอดนอนทั้งคืนได้ทำให้รอบตาของเขามีรอยคล้ำอย่างเห็นได้ชัด แต่เมื่อได้อ่านคำถามใหม่ตัวเขาก็รู้สึกมีพลังขึ้นมาอีกครั้ง สีวู่หยาเริ่มที่จะแก้ปริศนาในทันที ตัวเขาจะไม่ยุ่งกับมันแน่ถ้าหากมันเป็นของผู้อื่น แต่ของสิ่งนี้ได้มาจากผู้ที่เป็นอาจารย์ของเขา สีวู่หยาที่รู้แบบนั้นมีแรงบันดาลใจเพิ่มเป็นทวีคูณ

ซู่ฮ่องกงพูดไม่ออกเมื่อเห็นท่าทีของสีวู่หยา ตัวเขาได้แต่รำพึงอยู่ในใจ ‘นี่มันแย่แน่ ศิษย์พี่เจ็ดกำลังหมกมุ่นอยู่กับการไขปริศนาแบบนี้ ศิษย์พี่จะทำอะไรหลังจากที่ตอบคำถามพวกนี้ได้แล้วกัน?’ หลังจากนั้นไม่นานซู่ฮ่องกงก็ได้โบกมือเพื่อพยายามเรียกร้องความสนใจกับสีวู่หยา “ศิษย์พี่เจ็ด?”

อย่างไรก็ตามสีวู่หยาไม่ได้โต้ตอบกลับมา ตัวเขาทำราวกับว่ามองไม่เห็นซู่ฮ่องกง

ซู่ฮ่องกงถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนที่จะอุ้มท้องอันใหญ่ยักษ์ของตัวเองจากไป ตัวเขาได้เดินเอามือไขว้หลังก่อนที่จะออกจากถ้ำแห่งเงาสะท้อนไป ซู่ฮ่องกงรู้สึกดีมากที่มีโอกาสเดินจากไปเหมือนกับผู้ที่เป็นอาจารย์ ทันทีที่ออกจากถ้ำมาฝานซงและโจวจี้เฟิงก็ได้เดินเข้าหาตัวเขา

“สวัสดีครับท่านศิษย์คนที่แปด” ทั้งสองทักทายอย่างพร้อมเพรียงกัน

ซู่ฮ่องกงที่เห็นแบบนั้นได้กระแอมออกมา ตัวเขาได้ถามออกมาอย่างเคร่งขรึม “อะไรกัน?”

“ไม่มีอะไรมาก พวกเราก็แค่มาที่นี่เพื่ออยากดู ข้าได้ยินมาว่าท่านศิษย์คนที่เจ็ดได้พยายามหาคำตอบตลอดทั้งวันทั้งคืน พวกเราที่ได้ฟังแบบนั้นอยากที่จะเห็นมันกับตาตัวเอง” ฝานซงตอบกลับมา

“เจ้าหากพวกเจ้ามีเวลาว่างจริง พวกเราก็ควรที่จะใช้เวลาไปกับการฝึกฝนตัวเองจะดีกว่า” ซู่ฮ่องกงที่พูดเสร็จได้โยนกระดาษที่ตัวเขาพกมาด้วยให้กับฝานซงและโจวจี้เฟิงไป

“ขอบคุณจริงๆ ท่านศิษย์คนที่แปด”

ไม่นานนักปริศนาในก่อนหน้านี้ก็ได้แพร่ไปทั่วศาลาปีศาจลอยฟ้า เมื่อปริศนาได้แพร่ออกไปบนหุบเขาทองก็ไร้ซึ่งความบันเทิงใดๆ ในทันที นอกจากการฝึกฝนแล้วทุกๆ คนยังต้องใช้เวลาไปกับการใช้ชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการทานอาหาร การเข้าห้องน้ำ หรือแม้แต่การนอนหลับพักผ่อน อันที่จริงทุกๆ คนต่างก็ต้องการสิ่งที่ทำให้ตัวเองสนุกสนาน แต่เมื่อทุกๆ คนได้รับปริศนาที่ว่า ทุกคนก็เริ่มศึกษามันอย่างจริงจัง

ลู่โจวกำลังทำสมาธิกับเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์อยู่ในห้องของตน ตัวเขาไม่รู้เลยว่าโจทย์ปัญหาธรรมดาๆ จะได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก

ณ เช้าวันใหม่ มันเป็นวันที่ไร้ซึ่งแสงสว่าง แต่ลู่โจวกลับได้ยินการแจ้งเตือนถึงสองครั้งติด

“ติ้ง!ชี้แนะสีวู่หยา ได้รับรางวัลแต้มบุญ: 200”

“ติ้ง!ชี้แนะสีวู่หยา ได้รับรางวัลแต้มบุญ: 200”

ลู่โจวรู้สึกประหลาดใจที่ได้รับการแจ้งเตือนถึงสองครั้ง ‘ดูเหมือนว่าฉันจะต้องเตรียมคำถามอื่นเพื่อที่จะสอนศิษย์ไม่รักดีคนนี้ซะแล้ว ฉันจะแสดงให้เห็นเองว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า’

ณ ตอนนั้นเองเสียงของซู่ฮ่องกงก็ได้ดังมาจากภายนอก “ท่านอาจารย์!”

“เข้ามาได้”

หลังจากที่ใช้เวลากับลู่โจวมาสักพัก ซู่ฮ่องกงก็ไม่ได้แสดงท่าทีแข็งกร้าวต่อหน้าลู่โจวอีกต่อไป ตัวเขาดูผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น เมื่อซู่ฮ่องกงเข้ามาในห้องตัวเขาก็เห็นลู่โจวกำลังนั่งทำสมาธิอยู่ เมื่อเห็นดังนั้นตัวเขาก็ได้โค้งคำนับก่อนที่จะพูดออกมา “ท่านอาจารย์ ศิษย์พี่เจ็ดได้แก้ไขปริศนาอันแรกของท่านได้แล้ว คำตอบเขาเหมือนกับของท่านไม่มีผิด”

สีหน้าของลู่โจวไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลยแม้แต่น้อย คำถามนั้นก็เป็นเหมือนกับอาหารเรียกน้ำย่อยเท่านั้น ลู่โจวรู้สึกประหลาดใจมากกว่าที่ทำไมตัวเขาถึงได้รับแต้มบุญ

“แล้วคำถามที่สองล่ะ” ลู่โจวได้ถามออกมา

“ข้าคิดว่าศิษย์พี่คงจะแก้มันได้แน่ ข้าแน่ใจว่ามันยากสำหรับเขา ใครจะไปคิดกันว่าจะได้เห็นศิษย์พี่เจ็ดต้องเกาหัวอย่างหนักหลังจากที่ใช้ความคิดถึงเพียงนี้” ซู่ฮ่องกงตอบกลับไป

“เอากระดาษบนโต๊ะไปให้เจ้านั่นซะ”

“ครับ ท่านอาจารย์”

ซู่ฮ่องกงได้นำคำตอบพร้อมกับปริศนาที่สามไปที่ถ้ำแห่งเงาสะท้อน

“ศิษย์พี่เจ็ด นี่คือคำตอบสำหรับเมื่อวานและปริศนาที่สาม…”

สีวู่หยาหยิบกระดาษมาจากตัวของซู่ฮ่องกงในทันที ตัวเขาได้ถอนหายใจก่อนที่จะเปรียบเทียบคำตอบกับของตัวเอง “น่าสนใจ น่าสนใจจริงๆ ”

ซู่ฮ่องกงมองไปที่โต๊ะหินที่อยู่ภายในถ้ำแห่งเงาสะท้อน ตัวเขาแปลกใจที่เห็นรู้ทั้งสองรู “ศิษย์พี่เจ็ด ท่านเป็นคนทำอย่างงั้นเหรอ?”

“ข้าควบคุมตัวเองไม่ได้น่ะ” สีวู่หยาพูดออกมา ดวงตาของเขายังคงจับจ้องไปที่เนื้อหาในกระดาษอย่างไม่ละสายตา

“ศิษย์พี่เจ็ด ท่านควรที่จะหยุดพยายามแก้ปริศนาเหล่านี้ได้แล้ว มันน่าเบื่อจะตายไป”

“ออกไปซะ” เสียงของสีวู่หยาฟังดูเย็นชา

“ฮะ?” ซู่ฮ่องกงที่ได้ฟังแบบนั้นตกตะลึง “งั้นข้าขอตัวก่อน”

หลังจากที่ซู่ฮ่องกงจากไป สีวู่หยาก็สงบลงก่อนที่จะพึมพำอะไรกับตัวเอง “23, 128…233…ข้าคำนวณมันเพียงแค่อันเดียวอย่างงั้นเหรอ?!ข้าไม่เคยเห็นวิธีแก้ปัญหาของท่านอาจารย์มาก่อนเลย…ช่างเป็นอะไรที่เปิดหูเปิดตาจริงๆ”

คำตอบที่เขียนอยู่บนกระดาษไม่ได้มีเพียงคำตอบ มันยังมีตัวแปรสมมุติและวิธีการคิดอีกด้วย

สำหรับคนฉลาดอย่างสีวู่หยา แรงบันดาลใจในการแก้ปัญหาของเขามันก็เหมือนกับการได้เห็นอาหารที่ดูเลิศรส ตัวเขาจะไม่รู้สึกตกใจได้ยังไงกันเมื่อได้เห็นปริศนาที่อยู่ภายในกระดาษ?

สำหรับคำถามที่สามสีวู่หยาได้ใช้เวลาตกตะลึงเป็นเวลานานกว่าครั้งที่ผ่านมา ในเวลานี้ตัวเขาเพิ่งจะรู้ว่าคำถามสองคำถามแรกเป็นเพียงแค่อาหารเรียกน้ำย่อยเท่านั้น

ในกระดาษแผนที่สามมีรูปสามเหลี่ยม วงกลม และสัญลักษณ์ที่สีวู่หยาไม่รู้จัก ตัวเขาไม่เข้าใจอะไรสัญลักษณ์พวกนั้นเลย

เป็นเรื่องธรรมดาที่สีวู่หยาจะเป็นแบบนั้น มันเป็นคำถามที่เกี่ยวข้องกับวิชาเรขาคณิตชั้นสูง แม้แต่ลู่โจวในอดีตยังเคยปวดหัวเมื่อได้พบกับคำถามเหล่านี้มา แน่นอนสำหรับสีวู่หยาที่ไม่เคยเจอมันมาก่อนก็คงจะต้องเป็นเช่นกัน มันเป็นความกลัวที่จะคอยเข้าครอบนำเหล่านักศึกษาทั้งหลายมาอย่างนับไม่ถ้วน

“ติ้ง! ชี้แนะสีวู่หยา ได้รับรางวัลแต้มบุญ: 200”

เมื่อได้ยินการแจ้งเตือนครั้งที่สาม ลู่โจวก็ได้แต่พยักหน้าอย่างพึงพอใจ ‘แม้แต่ฉันเองก็ยังต้องกังวลกับคำถามพวกนี้ สีวู่หยา แกน่ะไม่มีทางจะแก้มันได้แน่’

คำถามที่สามเกี่ยวข้องกับเรขาคณิตชั้นสูง สำหรับโลกที่ขาดแนวคิดทางด้านของคณิตศาสตร์อย่างโลกใบนี้ มันก็เป็นเหมือนกับคนธรรมดาที่มีโอกาสได้อ่านเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์นั่นแหละ

สีวู่หยาไม่ใช่คนธรรมดา แน่นอนเมื่อเวลาผ่านไปนานเข้าตัวเขาจะต้องเข้าใจสิ่งนี้ได้แน่

ผ่านไปชั่วครู่หนึ่ง ลู่โจวก็ได้หลับตาก่อนที่จะนั่งสมาธิเพื่อทำความเข้าใจเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ต่อ

ในช่วงบ่ายวันนั้น

คนอื่นๆ ในศาลาปีศาจลอยฟ้าต่างก็ยอมแพ้ให้กับการหาคำตอบให้กับปริศนาเหล่านี้ ไม่ว่าจะแก้ปัญหามากสักแค่ไหนแต่ก็ไม่สามารถแก้ได้จะยิ่งทำให้คนคนนั้นรู้สึกทุกข์ทรมานใจซะเปล่าๆ

ในช่วงค่ำ

สีวู่หยาได้จ้องมองปริศนาที่อยู่บนโต๊ะด้วยสีหน้าที่ว่างเปล่า ตัวเขาในตอนนี้รู้สึกว่าตัวเองได้กลายเป็นคนโง่อีกครั้ง

นี่เป็นปฏิกิริยาปกติเมื่อมีใครบางคนพบกับสถานการณ์ที่ยากลำบากใจ ความมั่นใจของคนคนนั้นจะต้องถูกบั่นทอนลงอย่างแน่นอน และมันจะทำให้คนคนนั้นรู้สึกสงสัยในตัวเอง สีวู่าหยาเองก็เป็นเช่นกัน เขาไม่รู้ว่าคนอื่นๆ ได้ยอมแพ้ที่จะแก้ไขปริศนาที่เห็นมานานแล้ว

วันที่สาม วันที่สี่ และวันที่ห้าได้ผ่านพ้นไป

สีวู่หยายังคงตั้งใจแก้ปริศนาที่อยู่บนโต๊ะ ยิ่งตัวเขาศึกษามันมากเท่าไหร่ สีวู่หยาก็พบว่ามันซับซ้อนมากขึ้นเท่านั้น

การทำสมาธิของลู่โจวในการทำความเข้าใจเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์เป็นไปได้อย่างราบรื่น ก่อนหน้านี้ตัวเขาได้เติมเต็มพลังวิเศษของเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์จนเต็มแล้ว

ตัวเขายังไม่รู้ว่าพลังวิเศษของเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ที่สี่คืออะไร

เนื่องจากตัวเขาได้ทำสมาธิกับเคล็ดวิชาส่วนใหม่ ลู่โจวในตอนนี้จึงมั่นใจมากว่าการวิเศษที่ขายจะต้องมีราคาสูงด้วยเช่นกัน

ตามที่คาดการณ์ไว้ เมื่อลู่โจวได้เปิดเมนูร้านค้าออกมา ตัวเขาก็พบว่าราคาการ์ดทั้งหมดเพิ่ม 500 แต้มขึ้นไป

ลู่โจวที่ได้เห็นแบบนั้นก็ได้แต่สาปแช่งอยู่ภายในใจ “ท่านอาจารย์ ศิษย์พี่เจ็ดต้องการที่จะพบท่าน”

สีหน้าของลู่โจวไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเมื่อได้ยินแบบนั้น

ท้ายที่สุดแล้วตัวเขาก็ไม่คิดว่าศิษย์คนนี้จะแก้โจทย์ปัญหาได้ “ทำไมกัน?”

“ศิษย์พี่อยากที่จะขอความเห็นของท่านอาจารย์กับปริศนาที่ได้รับครับ”

“เขายอมขอความเห็นจากคนอื่นด้วยอย่างงั้นหรอ?”

ซู่ฮ่องกงสามารถจับอารมณ์จากน้ำเสียงของผู้เป็นอาจารย์ได้ในทันที “ข้าจะส่งสิ่งที่ท่านพูดไปให้กับเขาเองครับ”

หลังจากที่ซู่ฮ่องกงจากไป ลู่โจวก็ได้มองไปที่ด้านนอกหน้าต่าง ตัวเขามั่นใจว่าตัวเองจะจัดการกับสีวู่หยาได้แน่

ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า

ลู่โจวก็ได้ใช้วิธีการอื่นเพิ่มเติม ตัวเขาได้ยกความยากของคำถามขึ้น ตัวเขาไม่คาดหวังว่าสีวู่หยาจะแก้โจทย์ปัญหาได้จริง ตัวเขาต้องการที่จะให้สีวู่หยาเข้าใจความหมายของเบื้องหลังคำถามเหล่านี้ การเรียนรู้เป็นสิ่งที่ไม่มีที่สิ้นสุด ยิ่งเข้าใจศาสตร์ของการคำนวณมากเท่าไหร่ ตัวเขาก็ยิ่งจะเข้าใจความลึกลับของโลกใบนี้มากขึ้นเท่านั้น

ภายในถ้ำแห่งเงาสะท้อน สีวู่หยากำลังทำตัวในแบบที่ลู่โจวได้คาดหวังเอาไว้ ยิ่งตัวเขาแก้โจทย์ปัญหาไปได้มากเท่าไหร่ ตัวเขาก็ยิ่งรู้ว่าสิ่งเหล่านี้ซับซ้อนกว่าที่ตัวเขาได้คาดไว้มาก

รูปลักษณ์ของสีวู่หยาเปลี่ยนไปอย่างมาก ตัวเขาได้ทุกข์ทรมานกับคำถามจนมีผมที่ยุ่งเหยิง สีวู่หยาได้จดจ่อกับคำถามจนไม่มีอันจะทำอะไร

“ข้าจะไม่ทนเห็นท่านศิษย์คนที่เจ็ดเป็นแบบนี้!” ฝานซงเหลือบมองสีวู่หยาก่อนที่จะหันหลังกลับและจากไป

“คำถามพวกนี้ทำให้คนเป็นบ้า ท้ายที่สุดแล้วมันก็มีแต่จะทำให้เสียสุขภาพซะเปล่าๆ”

“ฮะ เจ้ายังไม่เข้าใจปริศนาอะไรเลยซะด้วยซ้ำไป”

เมื่อฝานซงและโจวจี้เฟิงจากถ้ำแห่งเงาสะท้อนไป ในตอนนั้นก็มีผู้ฝึกยุทธหญิงหลายคนวิ่งเข้ามาหาพวกเขา

ฝานซงที่เห็นแบบนั้นขมวดคิ้ว “เกิดอะไรขึ้นกัน?”

“องค์หญิงหย่งหนิงทรุดหนัก ในตอนนี้มีใครบางคนได้รายงานเรื่องนี้ต่อท่านปรมาจารย์แล้ว! ข้ามาที่นี่ก็เพื่อที่จะบอกข่าวกับท่านศิษย์คนที่เจ็ด” ผู้ฝึกยุทธหญิงรีบรายงานอย่างเร่งรีบ

สีวู่หยาได้ใช้เวลาจดจ่ออยู่กับการแก้ปริศนามาโดยตลอด ตัวเขาได้ปรากฏตัวขึ้นมาที่ปากถ้ำแห่งเงาสะท้อน สีวู่หยาขมวดคิ้วก่อนที่จะถามออกมา “เกิดอะไรขึ้นกับหย่งหนิงกัน?”