ตอนที่ 296 ประสบการณ์ปากร้ายครั้งแรกในชีวิต (2)
แม้หอเทียนหยาจะประกอบกิจการด้าน “สัมผัสทัณฑ์ทรมานจากความรักชั่วครั้งคราว” เป็นหลัก แต่ก็หาใช่การบีบบังคับที่เอาแต่ใจไม่ ทุกคนต้องมีเหตุผล
ระหว่างทาง เปี้ยนจวงนั่งอยู่บนเมฆขาวและยังคงพึมพำ…
“บุปผาที่ร่วงหล่น สายน้ำที่ไหลริน ช่างไร้ใจ บุปผาเบ่งบานตามกิ่งก้าน สายน้ำไหลไปทางตะวันออก[1]”
“ผู้ใดจะรู้ว่าหัวใจอยู่ที่ใด? มันซ่อนอยู่ในเมฆขาว เมฆขาวที่ลอยหายไปพร้อมกับสายลม และหัวใจไร้ร่องรอย”
“เหอะ…”
“ชั่วกาล นิรันดร ความเกลียดชังนี้ ย่อมไร้ที่สิ้นสุด ”
“เฮ้อ…”
“ชั่วกาล นิรันดร ความเกลียดชังนี้ ย่อมไร้ที่สิ้นสุด”
“ตราบฟ้าดินยังคงมั่นนิรันดร์กาล ความเกลียดชังนี้ ย่อมไร้ที่สิ้นสุด”
เหล่าผู้อาวุโสต่างมองหน้ากันอย่างตื่นตกใจ แม้พวกเขาจะมีคู่บำเพ็ญเต๋า และมีความคิดอ่อนด้อยกว่า แต่พวกเขาก็ไม่เข้าใจว่า เหตุใด ประมุขหอน้อยจึงหลงใหลในตัวคนผู้หนึ่งได้ถึงเพียงนี้…
แต่เนื่องจากอีกฝ่ายได้ชี้แจงเรื่องนี้อย่างชัดเจนแล้ว ประมุขหอน้อยก็น่าจะถูกกระแทกแรงๆ จนได้สติขึ้นมาบ้าง เพื่อจะได้รู้ว่า ถึงเวลาที่เขาต้องตื่นแล้ว
นั่นเป็นสิ่งที่ดีต่อประมุขหอน้อยของพวกเขา
เมฆขาวนี้ ค่อยๆ บินมาถึงนอกค่ายกลป้องกันแห่งเมืองเทียนหยา ซึ่งตามกฎที่นี่จะมีผู้คนเข้าแถวยาวอยู่นอกประตูเพื่อรอเข้าเมือง
“ไม่ ข้าไม่กลับ”
จู่ๆ เปี้ยนจวง ก็กล่าวเสียงเบาแล้วกระโดดขึ้นยืนบนเมฆสีขาวพลางมองไปที่เมืองเทียนหยาที่อยู่ข้างหน้าเขา ซึ่งเป็นสถานที่สงบสุข สะดวกสบาย และน่าเบื่อ จากนั้น เขาก็หันไปมองทะเลทักษิณที่ไร้ขอบเขตซึ่งอยู่ด้านหลังเขา
“ทุกคน นับจากนี้ไป ข้า เปี้ยนจวง จะท่องไปทั่วทั้งห้าดินแดน! ข้าต้องสร้างชื่อให้ตัวเองให้ได้!”
“ประมุขหอน้อย เกิดอันใดขึ้นกับท่าน”
เปี้ยนจวงสูดลมหายใจเข้าลึก และกล่าวว่า “ผู้อาวุโสคนนั้นกล่าวได้ถูกต้องแล้ว หากไม่มีหอเทียนหยา ข้าก็ย่อมไร้ค่า ข้าต้องสร้างชื่อให้ตัวเอง ข้าต้องการสร้างชื่อให้ตัวเอง! ข้า!”
ในขณะนั้น ก็มีร่างที่งดงามชี่เมฆบินออกจากเมืองเทียนหยา แล้วมุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า
เซียนสตรีผู้นี้แผ่พลังกดดันออกมาทั่วร่างของนางเล็กน้อย นางมีรูปร่างเพรียวบางและมีเส้นผมยาวแผ่สยายลงมาที่เอวในขณะที่สวมชุดกระโปรงลายเมฆสีอ่อนบาง และมีผ้าคลุมหน้าของนาง
เปี้ยนจวงจ้องมองนางอย่างว่างเปล่า ในขณะที่สตรีสาวผู้นั้นขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วหันศีรษะไปมองเขา
ในขณะนั้น เปี้ยนจวง ได้ยินเสียง “ตึ้ง ตึ้ง” ราวกับมีคนมากระแทกหัวใจของเขาสองสามครั้ง
“หัวใจของข้า… ดูเหมือนจะมีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้ง”
เปี้ยนจวงพึมพำกับตัวเองขณะที่สั่นสะท้านไปทั่วร่าง แล้วเร่งเร้าพวกเขาให้รีบขับเคลื่อนเมฆไปข้างหน้า พลางร้องตะโกนเสียงดังว่า “เทพธิดา โปรดรอสักครู่ก่อนได้หรือไม่!?!”
เอ่อ?
ชายชราทั้งหลายที่อยู่ข้างหลังล้วนพูดไม่ออกขณะที่มีเส้นสายสีดำปูดโปนออกมาทั่วหน้าผาก และสัมผัสได้ถึงสายตาจ้องมองโดยรอบ ในขณะนี้ พวกเขาอยากตบประมุขหอน้อยให้หมดสติไปเลยจริงๆ
ในเวลาเดียวกันนั้น… ในตำหนักเทพจันทราแห่งศาลสวรรค์ เทพจันทรากลับมาจากทะเลบูรพาและขอให้ท่านแม่ทัพตงมู่ช่วยรายงานเรื่องงานอภิเษกแทนเขา จากนั้น จึงรีบไปที่โถงด้านหลังแล้วเอารูปปั้นดินเหนียวของอ๋าวอี่ออกมา
ตามที่คาดไว้ รูปปั้นดินเหนียวถูกพันด้วยด้ายแดงอยู่แล้ว เขาหยิบกรรไกรขึ้นมาแล้วตัดด้ายแดงนั้นออกอย่างรวดเร็ว เขาจ้องมองไปยังแหล่งที่มาของด้ายแดงอย่างสับสน มันเป็นรูปปั้นดินเหนียวของเปี้ยนจวง “ข้าทนไม่ไหวแล้วจริงๆ ที่เห็นเจ้าช่างทุ่มเทความรักถึงเพียงนี้ เฮ้อ…”
ทว่าทันทีที่เทพจันทรากล่าวจบ รูปปั้นดินเหนียวของเปี้ยนจวงก็สั่นไหวเบาๆ แล้วด้ายแดงที่พันข้อมือของเขาก็หลุดออกไปเอง
ดวงตาของเทพจันทราเปล่งประกายเมื่อกล่าวว่า “จู่ๆ คนผู้นี้ก็เข้าใจ?” ทว่าสิ่งที่ทำให้เทพจันทราประหลาดใจก็คือ รูปปั้นดินเหนียวครองคู่นั้น หันหลังกลับและบินออกไปอย่างรวดเร็ว มันผ่านทะเลแห่งดวงดาวและเข้าไปใกล้รูปปั้นดินเหนียวอีกตัวหนึ่ง จากนั้น ด้ายแดงบนข้อมือของรูปปั้นดินเหนียวของเปี้ยนจวง ก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง และยังยืดยาวออกมาอย่างบ้าคลั่ง! เอ๋? นี่มันสถานการณ์เยี่ยงใดกัน?
เทพจันทราเอียงศีรษะด้วยความสับสน
แต่เมื่อมองใกล้ขึ้น เทพจันทราก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก
โชคดีที่นอกเหนือสิ่งอื่นใดที่คราวนี้อีกฝ่ายเป็นสตรี และไม่ใช่ฉงหยาง[2]
ทว่า… ดูเหมือนว่า สตรีผู้นี้จะเป็นคนของศาลสวรรค์?
ดูเหมือนว่า นางจะเป็นเทพธิดาในสระหยก ร่างของนางเปล่งแสงสีทองบางเบาออกมาโดยรอบ เห็นได้ชัดว่านางเป็นเซียนจิน…
เทพจันทราอดจะครุ่นคิด ไม่ได้ เขารู้สึกอับจนหนทางในเรื่องนี้เล็กน้อย จึงทำได้เพียงยิ้มขื่นออกมาแล้วตามเปี้ยนจวงไป
“ข้า เทพจันทรา ขอเรียกขานท่านว่า เทพธิดาแห่งความรัก”
“เสร็จแล้ว!”
ในห้องลับใต้ดินแห่งยอดเขาหยกน้อย ในขณะนี้ หลี่ฉางโซ่วลืมตาขึ้นและเผยรอยยิ้มมั่นใจออกมา
ต้องบอกว่าปากร้ายสักครั้งก็ดีเหมือนกัน “ใช่แล้ว มันไม่โหดร้ายกับเปี้ยนจวงคนนี้เกินไปหรือ?”
หลี่ฉางโซ่วครุ่นคิดในใจ แม้เขาจะรู้สึกดีที่ด่าว่าเช่นนี้ แต่ก็เป็นเพราะต้องการเตือนสติเปี้ยนจวง
ความลุ่มหลงนั้นไม่ผิด เขาเพียงแค่ต้องควบคุมตัวเองให้ได้
“ข้าไม่น่าจะมีเรื่องใดเกี่ยวข้องกับ เปี้ยนจวงผู้นี้อีกในภายหน้า อาจนับได้ว่า หอเทียนหยาเป็นขั้วอำนาจใหญ่ในมหาตรีสหัสโลกธาตุ แต่ในห้าดินแดนนั้น มันก็เทียบเท่ากับสำนักเซียนชั้นกลางในดินแดนเทวะมัชฌิมา”
หลี่ฉางโซ่วครุ่นคิดเงียบๆ แล้วจู่ๆ ก็มีความคิดผุดขึ้นมาในใจของเขา
ในคำชี้แนะสิบสองข้อที่เขาส่งให้องค์เง็กเซียนนั้น เขายังได้กล่าวถึงการจัดการมหาตรีสหัสโลกธาตุ ทว่าความจริงแล้ว ในเวลานั้น หลี่ฉางโซ่วได้กล่าวถึงเรื่องนี้เพียงเพื่อช่วยปรับปรุงให้คำชี้แนะของเขาสมบูรณ์
เหตุผลนั้นง่ายมาก ศาลสวรรค์จะแอบจัดการมหาตรีสหัสโลกธาตุอย่างลับๆ ประการแรกคือ พวกเขาสามารถรวมอำนาจของพวกเขาเองได้ และอีกประการหนึ่งก็คือ พวกเขาสามารถเสริมความแข็งแกร่งของกองกำลังแห่งศาลสวรรค์และดูแลฝึกฝนทหารของศาลสวรรค์เพื่อให้ใช้งานได้
นอกจากนี้ เขายังสามารถจัดการมหาตรีสหัสโลกธาตุรอบๆ ห้าดินแดนได้ด้วยซ้ำ เช่นเดียวกับสำนักบำเพ็ญประจิมที่สามารถซ่อนความแข็งแกร่งส่วนหนึ่งของพวกเขาเอาไว้ในมหาตรีสหัสโลกธาตุได้ และศาลสวรรค์ก็สามารถทำตามพวกเขาได้เช่นกัน
เมื่อสวรรค์และปฐพีปั่นป่วนวุ่นวาย ก็สามารถใช้พลังส่วนนั้นทำให้มั่นคงได้
“ข้าไม่อาจชี้แจงเรื่องนี้ได้” หลี่ฉางโซ่วคิดอย่างรอบคอบ เขาสามารถครองตำแหน่งเทพเจ้าผู้ชอบธรรมแห่งศาลสวรรค์อย่างมั่นคงแล้ว เพียงแค่วางแผนเรื่องเผ่ามังกร เขายังได้รับความไว้วางใจจากองค์เง็กเซียน และด้วยความจริงที่ว่าองค์เง็กเซียน สามารถจำแลงกายมาอยู่ในหมู่แม่ทัพสวรรค์ของศาลสวรรค์เป็นเวลาหลายหมื่นปี นั่นหมายความว่า องค์เง็กเซียน ไม่สบายใจกับผู้ใต้บัญชาของเขา ซึ่งเขาเองก็สงสัยมาตลอด
แน่นอนว่า หลี่ฉางโซ่วจะไม่ทำเช่นนั้น
ความจริงแล้ว หลี่ฉางโซ่วยังรู้สึกว่าเขาไม่อาจคำนวณทุกอย่างได้ บางครั้ง เขาอาจแสร้งทำเป็นสับสนและจงใจทำผิดพลาด ซึ่งจะเป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุด
หลี่ฉางโซ่วคิดว่าควรปล่อยให้องค์เง็กเซียน รู้สึกว่าเขาเป็นผู้ควบคุมและสามารถควบคุมทุกอย่างได้ ซึ่งจะทำให้ง่ายในการรับและสะสมบุญต่อไปในภายหลัง
ยิ่งไปกว่านั้น…
“ข้ายังต้องระวังองค์เง็กเซียนผู้นี้”
หลี่ฉางโซ่วครุ่นคิดเงียบๆ ไม่หยุด
ในขณะนั้น ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ส่วนหนึ่งได้กลับไปยังเมืองอันสุ่ยแล้ว และกลับไปที่ “คลังสมบัติ” เก็บตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ รอให้ได้รับของขวัญมากมายจากเผ่ามังกร เขาก็สามารถให้ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์กลับไปที่สำนักตู้เซียนด้วยกัน
ทางด้านของปรมาจารย์หว่างฉิงผู้สูงส่ง…
หลี่ฉางโซ่วให้ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์หยุดใส่ไฟในเตาหลอมก่อนจะยืนขึ้นและออกจากหอโอสถไป จากนั้น เขาก็ขี่เมฆไปยังยอดเขาตันติ่ง
ข้าจะขอให้ผู้อาวุโสว่านหลินหยุนช่วยออกหน้าเพื่อไปดูว่า ปรมาจารย์หว่างฉิงผู้สูงส่ง กำลังเข้าปิดด่านอยู่จริงๆ หรือไม่
ในขณะนี้ หวังฟู่กุ้ยกำลังหลบหน้าหนีอยู่ แล้วจะไม่ทำให้ปรมาจารย์ใหญ่ตัวน้อยคิดมากได้อย่างไรเล่า?
ปรมาจารย์ใหญ่ตัวน้อยมีผิวขาว งดงาม และบุคลิกดี แม้นางจะมีข้อบกพร่องอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ใช่ว่า จะไม่มีคนปรารถนานาง
……………………………………………………………………
[1] ผู้เขียนปรับมาจากบทกวีเก่าของหลี่อวี้ในปีต.ศ.978 พระองค์เป็นฮ่องเต้องค์สุดท้ายราชวงศ์ถังใต้ที่พ่ายแพ้ให้แก่ราชวงศ์ซ่งเมื่อปลายปี ค.ศ.975 บทกวีนี้รำพันประมาณว่า ยากที่จะปิดบังความเศร้าโศกและความเจ็บปวดจากการพลัดพรากจากแผ่นดินเกิดหรือสิ่งอันเป็นที่รัก ความรู้สึกสิ้นชาติสิ้นแผ่นดิน และแฝงความหวังที่จะได้กอบกู้แผ่นดินคืนในสักวัน จึงทำให้ฮ่องเต้หลี่อวี้ได้รับสุราพิษจากฮ่องเต้ราชวงศ์ซ่ง และสิ้นราชวงศ์ถังใต้ แม้ฮ่องเต้หลี่อวี้ทรงไม่ประสบความสำเร็จในการปกครอง แต่ผลงานทางวรรณกรรมของพระองค์ยังคงได้รับการกล่าวขานถึงทั้งในไต้หวันและจีนแผ่นดินใหญ่ และบทกวีนี้ก็ได้รับการขับขานมานานกว่าพันปี และได้ปรับเป็นเนื้อเพลงในภาพยนตร์ซีรีส์ที่กล่าวถึงช่วงเวลาผลัดแผ่นดินของพระองค์
[2] ในอีกความหมายคือ หยางคู่หรือชายรักชาย