บทที่ 442 ขุดเจอปากถ้ำ

หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป

บทที่ 442 ขุดเจอปากถ้ำ

นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ยินมันเกี่ยวข้องกับความสะดวกสบายของทั้งประเทศก่วงส้าและราชวงศ์ เขาจำเป็นจะต้องถามให้ชัดเจน

“อย่างนั้นพวกคนโดนมนต์ดำเหล่านั้นคือ……”

สิ่งที่พวกเขาต้องการถามนั้นคือ พวกเขาพบคนโดนมนต์ดำเหล่านั้นได้อย่างไร?

มาปรากฏอยู่ที่นี่ได้อย่างไร

เหตุใดสวนว่างฮัวแห่งนี้จึงไม่เคยปรากฏคนโดนมนต์ดำสักครั้งเป็นเวลาหลายปี แต่ครั้งนี้ดันปรากฏขึ้นมาน่ะหรือ

แต่เขารู้อย่างคร่าวๆ ว่าดอกกระดูกขาวที่เทพธิดาพูดตอนนี้คงจะปลูกอยู่ในสถานที่แห่งนี้ สิ่งที่พวกเขาขุดนั้น ส่วนมากมีความเกี่ยวข้องกับคนโดนมนต์ดำ

ดังนั้นเมื่อเขาได้พูดไปครึ่งหนึ่ง เขาก็ไม่ได้พูดอะไรอีก แต่กลับถามคำถามอื่นแทน

“ในเมื่อพวกเจ้ารู้ดอกกระดูกขาว รู้คนโดนมนต์ดำ และรู้วิชาการควบคุมพิษกู่ แล้วพวกเจ้ารู้ไหมว่าตอนนี้ราชครูใหญ่ของราชวงศ์เก่าอยู่ที่ไหน”

หากไม่รู้ว่าราชครูใหญ่ของราชวงศ์เก่าเป็นใครมาก่อน และยังคงสืบหาราชครูใหญ่ของราชวงศ์เก่าอยู่ตลอด ไม่อย่างนั้น พวกเจ้าจะคุ้นเคยกับทุกสิ่งในที่นี้ได้อย่างไรกัน”

แม้เขาจะนึกได้ว่า จุดประสงค์ที่แท้จริงของเทพธิดาที่มายังประเทศก่วงส้านี้คือการมีบางสิ่งเกี่ยวข้องกับคนโดนมนต์ดำและราชครูใหญ่ของราชวงศ์เก่า อีกทั้งราชครูใหญ่ของราชวงศ์เก่าก็อยู่ในประเทศก่วงส้า

หลานเยาเยาเงยหน้าขึ้นชำเลืองมองเขา แต่สายตาของนางกลับล้วนแต่ให้ความสนใจไปทางหานแส นางหวังว่าจะได้พบกับดอกกระดูกขาวในเร็ววัน

แม้ว่า เย่หลีเฉินจะปิดกั้นสวนว่างฮัวไว้แล้ว ไม่ให้ผู้ใดเข้าออก

แต่ หากมีเวลามากสักหน่อย ก็จะเสี่ยงมากขึ้น เมื่อเทียบกับตาและหูที่มีอยู่มากมายของราชครูเทียนเวิง ก็คงจะรู้ในไม่ช้า

“ประเทศก่วงส้า”

“หรือจะอยู่ในเมืองหลวง”

เย่หลีเฉินจ้องมองดวงตาของหลานเยาเยา เมื่อได้ยินนางบอกว่าราชครูใหญ่ของราชวงศ์เก่าอยู่ในประเทศก่วงส้า เขาก็เดาอะไรบางอย่างได้อย่างคร่าวๆ แต่กลับไม่อยากจะเชื่อมากนัก

“อืม อยู่ในเมืองหลวงของประเทศก่วงส้า และอยู่ใกล้ๆ พวกเจ้า”

ถึงอย่างไรเขาก็ต้องรู้ไม่ช้าก็เร็ว จะรู้ช้าหรือเร็วสักหน่อยก็ไม่แตกต่าง ดังนั้นหลานเยาเยาจึงไม่ต้องการที่จะปกปิดเขา

“ใครกัน เป็นใครกันแน่”

เย่หลีเฉินที่มีสีหน้าตึงเครียดขึ้นมาทันทีนั้นก็ก้าวไปด้านหน้าสองก้าว และจับไหล่ของหลานเยาเยาเอาไว้ ด้วยสายตาที่ปรารถนา

เขาหวังว่านางจะบอกกับเขาโดยเร็ว ว่าประเทศของราชวงศ์เก่านั้นเป็นใครกันแน่

ในตอนนี้ราชครูใหญ่ของราชวงศ์เก่าต้องการรวบรวมแผ่นดิน แล้วตอนนี้ที่เขาปรากฏตัวอยู่ในเมืองหลวง เป้าหมายก็คือราชวงศ์ ดังนั้นเขาจึงต้องหาให้ได้ว่าผู้นั้นเป็นใคร

หลานเยาเยาเริ่มทำอะไรไม่ถูกเล็กน้อย

เขาไม่สงสัยในราชครูเทียนเวิงสักนิดเลยจริงๆ หรือ”

นางจ้องมองมือที่วางบนไหล่ของตนเอง และขมวดคิ้วแน่น กำลังของเย่หลีเฉินมีมาก จับไหล่ของนางจนรู้สึกเจ็บ“เจ้าปล่อยข้าก่อน แม้ว่าข้าไม่ใช่ผู้หญิงที่อ่อนแอ แต่จับข้าไว้อย่างนี้ก็เจ็บเช่นกัน” นางเตือนอย่างใจดี

“ได้ เทพธิดา ขออภัย ใช่ เป็นเพราะข้าเสียมารยาทเอง”

เป็นเพราะรีบร้อนจนเกินไป ไม่คิดว่าจะเป็นการไม่เคารพต่อเทพธิดาเช่นนี้ เย่หลีเฉินรู้สึกอับอาย แต่ดวงตาของนางยังคงเต็มไปด้วยความปรารถนา “เจ้าบอกข้ามา ว่าผู้นั้นเป็นใครกันแน่”

เขารู้

ในเมื่อราชครูใหญ่ของราชวงศ์เก่าอยู่ในเมืองหลวง และยังมีแหล่งเพาะพันธุ์ดอกกระดูกขาวของเขาที่นี่ ก็เพียงพอที่จะแสดงให้เห็นว่าเขาได้วางแผนมานานแล้ว สำหรับเมืองหลวงนั้นได้มาอย่างง่ายดายหากเข้าไม่รู้วันนี้ บางทีอาจจะต้องรอจนกว่าราชครูใหญ่ของราชวงศ์เก่าจะครอบครองประเทศก่วงส้าเป็นของตนเองซะก่อน เขาจึงจะรู้

หรือบางที……

เขาอาจจะไม่มีชีวิตแล้วด้วยซ้ำ

ดังนั้น เขาจึงกล้าแน่ใจว่าราชครูใหญ่ของราชวงศ์เก่าจะเปลี่ยนชื่อเสียงเรียงนามเป็นคนอื่น และหลบซ่อนอยู่ในเมืองหลวง

“องค์ชายรัชทายาท” หลานเยาเยาส่งเสียงเรียกเย่หลีเฉิน และทักท้วงความคิดเขากลับมา ขยิบตาราวกับเส้นไหม และมองดูเขาอย่างเงียบๆ เหมือนกับมีอะไรจะถาม “เจ้าคิดว่าราชครูเทียนเวิงจะเป็นอย่างไรบ้าง”

“ราชครูเทียนเวิง ผู้นี้ได้รับความไว้วางใจจากเสด็จพ่อ เขาเป็นคน……”

เย่หลีเฉินไม่เข้าใจมันมาระยะหนึ่งแล้ว และอยากจะบอกว่าราชครูเทียนเวิงมีความสามารถมากมาย และได้ช่วยฮ่องเต้แก้ปัญหาด้านการเมืองที่วุ่นวายมาไม่น้อย แต่จู่ๆ ก็ตระหนักได้ถึงบางสิ่งบางอย่าง เขาก็หยุดพูดไปทันที ส่ายหน้าด้วยความไม่อยากเชื่อ จากนั้นสีหน้าก็ซีดเซียวลง

หรือจะเป็นเขา

จะเป็นเขาได้อย่างไรกัน

ราชครูเทียนเวิงมาถึงเมืองหลวงเมื่อสามปีก่อน เป็นเพราะมีความรู้เรื่องดาราศาสตร์และภูมิศาสตร์เป็นอย่างดี แม้ว่าจะอายุมากแล้ว แต่กลับชาญฉลาดเป็นอย่างมาก มีความแข็งแกร่งที่ไม่มีเหมือนคนทั่วไป ราวกับเทพเซียน

ยิ่งไปกว่านั้นยาอมตะเขาคิดค้นนั้น หาได้ยากในโลก ดังนั้นจึงนำมาใช้กับเสด็จพ่อ

ใช่!

ราชครูใหญ่ของราชวงศ์เก่าได้หายตัวไปก่อนราชวงศ์เก่าล่มสลาย ในตอนนั้นราชครูใหญ่ของราชวงศ์เก่าก็กลายเป็นชายชราผมขาวแล้ว ราชครูเทียนเวิงที่มีหงอกครึ่งหนึ่งในตอนนี้ แม้ว่าจะมีอายุเหมือนแปดสิบปี แต่ความจริงนั้นอายุก็เกือบร้อยปีแล้ว

การคาดคะเนเช่นนี้จึงสอดคล้องกับอายุของราชครูใหญ่ของราชวงศ์เก่า

นอกจากนี้เขายังเก่งกาจ สามารถได้รับความไว้วางใจจากฮ่องเต้ และมีชื่อเสียงที่ดี เช่นเดียวกับราชวงศ์เก่า ในราชวงศ์เก่า เขาสามารถเรียกลมเรียกฝน และเป็นที่รักของประชาชน

ดูเหมือนว่า จะเป็นเขาจริงๆ ……

“ขุดเจอแล้ว ขุดเจอแล้ว”

ในขณะนี้ จู่ๆ ผู้คนทางหานแสก็ได้ยินเสียง

“ที่นี่มีปากถ้ำ คบเพลิงด้านในยังไม่เคยจุดมาก่อน”

หลานเยาเยากระตุกมุมปาก และมองไปที่เย่หลีเฉิน จากนั้นหันกลับเดินไปทางของหานแสโดยไม่เอื้อนเอ่ยวาจาใด

“คุณหนู มาดูนี่เร็วเข้า นี่เป็นอุโมงค์ใต้ดิน คาดว่าจะมีถ้ำอยู่ด้านใน” คนที่พูดคือจื่อซี

เมื่อได้ยินว่าขุดไปถึงปากถ้ำแล้ว ฝีเท้าของหลานเยาเยาเหมือนจะก้าวเร็ว จะพูดว่าเดินก็เหมือนจะเดิน แต่จะบอกว่าวิ่งก็ไม่เชิง ไม่นานก็มาถึงทางเข้าปากถ้ำแล้ว

มองเห็นทุกอย่างหมดแล้ว

ปากถ้ำที่พวกเขาขุดถึงนั้นยังเล็กมาก แต่ดูจากปากถ้ำแล้ว ดังที่จื่อซีกล่าวนั้น พวกเขาได้ขุดถึงอุโมงค์แล้ว

ตรงทางเดินยังใช้ก้อนเรียบทำขึ้น และมีร่องบนกำแพงหิน มีคบเพลิงที่เปียกโชกไปด้วยน้ำมันก๊าดเสียบอยู่ อีกทั้งคบเพลิงก็เคยลุกไหม้มาก่อนแล้ว

เย่หลีเฉินก็มาถึงด้านหน้า หลังจากเห็นปากถ้ำ ก็แอบตกใจขึ้นมาอีกครั้ง

ความลึกลับเช่นนี้ล้วนแล้วแต่ไม่มีใครสามารถขุดได้แล้ว

หานแสสั่งคนขุดหลุมขุดให้ใหญ่ขึ้นอีกหน่อย การเคลื่อนไหวของผู้ที่อยู่ใต้คำสั่งก็เร่งมือมากขึ้น

ในไม่ช้า!

ปากถ้ำที่สามารถรองรับคนทั้งสองคนก็ปรากฏตรงเบื้องหน้าของพวกเขา

หานแสไม่ได้พูดอะไร เพียงชำเลืองมองไปที่พวกป่ายเม่ยเซิง และป่ายเม่ยเซิงก็เข้าใจความหมายของเจ้าของเรือในทันที ทำท่าทางเล็กน้อย นอกจากป่ายเม่ยเซิงและซาหมั่นเฉิงแล้ว และคนอื่นนั้นก็มุ่งไปทุกทิศทาง จากนั้นก็ได้ซ่อนตัวอยู่ในความมืด

หลานเยาเยาก็ไม่ต่างกัน เหลือเพียงจื่อซีและจื่อเฟิง ส่วนคนอื่นๆ ก็ล้วนแต่กระจายไปซ่อนตัวคนละทิศคนละทาง เพื่อเฝ้าปากถ้ำ

เมื่อหันกลับมา หานแสก็ได้เข้าไปในถ้ำแล้ว

หลานเยาเยากำลังเตรียมจะก้าวลงไป แต่กลับถูกเย่หลีเฉินรั้งเอาไว้

“เทพธิดา!”

เมื่อเย่หลีเฉินกำลังจะพูด แต่นางกลับไม่เปิดโอกาสให้เขาได้พูด ทว่ากลับกระโดดลงไปด้านล่าง หลังจากนั้นเสียงของนางก็ดังออกมาจากถ้ำ “ลงมาเถอะ! เปิดหูเปิดตาหน่อยก็ดี”

เมื่อชะโงกหน้าไปที่ปากถ้ำ เย่หลีเฉินก็มองเข้าไปในปากถ้ำ ดูคนอื่นๆ กระโดดเข้าไปในปากถ้ำทีละคน และคนกลุ่มเดิมที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืด ก็ได้กระโดดเข้าไปในปากถ้ำ ไม่ช้าก็เหลือเขาแต่เพียงผู้เดียว

เขาไม่ได้เกรงกลัว

แต่ก็รู้สึกกังวลอยู่บ้างเกี่ยวกับท่านชายและพวกคุณหนู เพียงแต่ลังเลอยู่ไม่นาน เขาก็กระโดดเข้าไปในปากถ้ำทันที