ตอนที่ 423

My Disciples Are All Villains

ไม่ว่าสีวู่หยาจะเย็นชาหรือไร้หัวใจเพียงใด ตัวเขาก็ไม่อาจอยู่เฉยได้ถ้าหากหย่งหนิงกำลังจะตาย ท้ายที่สุดนางก็ได้ช่วยตัวเขาเอาไว้ แม้ว่าสีวู่หยาจะไม่ได้รักนาง แต่ยังไงซะสีวู่หยาก็ยังเป็นหนี้นางอย่างไม่ต้องสงสัย

สีวู่หยาขมวดคิ้วเมื่อได้ยินสิ่งที่ผู้ฝึกยุทธหญิงพูดถึงสภาพของหย่งหนิง หลังจากที่เงียบไปครู่หนึ่งตัวเขาก็ได้พูดออกมา “ปล่อยข้าออกไป”

ฝานซงและโจวจี้เฟิงตกตะลึง พวกเขาไม่กล้าพอที่จะปล่อยตัวของสีวู่หยาให้ออกจากถ้ำแห่งเงาสะท้อน ทั้งสองคนทำได้เพียงมองสีวู่หยาด้วยสายตาที่อยากจะช่วย

“ท่านศิษย์คนที่เจ็ด ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากปล่อยท่านออกมา…แต่ว่า…”

“ปล่อยข้า” สีวู่หยาได้พูดออกมาอีกครั้ง

“…”

จากการแสดงออกของสีวู่หยา ฝานซงและโจวจี้เฟิงรู้ดีว่าตัวเขาตั้งใจแน่วแน่ที่จะออกจากถ้ำมากแค่ไหน มีปัญหาเพียงอย่างเดียวก็คือพวกเขาไม่กล้าพอที่จะเผชิญหน้ากับปรมาจารย์แห่งศาลาปีศาจลอยฟ้า เพราะแบบนั้นแล้วทั้งสองคนจึงไม่มีวันปล่อยตัวของสีวู่หยาไป

สีวู่หยาในตอนนี้ไม่มีทั้งพลังวรยุทธและอาวุธของตัวเอง เป็นธรรมดาที่สีวู่หยาจะไม่สามารถฝ่าพลังเขตแดนเหมือนกับที่ยู่ฉางตงทำได้

บรรยากาศเริ่มตึงเครียดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ในตอนนั้นเองก็มีเสียงของใครบางคนดังขึ้น “ปล่อยเจ้านั่นออกมา”

สีวู่หยาและโจวจี้เฟิงหันไปมองที่ด้านหลัง ตัวเขามองเห็นต้วนมู่เฉิงที่กำลังยืนอยู่เหนือถ้ำแห่งเงาสะท้อนพร้อมกับหอกราชันย์ของตน

“ครับ ท่านศิษย์คนที่สาม” ฝานซงได้โค้งคำนับให้

ไม่นานหลังจากนั้นสีวู่หยาก็ได้ออกจากถ้ำแห่งเงาสะท้อน ตัวเขาได้มองขึ้นไปมองต้วนมู่เฉิง เมื่อได้เห็นผู้เป็นศิษย์พี่สีวู่หยาก็รู้สึกตกใจ ต้วนมู่เฉิงในตอนนี้แข็งแกร่งกว่าแต่ก่อนมาก พลังวรยุทธของตัวเขาก็พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว

“ขอบคุณศิษย์พี่” สีวู่หยากล่าวขอบคุณ

ต้วนมู่เฉิงส่ายหัวก่อนที่จะพูดออกมา “ยกโทษให้ด้วยที่ข้าต้องพูดแบบนี้ แต่จะมีประโยชน์อะไรถ้าหากเจ้าจะต้องหมกมุ่นอยู่กับการแก้ปัญหาแบบนี้? ถ้าหากเจ้ามีเวลาว่างจริงๆ เจ้าก็ควรที่จะศึกษาทฤษฎีการแยกดอกบัวทองคำของตัวเองจะดีกว่า ถ้าหากเจ้ามีส่วนร่วมกับศาลาปีศาจลอยฟ้า ทุกๆ คนก็จะเคารพรักเจ้าเอง เจ้าในตอนนี้ไม่มีแม้แต่พลังอะไรที่จะช่วยหญิงสาวที่ตัวเองรักซะด้วยซ้ำ”

สีวู่หยาพูดไม่ออก ตัวเขาเงียบไปครู่หนึ่ง แม้ว่าสีวู่หยาพยายามที่จะโต้กลับไป แต่เมื่อคิดดูให้ดีถึงอารมณ์ของผู้เป็นศิษย์พี่คนนี้ตัวเขาก็เลือกที่จะยอมแพ้ไปซะก่อน ท้ายที่สุดแล้วตัวเขาก็ได้ตอบรับกลับมา “ข้าจะจดจำคำพูดของศิษย์พี่ไว้ให้ดีเอง”

“ไปซะเถอะ ไปทำความเคารพเป็นครั้งสุดท้าย” ต้วนมู่เฉิงที่พูดเสร็จก็ได้จากไป

เคารพเป็นครั้งสุดท้าย?

หัวใจของสีวู่หยาจมดิ่งไปสู่ความสิ้นหวัง ตัวเขารู้ดีว่าคำพูดที่ได้ฟังมันหมายความว่าอะไร ท้ายที่สุดแล้วสีวู่หยาก็ไม่อยากจะคิดถึงมัน ตัวเขารีบมุ่งหน้าไปยังศาลาทางใต้

ฝานซง, โจวจี้เฟิง และคนอื่นๆ ตามหลังตัวเขามาอย่างติดๆ

ไม่นานนักสีวู่หยาก็เดินมาถึงศาลาทางใต้

เมื่อหยวนเอ๋อเห็นสีวู่หยาปรากฏตัว นางก็รีบเดินมาหาสีวู่หยา “ศิษย์พี่เจ็ด พี่หย่งหนิงกำลังจะตาย!”

“…” จ้าวยู่รีบดึงหยวนเอ๋อกลับมาก่อนที่จะพูดออกไป “อย่ากังวลไปเลย ผู้อาวุโสทั้งสามอยู่ที่นี่แล้ว”

ซู่ฮ่องกงมองไปที่หยวนเอ๋อก่อนที่จะพูด “ศิษย์น้องเล็ก เจ้าควรจะระวังคำพูดหน่อย”

คนอื่นๆ ไม่กล้าที่จะพูดอะไรอีก

สีวู่หยามองไปที่ประตูศาลาที่ถูกปิด ตัวเขาที่กำลังจะเปิดประตูเข้าไปประตูก็ถูกเปิดออกมาซะก่อน

ฮั๊ววู่เด๋าเป็นผู้ที่เดินออกมา

ฮั๊วยู่จิงได้เดินไปหาก่อนที่จะถามขึ้น “สถานการณ์เป็นยังไงบ้างคะ?”

ฮั๊ววู่เด๋าถอนหายใจพลางส่ายหัว “นางถูกดาบพลังงานแทงไปที่ร่างกาย มันได้ทำลายอวัยวะภายในของนางไป พวกเราควรจะเตรียมจัดงานศพให้นางจะดีกว่า”

เมื่อได้ยินแบบนั้นทุกคนที่อยู่ที่นั่นต่างก็ส่ายหัวก่อนที่จะถอนหายใจ

สีวู่หยาไม่ได้รู้สึกกระวนกระวายใจ มันเป็นตรงกันข้ามกับความคาดหวังของทุกคน ตัวเขายังคงสงบนิ่ง สีวู่หยานึกถึงภาพที่หย่งหนิงพยายามที่จะฆ่าตัวตายด้วยดาบพลังงานในการต่อสู้ที่เมืองแห่งมณฑลเหลียง

หย่งหนิงเป็นคนที่ฉลาดหลักแหลม นางรู้ดีว่าหลิวปิงและเซียงลี่พานางมาก็เพื่อที่จะใช้นางเป็นตัวประกัน นางเต็มใจที่จะสละตัวเองก็เพื่อที่จะขัดขวางเซียงลี่ มันเป็นการสร้างโอกาสให้สีวู่หยา ด้วยเหตุนี้สีวู่หยาจึงสามารถวางแผนจัดการเซียงลี่ได้สำเร็จ นางเลือกที่จะจบชีวิตของตัวเองก็เพื่อที่จะไม่ทำให้ตัวเองตกเป็นภาระของสีวู่หยา

บางครั้งสีวู่หยาก็รู้สึกว่าหย่งหนิงเป็นหญิงสาวผู้โง่เขลา นางสามารถมีชีวิตที่สงบสุขในพระราชวังได้ถ้าหากนางเลือก ทำไมนางถึงยังยืนกรานที่จะเข้ามามีส่วนร่วมกับเรื่องทางโลก?

เอี๊ยดดด!

ประตูถูกเปิดขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้ฝานลี่เทียนเป็นผู้ที่เดินออกมา ใบหน้าของเขาก็ดูไม่สู้ดีเช่นกัน ตัวเขาได้ยกน้ำเต้าในมือขึ้นมาก่อนที่จะดื่มมัน

จ้าวยู่ได้เดินไปหาฝานลี่เทียนก่อนที่จะถามออกมา “พี่ฝาน อาการของนางเป็นยังไงบ้าง?” จ้าวยู่ถือได้ว่าเป็นพี่สาวของหย่งหนิง นางอดไม่ได้ที่จะกังวลเช่นกัน

ฝานลี่เทียนส่ายหัวก่อนที่จะถอนหายใจ “ข้าได้ใช้พลังลมปราณไปกว่าครึ่งแล้ว แต่ข้าก็ไม่สามารถรักษาอาการบาดเจ็บภายในของนางได้เลย ดูจากอาการบาดเจ็บของนางแล้ว ข้าคิดว่านางคงจะวางแผนล่วงหน้าเอาไว้แล้วล่ะ”

หย่งหนิงไม่ต้องการที่จะตายในทันที แต่นางก็ไม่ได้ต้องการความช่วยเหลือด้วยเช่นกัน นางเต็มใจที่จะทนพิษบาดแผลต่อไปเพียงเพื่อที่จะได้เฝ้ามองโลกให้ได้นานที่สุด

“ตาแก่ฝาน อย่าทำให้พวกเรากลัวเลย ไม่มีอะไรที่ท่านทำได้แล้วหรอไงกัน?” ฝานซงได้ถามออกมา

“ข้าดูเหมือนคนที่ชอบพูดโกหกอย่างงั้นเหรอ?” ฝานลี่เทียนได้ถามออกมา

หยวนเอ๋อรีบดึงเสื้อของสีวู่หยาก่อนที่จะพูดออกมาเบาๆ “ศิษย์พี่เจ็ด ขอความช่วยเหลือจากท่านอาจารย์ซะ ข้าแน่ใจว่าเขาสามารถที่จะช่วยพี่หย่งหนิงได้แน่”

ฝานลี่เทียนที่ได้ยินแบบนั้นกลับมามีพลังอีกครั้ง ตัวเขาได้มองไปที่หยวนเอ๋อก่อนที่จะพูดออกมา “อย่าว่าแต่ท่านปรมาจารย์เลย แม้แต่นักบวชชาวพุทธผู้ที่มีพลังอวตารแปดใบก็คงจะช่วยชีวิตนางในตอนนี้ไม่ได้หรอก”

“อะไรทำไมเจ้ามั่นใจแบบนั้นกัน?” เล้งลั่วที่ออกจากห้องมาได้ถามขึ้น ตัวเขาได้พูดต่อ “ไม่ว่าจะยังไงก็แล้วแต่ผู้อาวุโสฝานแบผู้อาวุโสฮั๊วก็พูดมีเหตุผล”

ทุกๆ คนหันไปมองเล้งลั่ว คนคนนี้เคยมีชื่ออยู่ในอันดับสูงสุดของบัญชีดำเมื่อ 300 ปีก่อน แน่นอนว่าคำพูดของเขาย่อมมีน้ำหนักเป็นเรื่องธรรมดา

เล้งลั่วได้พูดต่อ “ดาบพลังงานของสาวน้อยคนนั้นมีความพิเศษเล็กน้อย ข้าคิดว่ามันมีพิษอยู่ มันเป็นสารพิษที่จะกัดกร่อนอวัยวะภายในของนาง มันเป็นอะไรที่ยากจะตรวจพบ และยากต่อการรักษาอีกด้วย เคล็ดวิชาแห่งการรักษาของชาวพุทธมีทั้งหมดสามวิชา วิชาเมตตาธรรม, วิชากระจกแห่งแสง และวิชาแสงแห่งพระพุทธองค์ แต่ไม่มีวิชาไหนเลยที่จะช่วยสาวน้อยคนนี้ได้”

สีวู่หยาได้เดินไปหาเล้งลั่วก่อนที่จะถามออกมา “ไม่มีทางเลือกอื่นอย่างงั้นเหรอ?”

เล้งลั่วส่ายหัว “เจ้าเป็นศิษย์คนที่เจ็ดของศาลาปีศาจลอยฟ้า เจ้าน่ะฉลาดกว่าคนส่วนใหญ่ซะด้วยซ้ำ คนฉลาดน่ะมักจะเข้าใจความหมายของสิ่งที่พูดอย่างรวดเร็ว ถ้าหากเจ้าไม่เชื่อเจ้าก็ลองเข้าไปดูที่ด้านในเองเถอะ”

เล้งลั่วก้าวออกมา ไม่มีใครคิดที่จะสงสัยในคำพูดของผู้อาวุโสทั้งสามคน

ทุกๆ คนได้แต่ส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้

สาวกของศาลาปีศาจลอยฟ้าต่างก็มีความประทับใจอันดีต่อหย่งหนิง เป็นธรรมดาที่ทุกคนจะรู้สึกไม่สบายใจเมื่อได้มองดูหย่งหนิงตายแบบนี้

เปลือกตาของสีวู่หยากระตุก “ข้าแน่ใจว่าท่านอาจารย์จะมีวิธีช่วยเหลือแน่! ขอความช่วยเหลือท่านอาจารย์ซะศิษย์พี่”

เมื่อฮั๊ววู่เด๋าได้ยินหยวนเอ๋อยืนกราน ตัวเขาได้พยักหน้า “ขอให้ท่านปรมาจารย์มาที่นี่เถอะ แม้ว่าจะมีโอกาสน้อยแต่พวกเราก็ยังมีหวัง”

“เจ้าพูดมีเหตุผล”

“ท่านปรมาจารย์สามารถใช้วิชาเมตตาธรรมได้อย่างชำนาญ แม้ว่าเขาจะไม่สามารถช่วยชีวิตนางได้ แต่เขาอาจจะช่วยยืดชีวิตของหย่งหนิงได้ชั่วครู่หนึ่งก็เป็นได้”

ฝานลี่เทียนพูดออกมา “เจ้าคิดว่าปรมาจารย์มีเวลาว่างมากขนาดนั้นเลยอย่างงั้นเหรอ? อย่าไปรบกวนเขาจะดีกว่า”

ท้ายที่สุดแล้วก็ไม่มีเหตุผลเลยที่ปรมาจารย์แห่งศาลาปีศาจลอยฟ้าจะเสียพลังลมปราณของตนเพื่อช่วยหญิงสาวที่ตัวเขาไม่รู้จัก มีโอกาสสูงที่ปรมาจารย์จะเสียพลังชีวิตในการรักษาหย่งหนิง พลังลมปราณทุกพลังมีค่าเป็นอย่างมากสำหรับคนที่ใกล้ถึงขีดจำกัดอันยิ่งใหญ่

คนอื่นๆ กำลังพูดคุยให้ความเห็นกัน ในตอนนั้นเองก็มีเสียงดังขึ้นมาจากด้านหลัง

“นี่มันเกิดเรื่องวุ่นวายอะไรกัน? ช่างไร้มารยาทจริง!”

ทุกๆ คนได้หันไปมองเจ้าของเสียง ลู่โจวในตอนนี้กำลังเดินมาโดยที่เอามือไขว้หลัง สีหน้าของเขายังคงดูสงบนิ่ง

“ท่านปรมาจารย์!”

“ท่านอาจารย์!”

ทุกคนเงียบไปหลังจากที่ทักทายลู่โจว

ลู่โจวยืนอยู่ต่อหน้าทุกคนก่อนที่จะจ้องมองสีหน้าของทุกๆ คน ตัวเขาขมวดคิ้วเมื่อเห็นสีวู่หยายืนอยู่ด้วย “ศาลาทางใต้เป็นสถานที่อันสำคัญ คนทรยศไม่มีสิทธิ์ที่จะมาเหยียบที่นี่”

สีวู่หยาคุกเข่าด้วยความกลัวและความกังวล ตัวเขาได้แต่พูดขอร้องอ้อนวอน “ข้าอยากที่จะขอให้ท่านช่วยชีวิตนาง ข้ายินดีที่จะยอมรับทุกบทลงโทษแต่โดยดี”