ตอนที่ 297 ข้า หวังฟู่กุ้ย ไม่คู่ควรกับการมีคู่บำเพ็ญเต๋า! (1)
“ท่านผู้อาวุโส ศิษย์ผู้นี้อยากขอความกรุณาจากท่าน…”
ภายใต้แสงแดดเจิดจ้า ผู้อาวุโสว่านหลินหยุนถือไม้เท้าทองสัมฤทธิ์และค่อย ๆ ขี่เมฆ บินไปที่ยอดเขาพิชิตสวรรค์
หากเป็นผู้อื่นมาร้องขอเช่นนี้ บางทีผู้อาวุโสว่านหลินหยุนคงจะเพียงแค่ส่งยาเสน่ห์ไปให้ตรงๆ โดยไม่แม้แต่จะหันหลังกลับไป
แต่นี่เป็นคำขอร้องของหลี่ฉางโซ่ว…
นั่นย่อมแตกต่างกันทีเดียว ฉางโซ่วผู้นี้เป็นคนจิตใจงดงามและบริสุทธิ์ เขามักจะมีความเข้าใจในเต๋าของการหลอมโอสถและปรุงยาพิษอย่างลึกซึ้ง และยังมีน้ำใจอารีต่อผู้อื่นอีกด้วย…
ไม่นับแล้ว เพราะมีข้อดีมากมายเกินไป
ฉางโซ่วต้องมีเหตุผลบางอย่างที่ขอให้เขาทำเช่นนี้อย่างแน่นอน
เมื่อผู้อาวุโสว่านหลินหยุนขี่เมฆมาถึงยอดเขาพิชิตสวรรค์ บรรดาศิษย์ที่เพิ่งออกมาจากยอดเขาล้วนตัวสั่น พร้อมๆ กันทันที พวกเขาต่างตัวเกร็งและโค้งคารวะให้อย่างนอบน้อม…
ว่านหลินหยุนพยักหน้าช้าๆ ด้วยใบหน้าเคร่งขรึมแล้วเดินไปยังที่พำนักหว่างฉิง ซึ่งอยู่ข้างๆ ที่พักของเหล่าศิษย์จิ่วเซียนทั้งเก้า
ที่พำนักหว่างฉิง เป็นอาคารขนาดเล็กที่สร้างขึ้นริมหน้าผา จากชื่อนี้ ย่อมบ่งบอกได้ว่ามันคือ… กระท่อมบำเพ็ญเพียรของหวังฟู่กุ้ย
เมื่อมาถึงด้านหน้าของอาคารขนาดเล็ก ก็มีร่างงดงามขี่เมฆออกมาต้อนรับอย่างแข็งขัน นางเป็นศิษย์คนโตของปรมาจารย์หว่างฉิงผู้สูงส่งนาม จิ่วอี้อี
“ศิษย์ขอน้อมพบท่านผู้อาวุโสว่านหลินหยุนเจ้าค่ะ”
จิ่วอี้อีสวมชุดสีสันสดใส โค้งคารวะให้พร้อมกับเผยรอยยิ้มสุภาพ “ผู้อาวุโส ท่านมาหาท่านอาจารย์หรือเจ้าคะ?” ผู้อาวุโสว่านหลินหยุนยิ้มเย็นชา แม้นางจะรู้ว่านี่เป็นรอยยิ้มธรรมดาตามปกติของผู้อาวุโสจอมพิษ แต่จิ่วอี้อีก็อดรู้สึกหวาดกลัวไม่ได้จนอยากจะถอยออกมาอย่างไม่รู้ตัว
“ข้ามาคุยเรื่องการหลอมโอสถกับอาจารย์ของเจ้า” จิ่วอี้อีรีบกล่าวว่า “วอนท่านผู้อาวุโสโปรดอย่าได้ตำหนิข้า เมื่อไม่นานมานี้ ท่านอาจารย์เพิ่งตระหนักรู้บางอย่าง เวลานี้ จึงเข้าปิดด่านอยู่เจ้าค่ะ เกรงว่า…”
ทันทีที่กล่าวจบ จิ่วอี้อีก็ได้ยินเสียงถอนหายใจเบาๆ มาจากห้องใต้หลังคา
“ไม่เป็นไร ข้าพร้อมจะออกจากการปิดด่านแล้ว ผู้อาวุโสว่านหลินหยุน ท่านโปรดเข้ามาคุยเถิด”
จิ่วอี้อีพลันรีบตอบรับและถอยไปด้านข้างอย่างรวดเร็ว
ผู้อาวุโสว่านหลินหยุนพยักหน้าเบาๆ แล้วก้าวขึ้นไปในอากาศสองก้าวด้วยไม้เท้าของเขา ร่างผอมบางของเขามาถึงด้านหน้าอาคารขนาดเล็กแล้วลอยเข้าไป
ปรมาจารย์หว่างฉิงผู้สูงส่งพำนักอยู่ภายใน เขาสวมเสื้อคลุมยาวสีเขียว และประสานมือคารวะให้ทันทีที่เห็นผู้อาวุโสว่านหลินหยุน จากนั้น จึงกล่าวว่า “น้อมพบผู้อาวุโสว่านหลินหยุน”
หวังฟู่กุ้ยเข้ามาในสำนักภายหลัง ดังนั้น ในด้านความอาวุโสแล้ว เขาตามหลังผู้อาวุโสว่านหลินหยุน
“ทั้งเจ้าและข้าต่างก็เป็นผู้อาวุโสในสำนัก ทั้งเจ้ายังมีลำดับผู้อาวุโสเหนือกว่าข้า ย่อมไม่จำเป็นต้องโค้งคำนับให้ข้าเช่นนี้”
เมื่อผู้อาวุโสว่านหลินหยุนกล่าวเช่นนั้น เขาก็แย้มยิ้มและผายมือเชื้อเชิญผู้อาวุโสว่านหลินหยุนให้นั่งลงอย่างสงบ
บนยอดเขาหยกน้อย ในขณะนี้ หลี่ฉางโซ่ว ซึ่งใช้สัมผัสเซียนรับรู้ เฝ้าจับภาพเหตุการณ์นั้นจากระยะไกล จู่ๆ เขาก็มีความคิดเล็กน้อยผุดขึ้นมาในใจ…
ท่านปรมาจารย์ฟู่กุ้ยกำลังหลบหน้าท่านปรมาจารย์ใหญ่ตัวน้อยของเขาจริงๆ
แล้วไยต้องหลบเล่า?
เขายังไม่ได้เตรียมใจให้พร้อมที่จะลงจากหอคอยงาช้างหยางบริสุทธิ์[1] หรอกหรือ? หรือรู้สึกเขินอาย และกลัวเสียหน้าเพราะไม่กล้าทำ?
ในขณะนั้น หลี่ฉางโซ่วนั่งอยู่บนเก้าอี้โยกและครุ่นคิดเรื่องนี้เงียบๆ
หากเรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะ ‘ชุดคู่บ่าวสาวใหม่’ ของเขา เขาย่อมจะต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อกอบกู้สถานการณ์
นี่มันจริงๆ…
เราไม่อาจหยั่งรู้ฟ้าดิน เช่นเดียวกับไม่อาจหยั่งรู้ใจมนุษย์
บริเวณโดยรอบของที่พำนักหว่างฉิงมีค่ายป้องกันและมีข่ายอาคมปิดกั้นสัมผัสเซียนรับรู้ของหลี่ฉางโซ่วอย่างรวดเร็ว
ทว่ามันไม่สำคัญ
ในเมื่อเขาได้เชิญผู้อาวุโสว่านหลินหยุนให้ช่วยออกหน้า แน่นอนว่า หลี่ฉางโซวจึงได้คิดแผนตอบโต้ที่สมบูรณ์แผนหนึ่งขึ้นมา
ขณะนั้นผู้อาวุโสว่านหลินหยุนมีตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อ และบนตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์นั้นมี ‘หัวใจสองดวงเชื่อมต่อกัน’
มันเป็นเครื่องมือเวทที่ใช้สื่อสารทางจิตวิญญาณได้โดยตรง มันเป็นผลิตภัณฑ์ในชุดอุปกรณ์ขนาดเล็กฉางโซ่ว
ดังนั้น ด้วยวิธีนี้ หลี่ฉางโซ่วจึงสามารถฟังการสนทนาของผู้อาวุโสทั้งสองได้โดยตลอด และยังสื่อสารกับผู้อาวุโสว่านหลินหยุนได้ทันการณ์
อย่างไรก็ตาม…
เมื่อเปิดใช้งานค่ายกลแล้ว ผู้อาวุโสว่านหลินหยุนและปรมาจารย์หว่างฉิงผู้สูงส่ง ต่างก็ตกอยู่ในความเงียบ
หากไม่ใช่เพราะเสียงสายลมพัดโชย และเสียงวิหคขับขานอยู่นอกประตู รวมทั้งเสียงโหยหวนเป็นครั้งคราวที่จะดังมาจากบ้านของอาจารย์อาจิ่วจิ่วในยามที่นางรู้สึกเบื่อสุดๆ…
หลี่ฉางโซ่วก็เกือบจะคิดว่าตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ของเขาล้มเหลวแล้ว
หลังจากที่ท่านปรมาจารย์ใหญ่ของเขากลับมา จิ่วจิ่วก็ไม่กล้าไปที่ยอดเขาหยกน้อยอีกเลย ซึ่งหลิงเอ๋อร์จะนำสุราไปให้นางในช่วงเวลานี้
ทว่าเรื่องนี้ทำให้นางเข้าปิดด่านมาหลายครั้ง จนใกล้จะเป็นบ้าอยู่แล้ว
ภายในที่พำนักของหว่างฉิง
เวลานี้ ปรมาจารย์หว่างฉิงผู้สูงส่งและผู้อาวุโสว่านหลินหยุน นั่งแยกกันอยู่ในโถงบุปผาในอาคารหลังเล็กขณะที่บรรยากาศค่อยๆ อึดอัดขึ้นที่ละน้อย
ทั้งสองคนไม่ค่อยได้เกี่ยวข้องกันมากนักมาตั้งแต่แรก พวกเขาเพียงพบกันอย่างเป็นทางการในบางครั้งคราว เพื่อหารือกันในเรื่องสำคัญของสำนัก ซึ่งจะพบกันไม่ถึงหนึ่งหรือสองครั้งในรอบหนึ่งพันปีเท่านั้น
หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พวกเขาไม่คุ้นเคยกันมากนัก
ไม่นานหลังจากนั้น ปรมาจารย์หว่างฉิงผู้สูงส่งก็กล่าวว่า “ผู้อาวุโสว่าน คราวนี้ ท่านมาถึงที่นี่ด้วยเหตุใดหรือ…?”
ผู้อาวุโสว่านหลินหยุนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อนึกถึงคำแนะนำก่อนหน้านี้ของฉางโซ่ว เขาก็แค่นยิ้มเย็นชา
ปรมาจารย์หว่างฉิงผู้สูงส่งก็รู้สึกสับสนด้วยไม่เข้าใจสาเหตุ และไม่รู้ว่าเขาไปล่วงเกินให้ผู้อาวุโสขุ่นเคืองเมื่อใดกัน เขาขมวดคิ้วและรอให้ผู้อาวุโสว่านกล่าว
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ผู้อาวุโสว่านหลินหยุนก็ครุ่นคิดแล้วเอ่ยถามว่า “เจ้ามีคู่บำเพ็ญเต๋าหรือไม่?”
คู่บำเพ็ญเต๋า?
แม้ปรมาจารย์หว่างฉิงผู้สูงส่งจะสับสนเล็กน้อย แต่เขาก็ยังตอบกลับทันทีว่า “ข้า ศิษย์หลานของท่าน มีคู่บำเพ็ญเต๋าคนหนึ่ง แต่ยังไม่ได้รายงานไปที่สำนัก คู่บำเพ็ญเต๋าของข้าคือ เจียงหลินเอ๋อร์ ปรมาจารย์ใหญ่ตัวน้อยแห่งยอดเขาหยกน้อย นางยังพูดถึงท่านกับหลานอยู่หลายครั้งเช่นกัน”
“อืม เจียงหลินเอ๋อร์คือผู้ที่ข้าต้องดูแล
เจ้าทำผิดกฎของสำนัก ไม่ต้องเรียกตัวเองว่าเป็นศิษย์หลานหรอก ”
ผู้อาวุโสว่านหลินหยุนตอบอย่างไม่ใส่ใจ แล้วทันใดนั้น เสียงของหลี่ฉางโซ่วก็ดังขึ้นในใจของเขา …
ผู้อาวุโส นั่นไม่ใช่เรื่องที่ข้าอยากให้ท่านช่วยคุยกับเขาขอรับ
“แค่กๆ” ผู้อาวุโสว่านหลินหยุนกระแอมไอ แล้ววางมือลงบนไม้เท้าพลางมองไปที่ปรมาจารย์หว่างฉิงผู้สูงส่งและกล่าวต่อว่า “ในเมื่อเจ้ามีคู่บำเพ็ญเต๋าแล้ว เช่นนั้นก็ย่อมง่าย “เมื่อไม่นานมานี้ ข้าได้หลอมโอสถอย่างหนึ่งออกมา โดยมุ่งเป้าไปที่ผู้ฝึกบำเพ็ญมนุษย์ที่เป็นเซียนเทียนขั้นสูงสุด ข้าไม่รู้ว่ามันจะได้ผลอย่างไร จึงอยากลองใช้กับเจ้าดู”
ปรมาจารย์หว่างฉิงผู้สูงส่งยิ้มและกล่าวว่า “ที่แท้ก็เป็นเรื่องเช่นนี้เอง เช่นนั้น ท่านผู้อาวุโสโปรดกล่าวมาตามตรงเถิด”
ผู้อาวุโสว่านหลินหยุนกล่าวอย่างสงบว่า “นี่ข้าอ้อมค้อมไปหรือ?”
“หามิไม่ขอรับ” ปรมาจารย์หว่างฉิงผู้สูงส่งยิ้มขออภัยในขณะที่ผู้อาวุโสว่านหลินหยุนก็ได้ได้หยิบชุดอุปกรณ์ออกมาจากถุงผ้าลายปักแล้ว
หลี่ฉางโซ่วทำถุงผ้าชุดนี้ด้วยมือของเขาเอง ภายในนั้น มีโอสถปรารถนารุ่นล่าสุดบรรจุอยู่…
มีคำเตือนการใช้โอสถน้ำเสน่หาเกินขนาด
ผู้อาวุโสว่านหลินหยุนกล่าวต่อว่า “โอสถเม็ดนี้มีไว้สำหรับผู้ที่มีคู่บำเพ็ญเต๋าแล้ว… เจ้ารู้ว่า มันหมายถึงอะไร ใช่หรือไม่”
“แน่นอนว่า ข้ารู้” ปรมาจารย์หว่างฉิงผู้สูงส่งคลี่ยิ้ม แต่จากนั้น รอยยิ้มก็หยุดนิ่งไปเล็กน้อยแล้วถอนหายใจออกมาพลางกล่าวว่า “แต่ข้าแค่รู้เรื่องนี้คร่าวๆ โดยรวมแล้ว ข้าไม่เก่ง ขอไม่ปิดบังท่านผู้อาวุโสว่าน ข้าเองก็กังวลในเรื่องนี้เช่นกัน”
ผู้อาวุโสว่านหลินหยุนพยักหน้า เขาไม่อยากถามเรื่องส่วนตัวของคนอื่น แต่ในเวลานี้ หลี่ฉางโซ่วก็กรีดร้องอยู่ในใจแล้ว…
ถามต่อเลย ท่านผู้อาวุโส ท่านต้องถามต่อ!
“เจ้ากังวลเรื่องใดหรือ?”
…………………………………………………………………….
[1] ชายหนุ่มสละโสด